นางเงือกน้อย (The mermaid) ตอนที่ ๑

Prayad

         ไกลออกไปในท้องทะเลกว้าง ที่นั่นน้ำเป็นสีน้ำเงิน งดงามราวกับดอกข้าวโพดและใสแจ๋วราวกับผลึก
อันบริสุทธิ์ ที่แห่งนั้น      อยู่ลึกลงไปขนาดหลายต่อหลายชั่วความสูงของยอดแหลมหลังคาโบสถ์ ซึ่งเป็นจุดที่ลึก
ที่สุด  ณ ที่นี้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าชาวเงือกมีพระราชวังของราชาแห่งชาวเงือก ตั้งอยู่ห้วงทะเลที่ลึกที่สุด
ผนังกำแพงปราสาท ล้วนทำด้วยปะการัง ถัดขึ้นมาคือส่วนยอดแหลมและหน้าต่างทำด้วยอำพัน ซึ่งคอยแต่พลิ้ว
ไหวปิดๆเปิดๆเมื่อต้องลูกคลื่นของน้ำทะเล สำหรับหลังคาพระราชวังทำจากเปลือกหอยนาๆชนิด เหตุนี้จึงทำให้
ปราสาทดูงดงามตระการตา โดยเฉพาะเหล่าเปลือกหอยที่อุดมไปด้วยไข่มุกอันมากมาย จะสะท้อนแสงอยู่แวววับ
นี่ถ้าหากปรากฏอยู่บนพื้นโลกมนุษย์ ไข่มุกเหล่านี้ก็ย่อมเป็นเครื่องประดับที่ล้ำค่าราคาแพงที่สุด
       ราชาแห่งชาวเงือกในปราสาทแห่งนี้ ทรงดำรงความเป็นพ่อหม้ายมานานหลายปี แต่โชคดีทรงมีพระมารดา
ผู้ชราภาพคอยช่วยเหลือดูแลจัดแจงเรื่องราวต่างๆ ภายในครอบครัวให้กับองค์ราชา พระนางเพียบพร้อมด้วยคุณ
สมบัติของกุลสตรี และในเวลาเดียวกันพระนางก็มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ในชาติกำเนิดและสถานภาพ
ของตน พระนางจึงสวมเครื่องประดับที่หางด้วยหอยนางรมถึงสิบสองตัว ในขณะที่เงือกชั้นเจ้านายอื่นๆจะอนุญาต
ให้ประดับได้เพียงหกตัว พระนางเป็นที่ยกย่องสรรเสริญเกินคณานับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความห่วงใย 
ใส่พระหฤทัยเอ็นดู ที่มีต่อเจ้าหญิงองค์น้อยๆทั้งหกพระองค์ ซึ่งเป็นหลานสาวของพระนางนั่นเอง เจ้าหญิงวัยเยาว์
เหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีรูปร่างสะสวยงดงาม โดยเฉพาะเจ้าหญิงพระองค์เล็ก คนสุดท้องนั้นน่ารักที่สุด 
ผิวพรรณของเธออ่อนนุ่ม ละเมียดละไมราวกับกลีบกุหลาบ ตาของเธอสีฟ้าราวกับห้วงที่ลึกสุดของมหาสมุทร 
อย่างไรก็ตามเธอก็เหมือนกับชาวเงือกทั่วไปคือเธอไม่มีเท้า ร่างกายของเธอสิ้นสุดลงตรงที่เป็นหางปลา
     ตลอดวันอันยาวนานเมื่อครั้งยังเยาว์ เหล่าเจ้าหญิงทั้งหกก็จะละเล่นอยู่ในห้องโถงใหญ่ของปราสาท อันดาร
ดาษไปด้วยมวลบุปผานาๆพันธุ์ที่ขึ้นอยู่โดยห้อมล้อมตามผนังกำแพง ครั้นหน้าต่างอำพันถูกเปิดออก ปลาก็จะ
แหวกว่ายเข้ามาข้างในราวกับนกกระจาบถลาเข้ามาภายในห้องของเราที่บ้าน แต่ที่นี่สิยิ่งกว่าเพราะพวกปลามันจะ
ว่ายตรงไปหาเจ้าหญิงองค์น้อยๆเหล่านั้น เพื่อไปกินอาหารจากมือและยังยินยอมให้เล่นด้วยอย่างคุ้นเคย
บริเวณด้านหน้าของพระราชวัง มีอุทยานขนาดใหญ่ที่อุดมไปด้วยหมู่แมกไม้สีแดงสดและน้ำเงินเข้ม ผลของมัน
ทอประกายราวกับทองคำ ส่วนดอกของมันก็ส่งสีสันอันสดใสดุจเดียวกับแสงเจิดจ้าของดวงตะวัน 
พื้นดินของอุทยานอันเกิดจากทรายละเอียดก็ให้สีน้ำเงินสดใส มีก๊าซบางอย่างพวยพุ่งออกมาราวกับเปลวของ
กำมะถัน ดูน่าแปลก สีน้ำเงินของมันแผ่กระจายปกคลุมไปทั่ว เหตุนี้บางคนอาจจะคิดไปว่า ตนเองอยู่ท่ามกลาง
เมฆหมอกบนท้องนภาแทนที่จะเป็นเบื้องล่างสุดของมหาสมุทร 
     ในยามที่น้ำทะเลสงบนิ่ง หากใครสักคนเหลือบมองขึ้นเบื้องบน ก็จะปรากฏเห็นดวงอาทิตย์เป็นเหมือน
ดอกไม้สีม่วงที่แผ่พะยับรำไรอันเกิดจากลำแสงของมัน
ภายในอุทยานแห่งนี้ เจ้าหญิงองค์น้อยๆแต่ละพระองค์จะมีพื้นที่สวนหย่อมของตนเองสำหรับปลูกต้นไม้
หรือหว่านเมล็ดพันธุ์ต่างๆตามแต่จะทรงโปรด 
พระองค์หนึ่งทรงโปรดทำสวนหย่อมเป็นรูปปลาวาฬ    อีกพระองค์หนึ่งทรงโปรดทำเป็นรูปนางเงือก
ส่วนที่เป็นของเจ้าหญิงพระองค์เล็กสุดค่อนข้างกลมทีเดียวราวกับดวงตะวัน แล้วเธอก็ปลูกดอกไม้
เลือกเอาแต่เฉพาะที่ให้สีสันอันเป็นสีของดวงอาทิตย์นั่นเอง เธอจึงเป็นเด็กที่โดดเดี่ยวโดยแท้
มีอุปนิสัยเงียบและสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
          ครั้งหนึ่งเหล่าพี่สาวของเธอต่างพากันแต่งกายด้วยสิ่งของต่างๆดูชอบกล อันได้มาจากเรือที่อับปาง
ส่วนเธอเองไม่ได้ประสงค์สิ่งใดเลย นอกจากขอเอาหินอ่อนสีขาวที่แกะสลักอันสวยงามเป็นรูปเด็กผู้ชาย
ที่พบตกอยู่ ณ ที่นั้น เธอจึงนำรูปแกะสลักไปวางไว้ในสวนหย่อมของเธอ แล้วก็ปลูกวิลโลพันธุ์สยายกิ่ง 
ต้นสีแดงไว้ข้างๆ ปล่อยให้กิ่งยาวเฟื้อยของมันตกลงมาและทาบเงาสีม่วงเข้มที่โบกไหวอยู่เป็นนิตย์
ลงกับพื้นทรายสีน้ำเงิน      ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าหญิงพระองค์เล็กจะทรงโปรดมากไปกว่า การได้ยินได้ฟัง
เรื่องราวเกี่ยวกับโลกมนุษย์ที่อาศัยอยู่เหนือท้องทะเล เธอจึงมักจะหว่านล้อมให้เสด็จย่าผู้ชราบอกเล่า
ทุกสิ่งอย่างที่พระนางทรงรับรู้เกี่ยวกับ เรือ บ้านเมือง ผู้คน สัตว์บนบก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอจะชื่นชอบมาก
เมื่อได้รับรู้ว่าดอกไม้อันมีอยู่ที่โลกเบื้องบนนั้นมีกลิ่นอันน่าพิสมัย (ทั้งนี้เพราะดอกไม้ทั้งหลายในมหาสมุทรนั้น
หาได้มีกลิ่นไม่) ป่าไม้มีสีเขียวขจี หมู่ปลาที่ซอกซอนอยู่กับกิ่งก้านของแมกไม้ก็มีหลายหลากสีน่าประหลาด 
และยังสามารถร้องเพลงขับขานด้วยเสียงอันดังฟังชัด เสด็จย่าทรงหมายถึงมวลหมู่นก ที่พระนางทรงเรียกว่า
หมู่ปลาก็เพียงแต่เปรียบเทียบให้เหล่าหลานๆพอเข้าใจ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นนกมาก่อน 
หากไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่เข้าใจ
“เมื่อพวกเธออายุครบสิบห้าปี” พระนางตรัส 
“พวกเธอก็จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเที่ยวเล่นยังพื้นผิวน้ำทะเลได้ พวกเธอก็จะมีโอกาสได้ไปนั่งที่ชะง่อนหิน
ท่ามกลางแสงจันทร์ ดูเรือใบแล่นไปมาและเรียนรู้เกี่ยวกับบ้านเมืองและผู้คน อย่างไรล่ะ”
          ในปีถัดมาเจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ก็เจริญชันษาถึงอายุดังกล่าว เธอจึงสัญญาว่าจะบอกเล่าให้แก่น้องๆฟัง
ถึงเรื่องราวต่างๆที่เสด็จย่าทรงไม่เคยเล่ามาก่อน และเป็นเรื่องที่พวกเธออยากได้ยินได้ฟังมาก ในบรรดาพี่น้อง
ด้วยกันไม่มีใครเลยที่จะใจจดจ่อเฝ้ารอคอยวันครบรอบปีเกิดที่สิบห้ามากเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์เล็กสุด
ผู้ซึ่งมีระยะเวลาที่ต้องรอคอยยาวนานที่สุด แต่ก็ด้วยความเงียบและอย่างสุขุม หลายต่อหลายคืนที่เธอเอาแต่เฝ้า
ยืนอยู่ริมหน้าต่างและเหม่อมองผ่านน้ำสีครามอันสดใสขึ้นไปยังเบื้องบน พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ก็เป็นที่
ปรากฏต่อเธอ ในยามที่มีเงาเคลื่อนผ่านไป เธอเองก็รู้ดีว่ามันจะต้องเป็นปลาวาฬหรือไม่ก็เป็นเรือ ที่แล่นไป
พร้อมกับหมู่มนุษย์โดยสารมาเต็มลำ แต่คงไม่มีใครแม้แต่น้อยที่จะคิดว่า ลึกสุดลงไปใต้ท้องเรือของพวกเขา
ยังมีนางเงือกน้อยกำลังยื่นมืออันบอบบางมาทางเรืออย่างถวิลหา
          ครั้นพี่สาวคนใหญ่กลับจากการเยือนดินแดนเบื้องบน เธอก็นำเรื่องราวหลายอันพันประการมาบอกเล่า
ให้ฟัง สิ่งที่เธอชื่นชอบมากที่สุดคือการได้ไปนั่งอยู่ที่หาดทรายท่ามกลางแสงจันทร์ เฝ้าจ้องดูบ้านเมืองอันใหญ่โต
ที่เรียงรายอยู่ตามชายฝั่ง มีแสงสว่างวับแวมราวกับหมู่ดวงดาว และบางคราวก็ได้ยินเสียงดนตรีบรรเลง 
เธอแว่วเสียงผู้คนและล้อเกวียนจากระยะไกล เธอได้ยลหอคอยโบสถ์อันสูงลิบ ได้ยินเสียงระฆังลั่นเหง่งหง่าง 
เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมนต์สะกดเจ้าหญิงพระองค์เล็กสุดให้สดับตรับฟังทุกถ้อยคำที่เธอเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ
 เมื่อเธอไปยืนอยู่ริมหน้าต่างคราวต่อไป และจับตาจ้องมองผ่านน้ำทะเลสีครามออกไปสู่เบื้องบน เธอก็มักจะ
คิดคำนึงอย่างมากถึงบ้านเมืองอันยิ่งใหญ่และอึงอนไปด้วยผู้คน จนทำให้ได้ยินเสียงระฆังลั่นหง่างเหง่ง
ในจินตนาการ
          ในปีถัดมาพี่สาวคนที่สองของเธอก็ได้รับการอนุญาตให้ออกไปแหวกว่ายได้ตามแต่จะทรงโปรด เธอขึ้น
ไปสู่ผิวน้ำทะเลในยามพระอาทิตย์กำลังอัสดง ทัศนียภาพในเวลานี้ช่างสุดแสนเป็นที่ประทับใจเธอมาก เธอยอม
รับว่ามันช่างดูสวยสดงดงาม ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดเหนือท้องทะเลเท่าที่เธอเคยเห็นมา
 “ทั่วท้องนภาราวกับถูกฉาบทาด้วยทองคำ” เธอกล่าว 
“และความงดงามของหมู่เมฆก็เกินกว่าที่ฉันจะให้คำอธิบายได้ เดี๋ยวเป็นสีแดง เดี๋ยวเป็นสีม่วงเข้ม ล่องลอย
อยู่เบื้องบน นอกจากนั้นยังมีฝูงหงส์สีขาวบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือท้องน้ำ บริเวณที่ดวงตะวันกำลังจะจมหายลงไป
ฉันเฝ้าจ้องมองและตามดูพวกมันจนกระทั่งดวงอาทิตย์จมลับหายไปจากสายตา พร้อมๆกับแสงระเรื่อชมพูที่พื้น
ผิวน้ำทะเลและตามขอบของม่านเมฆก็ค่อยๆจางลงและอันตรธานไปในที่สุด”
         พี่สาวคนที่สามดูจะเป็นที่ประทับใจที่สุด เมื่อเวลาแห่งการไปเยือนโลกเบื้องบนของเธอมาถึง เธอเลือกไป
ผจญภัยที่ลำน้ำแห่งหนึ่ง เธอได้เห็นเนินเขาอันปกคลุมไปด้วยป่าไม้ และยังมีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยพร้อมไร่องุ่น
และปราสาทอยู่ท่ามกลางป่าไม้นั้น เธอได้ยินเสียงนกกำลังขับขาน ในขณะที่แสงสุรีย์ก็สุดแสนจะแผดร้อน 
จนเธอต้องคอยกระโจนลงสู่เบื้องลึกเพื่อรักษาความชุ่มเย็นให้กับใบหน้าที่กำลังผ่าวร้อน เธอไปเห็นพวกเด็กๆ
กำลังเล่นกันที่ท่าน้ำเล็กๆแห่งหนึ่ง บ้างก็เล่นอาบน้ำ บ้างก็เล่นกระโดด เธอใคร่ที่จะเข้าไปร่วมเล่นเกมกับพวก
เขา แต่แล้วพวกเขาก็วิ่งหนีขึ้นบนบกด้วยอาการหวาดกลัวอย่างสุดขีด และยังมีสัตว์ตัวเล็กๆสีดำเห่ามาที่เธอด้วย
ท่าทางน่าหวาดกลัวจนเธอต้องล่าถอยแหวกว่ายกลับสู่ท้องทะเล  เธอไม่อาจที่จะลืมเลือนความเขียวชอุ่มพุ่มไสว
ของป่าไม้ เนินเขา และเหล่าเด็กๆที่น่ารัก ที่เคยพากันว่ายเล่น ณ ลำน้ำแห่งนั้น และโดยปราศจากความ
หวาดกลัวถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีหางเหมือนอย่างเธอ
         สำหรับพี่สาวคนที่สี่ไม่สู้จะมีสิ่งประทับใจนัก กล่าวคือเธอไปอยู่ที่ทะเล ครั้นกลับลงมาเธอก็คิดว่าไม่มีสิ่งใด
ที่สวยไปกว่านี้อีกแล้ว สิ่งที่เธอได้พบเห็นในระหว่างนั้นคือ มีเรือแล่นผ่านเธอไป พอห่างไกลออกไปก็ดูราวกับ
นกนางนวล เธอได้เห็นหมู่ปลาโลมากระโดดโลดเล่น ได้เห็นปลาวาฬพ่นน้ำออกทางจมูกของมัน จึงดูราวกับ
มีธารน้ำพุอยู่โดยรอบตัว
        ในวาระครบรอบวันเกิดของพี่สาวคนที่ห้านั้น เป็นห้วงฤดูหนาว ดังนั้นเมื่อเธอขึ้นมาสู่ยังพื้นผิวจึงเห็น
ทะเลเป็นสีเขียว และมีก้อนอันมหึมาของน้ำแข็งลอยล่องอยู่ ที่ผู้คนเรียกกันว่าไอซ์เบิร์กซ์ เธอกล่าวว่ามันดูราว
กับไข่มุกขนาดใหญ่ และดูเหมือนว่ามันจะใหญ่กว่าหอสูงของโบสถ์เสียด้วยซ้ำ เธอนั่งลงบนก้อนน้ำแข็งอันมหึมา
นั่นแล้วก็ปล่อยให้สายลมโกรกเล่นอยู่กับเส้นผมของเธอ ทันทีที่พวกเดินเรือผ่านมาเห็นเธอเข้า ทุกๆลำก็จะหัน
เหเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรืออย่างรวดเร็ว เมื่อเพลาย่างสู่สนธยา พายุใหญ่ก็อุบัติขึ้น ขณะที่ก้อนน้ำแข็งใหญ่ก็
โยกโคลงขึ้นและลงตามคลื่นทะเลพร้อมกับการสะท้อนแสงของประกายไฟจากท้องนภา สายฟ้าแลบพาดผ่าน
ไปยังหมู่เมฆ ตามด้วยเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ระลอกแล้วระลอกเล่า พวกเรือต่างพากันลดใบลงจนสิ้นตามด้วย
ความโกลาหลวุ่นวายอยู่บนเรือ ในขณะที่เจ้าหญิงองค์น้อยๆก็เพียงแต่นั่งอยู่บนก้อนน้ำแข็งอยู่อย่างเงียบๆและ
มองดูสายฟ้าสีน้ำเงินแยกเป็นแฉกพุ่งลงไปในท้องทะเล
       การไปเยือนยังดินแดนโลกเบื้องบนเป็นครั้งแรกของพี่สาวแต่ละองค์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นที่ติดตาตรึงใจไป
กับสิ่งใหม่ๆที่ได้พบเห็นและความสวยสดงดงามของวัตถุเหล่านั้น แต่ความใหม่ที่ว่าพอสักประเดี๋ยวก็ผ่านพ้นไป
คือความใหม่อยู่ได้เพียงไม่นานก่อนที่สภาพตามบ้านเกิดของพวกเธอจะปรากฏขึ้นแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุด
ยิ่งกว่าดินแดนใดๆทั้งมวล เป็นเวลาหลายต่อหลายวันในเวลาเย็น ที่เหล่าพี่สาวทั้งห้ายังคงเกี่ยวก้อยกันแหวก
ว่ายขึ้นมาจากเบื้องลึกของมหาสมุทร น้ำเสียงของพวกเธอนั้นสุดแสนจะหวานล้ำ และไพเราะยิ่งกว่าน้ำเสียงของ
หมู่มนุษย์ทั้งหลาย ในยามที่พายุกำลังจะมาพวกเธอก็จะพากันแหวกว่ายไปยังด้านหน้าของเรือและส่งสำเนียงขับ
ขานพวกเธอช่างขับร้องได้อย่างไพเราะเสนาะเสียงสำเนียงหวานกระไรอย่างนั้น อันเป็นสื่อบ่งบอกถึงความสุข
หฤหรรษ์ของหมู่เหล่าผู้มีถิ่นพำนักอยู่ ณ เบื้องล่างของท้องทะเล และยังเป็นการวิงวอนนักเดินเรือขออย่าได้
มีความหวาดกลัว แต่จงได้โปรดลงมาหาพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกชาวเรือก็หาได้เข้าใจในถ้อยคำเหล่านั้นไม่
และต่างก็คิดไปว่าเสียงเพลงเหล่านั้น มันก็คงเป็นเพียงแค่เสียงกรีดหวีดหวิวของลมทะเลเท่านั้นเอง 
     ในขณะที่เหล่าพี่สาวทั้งห้ากำลังพากันออกไปแหวกว่ายในห้วงเพลาเย็น พระธิดาองค์เล็กสุดก็ยังคงสงบนิ่งอยู่
ในปราสาทของพระบิดา ได้แต่แหงนมองตามหลังพวกพี่สาวไป เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากธรรม
ชาติของนางเงือกไม่สามารถจะหลั่งน้ำตาร้องไห้ได้ และเหตุนี้เองผลตามมาก็คือเมื่อเวลาที่พวกเขาเป็นทุกข์ 
พวกเขาจึงมีความทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดยิ่งเสียกว่าความทุกข์ที่มวลมนุษย์พึงได้รับ
“โอ! นี่ถ้าเพียงแต่ฉันมีอายุครบสิบห้านะ! เธอตัดพ้อ 
“ฉันรู้ว่า ฉันอาจจะรักดินแดนเบื้องบนและผู้คนของที่นั่นมาก”
และแล้วในที่สุด วันที่เธอเฝ้ารอคอยนานแสนนานก็มาถึง
“เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาของเธอแล้ว” เสด็จย่าตรัส 
“มาทางนี้ซิ ย่าจะจัดแจงแต่งกายให้ จะได้เหมือนกับเหล่าพี่สาวของเธอ” 
พระนางจึงนำพวงมาลัยดอกลิลลี่มาพันรอบๆผมของเธอและมีรับสั่งให้นำหอยนางรมขนาดใหญ่แปดตัวมามัด
เข้าประดับหางของเจ้าหญิง อันถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสูงศักดิ์ของเธอ
“แต่มันทำให้ไม่คล่องตัวเลยนะ!” เจ้าหญิงองค์เล็กทักท้วง
“ใครที่ปรารถนาให้ตนเองมองดูดี เขาก็จะไม่กังวลกับความไม่สะดวกสบายเล็กๆน้อยๆ” เสด็จย่าทรงเอ่ยขึ้น
เจ้าหญิงเองนั้นก็ยินดีที่จะถอดมงกุฎอันตระการตานี้ออกเสีย เพื่อเปลี่ยนเป็นแค่ปักแซมผมด้วยดอกไม้สีแดง
จากสวนหย่อมของเธอ แต่ในเวลานี้เธอก็มิบังอาจที่จะทำเช่นนั้น “ฉันไปล่ะนะ” เธอกล่าวอำลาแล้วก็แหวก
ว่ายออกไปอย่างนุ่มนวลราวกับฟองน้ำ
     ในเวลาที่เธอมาถึงยังพื้นผิว ดวงอาทิตย์เพิ่งจะจมลงไปใต้เส้นขอบฟ้า แต่ยังฉาบทาด้วยสีทองและชมพูที่หมู่
เมฆให้ยังพอมองเห็นอยู่รำไร ดวงดาราในเพลาพลบค่ำกำลังส่องประกายแต่เพียงน้อย ท่ามกลางนภาที่ฝ้าขาว
ทางทิศประจิม ขณะที่อากาศก็กำลังพอดีและสดชื่น เวลานั้นมีเรือสามกระโดงขนาดใหญ่ลำหนึ่ง จอดนิ่งอยู่กับพื้น
น้ำทะเลที่เรียบสงบ มีธงทิวจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวสะบัดอยู่ตามเสากระโดงเรือเหล่านั้น แต่มีอยู่เสาหนึ่งที่ไม่ได้
ลดใบลง ถึงกระนั้นก็ไม่มีลมแผ่วพัดผ่านมารบกวนแต่อย่างใด ชาวเรือพากันนั่งเงียบๆที่เสากระโดงเรือและหมู่
เชือกสาย ต่อมาดนตรีและเสียงขับร้องก็แว่วได้ยินมาจากทางดาดฟ้าของเรือ ครั้นความมืดเข้าปกคลุม ตะเกียง
นับร้อยๆดวงก็ถูกจุดขึ้น นำเอาความสว่างไสวเข้ามาแทนที่โดยทันที
      นางเงือกน้อยได้แหวกว่ายเข้าไปใกล้ๆห้องของกัปตัน แล้วมองผ่านเข้าไปทางหมู่หน้าต่างใสๆรูปกระทะ
เธอมองเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์อันหรูหราของบุรุษอยู่ในนั้นมากมาย ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในบรรดาคน
เหล่านั้นได้แก่พระราชโอรสผู้มีดวงเนตรโตและดำขลับ อีกทั้งยังทรงพระเยาว์ พระองค์มีอายุครบสิบหกชันษา 
ซึ่งผู้คนทั้งหมดบนเรือในเวลานี้กำลังจัดงานเลี้ยงอันอลังการเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบวันเกิด
ของพระองค์ พวกลูกเรือทั้งหลายกำลังเต้นรำกันอยู่บนดาดฟ้า ครั้นพอเจ้าชายมาปรากฏตัวต่อบรรดาผู้คนเหล่า
นั้น หมู่พลุ ตะไล บั้งไฟ และดอกไม้เพลิงทั้งหลายจำนวนนับเป็นร้อยๆ ก็ถูกจุดส่งขึ้นสู่นภากาศ เปลี่ยนจากความ
มืดของรัตติกาลเป็นความสว่างของทิวาในบัดดล ในเวลาเดียวกันมันก็สร้างความตื่นกลัวให้กับนางเงือกน้อยเอา
มาก จนนางถึงกับดำดิ่งลึกลงไปใต้น้ำ แต่เวลาไม่นานเธอก็โผล่กลับขึ้นมาอีกครั้ง ในคราวนี้ดูเหมือนว่าดวงดาว
ทั่วทั้งอัมพรกำลังร่วงหล่นลงมายังเธอ นับว่าเป็นครั้งแรกของเธอที่เคยเห็นงานเผาเทียนเล่นไฟ และไม่เคยได้
ยินมาก่อนเลยว่าพวกมนุษย์มีความสามารถและทรงไว้ซึ่งอำนาจอันอัศจรรย์เยี่ยงนี้ ดวงตะวันใหญ่หลายต่อหลาย
ดวงหมุนควงอยู่รอบๆเธอ ปลาที่กำลังคึกคะนองดีดตัวขึ้นมาเหนือน้ำให้เห็น ทุกสิ่งอย่างมองเห็นภาพสะท้อนอัน
บริบูรณ์ด้วยฉากของพื้นผิวน้ำทะเลอันสดใส  
     เนื่องมาแต่แสงสว่างจากเรือนั่นเอง ที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โอ! เจ้าชายช่างเป็น
บุรุษที่หล่อเหลาเกินกว่าจะพรรณนา! พระองค์ทรงสัมผัสมือกับเหล่ากลาสีเรือและทรงพระสรวลขณะที่ตรัส
หยอกล้ออยู่กับพวกเขา ในเวลาเดียวกันท่วงทำนองอันไพเราะหวานแว่วของดนตรีปี่พาทย์ ก็ยังคงบรรเลงไป
อย่างสอดประสานกลมกลืนกับความเงียบสงัดแห่งรัตติกาล
มันสายมากแล้ว แต่นางเงือกน้อยก็ยังไม่สามารถตัดใจตัวเองให้ปลีกหนีไปจากเรือและเจ้าชายหนุ่มรูปงามนั้น
ได้เลย เธอยังคงวนเวียนคอยจ้องมอง ผ่านทางหน้าต่างอยู่ร่ำไป โดยมีระลอกคลื่นซัดเธอกลับไปกลับมาอยู่ ณ ที่
นั่น ฟองน้ำและปุ่มปมของอากาศคล้ายๆกับความเดือดพล่านของน้ำค่อยๆผุดขึ้นมาอย่างช้าๆจากเบื้องล่างส่วนลึก
ลงไป ครู่ต่อมาลูกคลื่นก็สูงขึ้นๆ  ส่วนท้องฟ้าก็มีการก่อตัวของหมู่เมฆที่หนาดำ เสียงฟ้าร้องได้ยินมาแต่ไกล 
พวกเหล่ากลาสีเรือเห็นได้ชัดว่าพายุกำลังจะมา ใบเรือจึงถูกชักลงอีกครั้ง ด้วยแรงลมพายุมหาสมุทรที่กำลังปั่นป่วน
ถึงจะเป็นเรืออันใหญ่โต แต่ก็เห็นเป็นประหนึ่งเรือเล็ก เมื่อเทียบกับลูกคลื่นอันมหึมา ขนาดราวกับภูเขาดำทะมึน
ที่กำลังถั่งโถมเข้ามา เรือจึงดิ่งลงสู่หุบของคลื่นทะเลราวกับหงส์ป่าถลาร่อน แล้วก็ถูกซัดขึ้นสูงอีกระลอกหนึ่ง 
เหตุการณ์นี้ดูจะเป็นที่พึงพอใจแก่นางเงือกน้อย หากแต่ว่าแตกต่างเป็นอย่างมากกับความคิดของพวกลูกเรือ
แผ่นไม้ของเรือแตกร้าว เสากระโดงอันแข็งแกร่งก็หักสะบั้นลง จากความรุนแรงของพายุทะเล น้ำจึงทะลักเข้า
ตามรูรั่ว นางเงือกน้อยเริ่มตระหนักดีว่า ผู้คนบนเรือกำลังตกอยู่ในอันตราย สำหรับตัวเธอเองก็ต้องคอยโผเข้า
เกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่ขาดออกมาจากเรือเพื่อให้ลอยคออยู่เหนือลูกคลื่น 
     ทันใดนั้นเอง มันกลับมืดลงสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย เมื่อแสงสว่างของฟ้าแลบปรากฏขึ้นชั่วขณะในเวลา
ต่อมา ก็ทำให้เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งมวลอย่างชัดเจนราวกับเป็นกลางวัน เธอจดจ้องมองหาเจ้าชายหนุ่มในขณะที่
เรือกำลังแตกและอับปางลง พลันเธอก็มองเห็นเจ้าชายตกลงไปในน้ำและกำลังจะจมลงสู่ท้องทะเล เธอรู้สึกยินดี
และเป็นสุขยิ่ง ด้วยคิดว่าพระองค์คงจะเสด็จลงมายังปราสาทของเธอได้ แต่แล้วเธอก็ฉกคิดขึ้นมาได้ว่า มนุษย์นั้น
ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ในท้องทะเลได้ 
“ไม่ ไม่นะ เขาจะต้องไม่ตาย!”
เธอจึงแหวกว่ายฝ่าซากปรักหักพังของเรือเข้าไป โดยไม่คิดระแวงถึงอันตราย
ใดๆเลยแม้แต่นิด ในที่สุดเธอก็พบเจ้าชาย ซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะทนว่ายต่อไปได้อีกเลย สองพระเนตรนั้น
หลับลงสนิทแล้ว องค์ชายย่อมจะจมน้ำตายเป็นแน่ หากแม้นไม่มีนางเงือกน้อยมาช่วยไว้ทันเวลา เธอเข้าไปคว้า
เอาร่างของเจ้าชายมายุดไว้ให้อยู่เหนือน้ำ และจำต้องยอมให้กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากโอบรัดเขาทั้งสองเข้าไว้
ด้วยกัน พอรุ่งอรุณมาถึง พายุก็เป็นอันผ่านพ้นไป แต่ไม่มีร่องรอยของเรือเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ดวงตะวันสี
แดงโผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ ดูเหมือนว่ารังสีแห่งแสงสุรีย์ได้ช่วยให้ใบหน้าอันซีดขาวของเจ้าชายค่อยมีสีผิวกลับคืน
มาบ้าง แม้ว่าดวงเนตรทั้งสองจะยังคงหลับอยู่ ครั้นนางเงือกเสยเกศาอันเปียกโชกของเจ้าชายจนเห็นดวงพักตร์
อย่างชัดเจน เธอถึงกับรำพึงว่า เขาช่างมีหน้าตาคล้ายคลึงกับรูปแกะสลักในสวนหย่อมของเธอยิ่งนัก เธอบรรจง
จุมพิตเจ้าชายอย่างละมุนละไมและหวังใจไว้ว่าเขาอาจจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป  
comments powered by Disqus
  Prayad

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน