เจ๊เกี๊ยว

สะพั่งสะท้านไมภพ

เจ๊เกี๊ยว เป็นผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง แกอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านของผม บ้านของแกก็เป็นบ้านเช่าสร้างด้วยไม้ ชั้นเดียว ประตูหน้าบ้านแกเป็นแผ่นไม้กระดานต่อๆกันและใช้ไม้คานหน้าสามพาดและล๊อคด้วยตาปูตัวโตๆ
   เจ๊เล็ก เป็นอาจารย์หญิงโรงเรียนในอำเภอ เนื่องจากในตอนช่วงนั้นเป็นงานศพเตี่ยของเจ๊เล็ก ๆ ไม่รู้จะถามใครก็เลยถามเจ๊เกี๊ยว
   ไอ้นั่นทำยังไง ไอ้โน่นทำยังไง ไอ้นี่ทำยังไง
   ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร เจ๊เกี๊ยว ตอบได้หมด
    เมื่อคนเราหนึ่งคนกลายเป็นผู้มีความสำคัญในด้านออกความคิด ก็จะกลับกลายเป็นหลงลืมตัว เตลิดเปิดเปิงออกนอกวงโคจรไปได้ เจ๊เกี๊ยว ก็ไม่ได้มีข้อแตกต่าง
   ดังนั้น ข้อเสนอของเจ๊เกี๊ยว จึงได้กระจายเสียง ออกอากาศ ไปทั่วบริเวณงาน บางครั้งก็ไปที่กลุ่มแม่ครัว บางครั้งก็ไปที่ในที่จัดงาน บางครั้งก็เข้าไปในบ้านเจ้าของงาน นักเรียนที่มาช่วยงาน ล้วนแล้วแต่โดนเจ๊เกี๊ยว ให้ความคิดเห็น พวกไหนที่รับฟังและทำตามเจ๊เกี๊ยวว่า เจ๊เกี๊ยวก็จะยิ้มกริ่ม และเดินส่ายอาดๆ รวมทั้งชื่นชมด้วยโทรโข่งข้างล่างจมูกของแก แต่สำหรับพวกใดที่เบี้ยวแก เป็นโดนค่อนแคะแขวะควักทั้งต่อหน้าและลับหลัง อีกทั้งยังนำไปเรียนให้เจ๊เล็กทราบอีกด้วย
   ผมสะพั่ง สะท้านไมภพ ได้ร่วมงานด้วย และได้เห็นความน่ารำคาญในการบ่นของเจ๊เกี๊ยว และเจ๊เล็ก สองมารสะท้านแผ่นดิน แต่จากการสังเกตของผมเห็นว่าในถ้วยน้ำพริกกระปิ ที่แม่ครัวในงานได้ตำนั้น ได้ใส่พริกขี้หนูแบบลูกโดด เขียว ยั๊วะเยี๊ยะไปหมด และบังเอิญเจ๊เกี๊ยวเดินมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะพอดี ผมเลยแกล้งพูดลอยๆให้แก เจ๊เกี๊ยวได้ยินชัดๆ ไปว่า สงสัยจะต้องลดพริกในน้ำพริกลงหน่อย เจ๊เกี๊ยวแกไม่เข้าใจว่าผมเหน็บแกว่า เป็นพวกนกขุนทองกินพริกมากเกินไปแล้วก็พูดมาก 
   ใครที่ไม่เคยเจอคนบ่นใส่จะย่อมไม่รู้หรอกว่า เจอแล้วความอึดอัดแทบจะระเบิดออกจากร่างกาย มันเป็นอย่างไร
   เรื่องที่แกบ่นหากเป็นเรื่องทั่วๆไปก็พอรับไหว ว่าไม่มีสาระ แต่ทว่าหากเป็นเรื่องวิพากษ์คนอื่นเป็นอย่างโน้น คนนี้อย่างนี้ เพื่อให้คนอื่นเขาเห็นด้วยกับแกว่าคนที่แกบ่นนี้ไม่ดี อย่างนี้คนที่โดนก็รำคาญและพยามหลีกห่างไกล
   ตอนท้ายสุดเมื่องานจบ เจ้าของบ้านให้เงินตอบแทนช่วยเหลืองาน เจ๊เกี๊ยว แกทำท่าทางไม่อยากรับ และบ่นว่าลำบากใจมากเสียจนเต็มประดา และอิดออดอิดเอื้อนไปมา 
   ลีลาท่าทางตอนนั้นผมไม่แม้แต่อยากจะมอง ละครน้ำเน่าทางทีวีผมยังสามารถเดาได้ กับลีลาแบบในละครอย่างนี้ไม่แปลกใจเลยว่าเดาอย่างไรก็เดาถูก วันนั้นหลังจากได้เงินตอบแทนแล้วเจ๊เกี๊ยวก็ดูเหมือนจะมีความสุขทั้งวัน
   แม้ว่าเจ๊เกี๊ยว จะพอจัดอันดับได้ว่าเป็นตัวร้ายตัวเอก ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ แต่ทว่า ผมสะพั่ง คิดว่า บางทีทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวร้ายตัวเอกในเรื่องสั้นอื่นๆ หากได้รับเกียรติให้เป็นตัวร้ายบ่อยๆ ทัศนคติที่เคยคิดจะเป็นพระเอกตลอดกาลก็คงจะหดหายลงไปทุกที และกลับกลายคิดว่าตนเป็นพระเอกทั้งๆที่เป็นตัวร้ายชัดๆ
   มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะไม่รู้หรอกว่าตนเองโง่ แต่ทว่าคนที่รู้ว่าตนเองโง่จะไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน แต่ทว่าเวลาใดคิดและมั่นใจว่าตนเองฉลาด ก็นั่นแหละเวลานั้นก็จะเป็นเวลาที่ตนเองเผลอโง่ออกมา หากยิ่งคิดว่าฉลาดนานเพียงไหนก็แหละก็จะยังโง่นานพอกัน ตราบที่คิดอย่างนั้น
   ผมสะพั่ง สะท้านไมภพ มองไปที่ดวงตาเจ๊เกี๊ยว และลองคิดว่าผมเป็นเจ๊เกี๊ยวดู สิ่งที่ทำลงไปไม่มีความหมายใดๆต่อตนเองในทางที่ดีขึ้น แต่กลับให้ร้ายคนอื่นโดยได้รับความพึงใจที่ได้ให้ร้ายแก่คนอื่นกับตนเองก็แค่เนี้ยะ หรือเป็นความสุขที่หาได้โดยไม่ต้องลงทุนกระมัง
   ผมสะพั่ง โดนเจ๊เกี๊ยว ถามว่าจะมาไหมวันทำกงเต้กซึ่งเป็นวันสำคัญ จะต้องมาให้ได้ คนอื่นเขามาทั้งนั้น 
   ผมหัวเราะแล้วเอามือเกาหัว แล้วถามกลับไปว่า
   มาสายดีกว่าไม่มาเลย หรือไม่มาดีกว่ามาสาย เอเอ้าอะไรดี งง
   ผมไม่เห็นเจ๊เกี๊ยวตอบกลับมา ผมเลยเดินกลับไปขึ้นรถมาสด้าสามสองสามจีแอลเอ็กซ์ของผมกลับกรุงเทพฯ และก็นึกขำ ถามมาก็ต้องเจอถามกลับอย่างงี้แหละ อาจารย์ของผมสอนเอาไว้				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน