Assasin วีรบุรุษแห่งเลือดบทที่ 3
LoveNeverJang
บทที่ 3 ก่อเกิดผู้กอบกู้
10 ปีต่อมาหลังจากการสูญเสียเมืองศูนย์การค้ามอร็อค กองทัพมิดกาดได้พยายามที่จะตีเมืองมอร็อคคืนหลายครั้งก็ล้มเหลวทุกครั้งไปไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่กษัตริย์แห่งอียิปต์โอซิริส (Osiris) และหมอดูคนสนิท พาโรอา (Pharoah) ก็สามารถขับไล่ทัพมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งแอซซาซินหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบอกแผนการให้แก่นายกองสตอร์ม คิลลัว บุตรของเอเฟรดคิลลัว แอซซาซินหนุ่มคนนั้นบอกว่าเมืองมอร็อคมีทางเข้า 4 ทาง ย่อมสามารถปิดล้อมเมืองได้โดยง่าย แต่บัดนี้ทางเข้าทั้งสี่ถูกปิดด้วยฝุ่นทราย การยกทัพตีนครคราก่อนไม่ได้ก่อประโยชน์ใดๆเลยแม้แต่น้อยเพราะเหล่าทหารที่วิ่งฝ่าพายุทะเลทรายเข้าไปต่างหายสาบสูญไปทิ้งไว้แต่เพียงเสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัว แอซซาซินหนุ่มคนนั้นบอกว่าฝุ่นทรายเหล่านั้น เกิดจากอาคมมืดให้ใช้แสงศักสิทธิ์ โฮลี่ไลท์(Holy light) ของเหล่าอัศวินแห่งแสงสว่าง ครูเซเดอร์ (Cursader) หรือใช้น้ำมนต์ (Holy water) ของเหล่าพระก็จะสามารถชำระล้างได้ เหล่าทหารของนครพรอนเทร่าจึงถูกเรียกประจำการเพื่อเตรียมการบุกอีกครั้ง เหล่าทหารที่ตอนแรกต่างเสียขวัญเมื่อได้ยินข่าวคราวว่ามีแอซซาซินปริศนามาแนะนำวิธีให้แก่กองทัพก็เริ่มฮึกเหิมมีกำลังใจอีกครั้ง คราวนี้ได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพศาสนจักร ให้เหล่าครูเซเดอร์เข้าร่วมกับกองทัพด้วย ยิ่งทำให้เหล่าทหารมีกำลังใจมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เมื่อกองทัพเคลื่อนพลมาถึงนครมอร็อคก็ทำการปิดล้อมนครทั้งสามด้านไว้ เว้นไว้แต่ด้านทิศตะวันตกของนครเพราะมีปิศาจจำนวนมากเฝ้าอยู่ สัญญาณการบุกโจมตีคือตะวันขึ้นของวันใหม่ทั้งหมด เมื่อถึงเวลาเหล่าครูเซเดอร์ใช้เวทมนต์โฮลี่ไลท์เปิดทาง เป็นดังที่คาดไว้ฝุ่นทรายที่ตอนแรกก่อตัวอยู่ถูกแสงศักสิทธิ์ชำระหายไปเหล่าทหารจึงรีบบุกตะลุยเข้าไปยังใจกลางเมือง เมื่อกองทัพเข้ามาก็พบกับโอซิริสและพาโรอา โอซิริสหาใช่ปิศาจปลายแถวมันทั้งต่อยทั้งเตะทุกกระบวนท่า กองทัพแค่นี้ย่อมไม่ครณามือ ส่วนพาโรอาที่เอาแต่ร่ายเวทย์ใส่มนุษย์ที่ไม่ระวังและก็คอยป้องกันโอซิริสนั้น อยู่ดีๆก็มีแอซซาซินปริศนาโผล่ขึ้นมาและใช้กาต้าที่กำลังคำรามแทงใส่ เลือดสีดำที่ทะลักออกมาอาบกาต้ายิ่งทำให้เสียงคำรามปริศนาดังยิ่งขึ้นไปอีก ผู้คนต่างตกใจหันมามองยังแอซซาซินหนุ่มเป็นสายตาเดียวเพราะเสียงคำรามที่เกิดจากกาต้าซึ่งทุกคนล้วนเคยได้ยินตำนวนเกี่ยวกับมัน บัดดี้โรว (Bloody Roar) กาต้าหนึ่งในไอเทม (item) ในตำนานที่ว่ากันว่าจะคำรามเมื่อได้ดื่มเลือด แอซซาซินหนุ่มคนนั้นถอนกาต้าเปื้อนเลือดออกจากตัวพาโรอา และพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วตรงไปหาโอซิริส โอซิริสถอยหลังไปสองก้าว ใช้แขนไขว้กันเป็นกากบาทพอดีกับจังหวะที่กาต้าเล่มนั้นฟาดลงมา กระดูกที่แข็งราวกับหินสะท้อนแรงฟันของกาต้าเล่มนั้นกลับไป แอซซาซินหนุ่มคนนั้นยังไม่จบแค่นั้น เด็กชายกระโดดถอยหลังแล้วพุ่งแทงมีดเข้าใส่อย่างรวดเร็วด้วยทักษะแบ็คสเต็ป (Back step) ในขณะที่มีดแทงเข้ามาโอซิริสก็ใช้กำปั้นปัดไปที่กาต้าทำให้เบี่ยงออกไป โอซิริสสวนกลับด้วยกำปั้นที่เชื่องช้าแต่ทรงพลัง แอซซาซินหนุ่มเบี่ยงตัวหลบทัน ทำให้กำปั้นนั้นพลาดไปโดนรูปปั้นประดับน้ำพุด้านหลังแตกละเอียด มันอ้าปากที่ไม่มีทั้งฟันและลิ้นดูน่าสยดสยองใส่เขา ก่อนจะกลายเป็นฝุ่นทรายหายไป เหล่าทหารเมื่อเห็นจอมปิศาจหนีไปต่างก็มีกำลังใจฮึกเหิมเฮลั่นและไล่จัดการกวาดล้างปิศาจที่เหลือรอด ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงก็สามารถยึดมอร็อคคืนกลับมาได้
แอซซาซินหนุ่มคนนั้นทรุดนั่งลงมือกุมหัว น้ำตาไหลรินออกมา ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้ว ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้วแท้ๆ สัญญาว่าจะแก้แค้นให้ ฉันขอโทษจริงๆ ยูคิ ไค
เขาคือลูฟี่ โจรน้อยที่รอดชีวิตจากตอนที่นครมอร็อคถูกโจมตี หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาออกตามหาเพื่อนทั้งสอง ทั้งจากกองบัญชาการที่เขาสังกัดอยู่ พยายามสืบค้นหาตัวทั่วมิดกาด แต่ก็ได้ข่าวเพียงแค่ว่าทั้งสองหายสาบสูญไปไม่มีการพบศพแต่ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น ลูฟี่จึงสัญญาไว้ว่าจะแก้แค้นปิศาจที่บุกเมืองมอร็อคตอนนั้นให้ได้ สิบปีมานี้เขาได้ฝึกอย่างหนักจนได้เลื่อนขั้นเป็นนักฆ่าในระยะเวลาสั้นๆเขาก็สามารถเข้าสังกัดหน่วยข้อมูลลับของกองศาสนจักร ระหว่างการเดินทางฝึกวิชาในหุบเขาเมจอเนียร์ (Mjolnir) เขาก็พบกับพระชรารูปหนึ่ง พระชราท่านนั้นบอกว่า
"เจ้าเข้ามาฝึกวิชาในป่านานคงไม่รู้ความเป็นไปของมิดกาด ตอนนี้เมืองมอร็อค เต็มไปด้วยความมืดมิดไม่มีแสงสว่างแม้กระทั่งประตูทั้งสี่ทิศก็หามีแสงไม่ หากจะขับไล่ความมืดย่อมต้องใช้แสงสว่าง อันตัวเราแก่ชรามากแล้วหากจักเดินทางไกลๆก็คงลำบากมิใช่น้อย ข้าขอฝากข้อความนี้แก่กองทัพมิดกาดด้วย แสงสว่างที่แท้จริงเท่านั้น ถึงจะลบล้างความมืดได้" แล้วพระรูปนั้นก็เดินหายไปในหุบเขาเมจอเนียร์ หลังจากลับตาจากพระชรารูปนั้นแล้วก็เกิดแสงสว่างวูบหนึ่งขึ้นแล้วเขาก็หมดสติไป พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าบัดดี้โลว ติดอยู่กับแขนของเขาแล้ว เขาใช้เวลาสามวันลงจากเขาเมจอเนียร์พลางไขปริศนาข้อความของชายชรา 'อะไรที่เป็นแสงสว่างอย่างแท้จริง' แล้วเขาก็ได้บทสรุปถึงมนต์ศักสิทธิ์ของทั้งสองสายอาชีพ
จบเรื่องราวในอดีต
ลูฟี่รู้สึกตัวเพราะแรงเขย่า เขาเงยหน้าขึ้นไปมองพบว่าเป็นนักเวทย์ (Wizard) สาวคนหนึ่ง กำลังยิ้มให้เขาพร้อมกับยื่นขวดยาไวท์ โพลชั่น (White Potion) ให้เขา เขาคงเผลอหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า ตอนนี้ก็เย็นพอสมควร แสดงว่าเขาหลับไปเกือบวันเต็มๆ เขามองลงไปที่เมือง เมืองได้รับการบูรณะซ่อมแซมแทบจะร้อยเปอร์เซ็น เขาหันไปมองนักเวทย์สาว
"ดื่มซะสิ มันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น" เธอบอกแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเขา เขาเปิดฝาออกก่อนจะกรอกใส่ปากรวดเดียวหมดขวด แล้วก็โยนขวดเปล่าทิ้งไป
"ขอบคุณ" ลูฟี่หันไปขอบคุณก่อนจะทิ้งตัวลงนอนมองดูท้องฟ้า
"นายชื่ออะไรหรอ ฉันชื่ออลิซ อลิซ บาร์ทเนอร์" นักเวทย์สาวแนะนำตัว
"ลูฟี่ อัลทิเมต" ลูฟี่ตอบดวงตายังคงมองไปยังท้องฟ้า
"นายมาทำอะไรที่นี่หรอ" อลิซถาม ลูฟี่เงียบไปไม่ตอบทำให้อลิซรู้ว่าได้ถามสิ่งที่ไม่ควรออกมาจึงกล่าวขอโทษเขา ทันใดนั้นสายตาเธอก็มองไปเห็นกาต้าของลูฟี่ "เอ๊ะ... กาต้ารูปทรงแปลกๆนั่นคืออะไรน่ะ" เธอชี้มาที่กาต้าที่ติดอยู่กับข้อมือเขา
"หือ... เนี่ยนะเหรอ พวกคนเฒ่าคนแก่เรียกมันว่าบัดดี้โรวน่ะ " เขาบอกพลางยกกาต้าของตนขึ้นมาดู
"แปลกดีนะ เลือดคำรามงั้นเหรอ" อลิซแปลชื่อพลางมองดูกาต้าของลูฟี่อย่างงุนงง
"มันจะคำรามเหมือนสัตว์ป่าทุกครั้งที่มีคนใช้มัน" ลูฟี่บอก
"จริงเหรอ ทำให้ฉันดูหน่อยสิ" อลิซทำตาโตพลางเร่งเร้าลูฟี่เหมือนเด็กๆ
"เอ่อ... งั้นตามฉันมาสิ" ลูฟี่บอกแล้วลุกขึ้นเดินไปประตูทิศตะวันตกของมอร็อค มีอลิซเดินตามอยู่ไม่ห่าง ลูฟี่ทำท่าจะเดินเข้าไปในสฟิงซ์ อลิซทำตาโตพลางตะโกนห้าม
"นี่ ลูฟี่ อย่าเข้าไปในนั้นมันอันตรายนะ" อลิซตะโกนเรียกนักฆ่าหนุ่มแต่เขาก็ไม่แยแสสนใจ เดินเข้าไปเพียงลำพัง อลิซยืนนิ่งใจหนึ่งก็อยากตามเข้าไป อีกใจก็กลัวว่าจะมีภัยอันตรายเบื้องหน้า ทันใดนั้นเองเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ดังออกมาจากทางเข้าสฟิงซ์ มันดังอยู่สักพักใหญ่และดูเหมือนมันจะดังขึ้นเรื่อยๆ เธอเห็นทหารวิ่งออกมาจากตัวเมืองสามคน ทหารคนหนึ่งวิ่งมาหาเธอ
"มันเกิดอะไรขึ้น เสียงนั้นมันอะไร " ทหารคนนั้นถามเธอ แต่เธอก็ไม่ตอบมองไปที่ประตูทางเข้าสฟิงซ์ เสียงนั้นเงียบไปแล้ว ที่ประตูปรากฏเงาร่างๆหนึ่ง ลูฟี่นั่นเองเขาเดินออกมาพร้อมกับเลือดเปียกทั่วตัว
"แอซซาซินที่อยู่ตรงนั้นน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้" ทหารคนที่ถามเธอ หันไปตะโกนบอกลูฟี่
"ไม่ค่ะ เขามากับฉัน" เธอตะโกนบอก ทหารทั้งสามคนหันมามองเธองงๆ แต่ก็ยังตั้งท่าเตรียมพร้อมเพราะไม่ไว้ใจ ลูฟี่เดินมาพ้นสะพาน เขาทิ้งตัวนั่งลงเช็ดเลือดออกจากเสื้อ ทหารทั้งสามจึงลดอาวุธลง
"ไม่รู้รึไง ว่าที่นี่เป็นเขตห้ามเข้า" ทหารคนนั้นเดินไปกระชากคอเสื้อลูฟี่ขึ้นมาต่อว่า
"เหรอ แล้วทำไมไม่เฝ้าให้ดีๆล่ะ" ลูฟี่ย้อน ทำเอาทหารคนนั้นพูดไม่ออก ทหารคนนั้นปล่อยมือจากคอเสื้อของลูฟี่ แน่นอนว่าถ้าไอ้หนูนี่เอาเรื่องพวกเขาสามคนละเลยหน้าที่ไปแจ้งล่ะก็ เขาคงต้องไปขุดแร่ขายประทั่งชีวิตแน่ ลูฟี่ไม่สนใจเดินจากมา มีอลิซวิ่งตามหลังเขา ทั้งคู่เข้ามาถึงเมือง ลูฟี่ก็เดินตรงไปยังโรงแรม มีอลิซเดินตามอย่างหวั่นๆ ท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขาทำให้เธอหวาดกลัว เขาหันมามองเธอ พอเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเธอ ลูฟี่ก็หลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตา อลิซเห็นท่าอย่างนั้นก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆกลัวๆ
"ขอโทษนะ" พอเธอเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงของลูฟี่พูดเบาๆ "ที่เธอถามว่าฉันมาทำไมที่นี่น่ะ คำตอบก็คือฉันมาแก้แค้นให้กับเพื่อนรักสองคน สองคนนั้นหายสาบสูญไปตอนมอนสเตอร์บุกเมือง" ลูฟี่บอกแล้วก็ทำท่าจะเดินต่อไป
"งั้นเหรอ ฉันก็เสียพ่อแม่ไปตอนนั้นเหมือนกัน" อลิซพูด ลูฟี่หยุดเดินหันมามองเธอ ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตาของอลิซพร้อมกับร่างของเธอทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง ลูฟี่รีบวิ่งเข้าไปหาเธอ เด็กหนุ่มใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่พกติดตัวเช็ดน้ำตาให้เธอ
"ขอโทษ ฉันไม่รู้จริงๆ" ลูฟี่รีบขอโทษขอโพย อลิซพยักหน้ารับรู้ เธอพยายามหยุดร้องไห้ ลูฟี่ย่อตัวลงปลอบเธอ
"อืม ไม่เป็นไรหรอก ก็นายไม่รู้เหมือนกันนี่" อลิซเงยหน้าขึ้นมา เธอพยายามฝืนยิ้ม แต่ดวงตายังคงมีคราบน้ำตาอยู่ "วันนี้ ฉันว่าพวกเราคงเหนื่อยมากแล้วล่ะ งั้นไปหาที่พักกันเถอะ" อลิซ บอก ลูฟี่ลุกขึ้น อลิซก็ค่อยๆลุกขึ้นแล้วปัดไปตามผ้าคลุมที่เปื้อนฝุ่น
"งั้นเธอไปพักที่โรงแรมเถอะ ฉันมีเต๊นอยู่หลังโรงแรมน่ะ" ลูฟี่บอกพลางเดินนำตรงไปยังโรงแรม มีอลิซวิ่งตามด้วยท่าทีร่าเริงต่างจากเมื่อครู่ อลิซเข้าไปเช่าห้องในโรงแรมอยู่ แต่ลูฟี่กลับกางเต็นอยู่ด้านหลังโรงแรม ซึ่งอลิซก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะอาจจะเป็นนิสัยของพวกนักฆ่าที่ไม่ชอบเข้าสังคม แล้วค่ำคืนนั้นก็ผ่านไป
จบบทที่ 3 ก่อเกิดผู้กอบกู้