ความทรงจำในวัยเด็กของผม ซึ่งนับวันจะเลือนรางลงไปทุกขณะ บางครั้งความทรงจำนั้นก็กลับแว๊ปเข้ามาในสมอง บางครั้งก็มีความทรงจำในเรื่องใหม่ๆเข้ามาแทนที่ แล้วก็หายไปพร้อมกับความวุ่นวายในชีวิตปัจจุบันเข้ามาดึงความสนใจ ครอบครัวของผมอาศัยอยู่ด้วยกัน ๗ คน มีพ่อ แม่ พี่ชาย ผม และน้องของแม่อีกสามคน แม่ผมเกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก ยายมีลูกหกคน แม่เป็นลูกสาวคนโตและได้เรียนหนังสือแต่น้าๆ ไม่ได้เรียนหนังสือ วันสอบวันสุดท้ายของแม่ เป็นวันที่ยายเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง แม่จึงไม่เรียนต่อ พร้อมกับหันชีวิตออกมาทำงานดูแลน้องสามคนที่ยังเล็ก ส่วนตานั้นแยกทางกันกับยายตั้งแต่แม่ยังเด็ก ภาระในการดูแลน้องทั้งหมดจึงเป็นของแม่ น้าคนที่ ๔ และคนที่ ๕ จึงได้เรียนหนังสือ หลังจากที่แม่มารับราชการแล้วมาเจอกับพ่อในที่ทำงาน สักพักก็แต่งงานกัน ผมก็รู้มาคร่าวๆเพียงเท่านี้ ความทรงจำที่กระท่อนกระแท่นของผม เมื่อยังเด็ก พ่อ แม่มักจะไม่อยู่บ้าน ต้องเดินทางไปยังที่ต่างๆ พอถามว่าพ่อกับแม่ไปไหน มักจะได้คำตอบเดิมๆ คือ ไปทำงาน ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่า ทำงานทำไมต้องไปนานๆ กลับดึกๆ หรือไม่ก็ไปเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน แล้วก็ทิ้งผมให้อยู่กับน้า ซึ่งอายุห่างจากผมสิบปี และพี่ชาย แต่พอน้าไปเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำอำเภอผมก็ต้องอยู่กับพี่ชายสองคน บางวัน เลิกโรงเรียนมา ทั้งบ้านเงียบเหงา ไม่มีใครอยู่ แต่พอมองไปก็เห็นกระเป๋าหนังสือของพี่ชายก็ทำให้ใจของผมชื้นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย นั่นแสดงว่า เขากลับมาและไปเล่นกับเพื่อนของเขาแล้ว ผมเคยวิ่งตามจะขอไปเล่นด้วย แต่ด้วยวัยที่ต่างกันและต้องการเล่นกับเพื่อนเขาก็มักจะไม่ให้ผมไปเล่นด้วย สุดท้ายผมก็อยู่บ้านคนเดียวเพราะละแวกบ้านไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันเลย ผมเคยถามพ่อกับแม่ ว่าทำไมต้องไปทำงานช่วงค่ำๆ แล้วให้ผมไปด้วยได้ไหม แต่ไม่ได้บอกหรอกว่า ผมเหงา และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือ ลูกต้องอดทน พ่อกับแม่มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แล้วไม่เหมาะสมให้เด็กไปด้วย อีกอย่างลูกก็ต้องมีหน้าที่ของลูกเช่นกัน มีอีกความทรงจำหนึ่งที่ผมจำได้ไม่เคยลืม ช่วงนั้นผมน่าจะอยู่ประมาณ ป.๒ ป.๓ พ่อกับแม่บอกว่า จะไปทำงานวันนี้ไม่อยู่บ้าน แล้วให้เงินผมกับพี่ไว้ คนละห้าบาท ซึ่งในเวลานั้น ห้าบาทก็คงจะเท่ากับยี่สิบบาทในสมัยนี้กระมัง ในหมู่บ้านที่ผมอยู่ขายส้มตำให้เด็กครกละ ๑ บาทเอง การติดต่อสื่อสารก็ใช้เพียงจดหมายและโทรเลข พอเวลาผ่านไปจนค่ำ พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับบ้าน แล้วก็ผ่านไปวันที่สอง วันที่สาม ผมก็ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ไปไหนก็เลยตัดสินใจไปกินข้าวที่บ้านปู่กับย่า แล้วก็กลับมาบ้าน จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งเดือนกระมัง พ่อกับแม่จึงกลับมาแล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นผมก็จำไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรความทรงจำนี้จึงเด่นชัดกว่าความทรงจำอื่น อ้อ! และก็มีอีกความทรงจำที่ผมจำได้ แต่มันเป็นช่วงเวลาแค่นิดเดียวที่ฝังอยู่ คือ เวลาที่ไปไหนกับพ่อแม่ ท่านทั้งสองจะบอกว่า อยู่ต่อหน้าคนอื่น ลูกอย่าหัดเป็นคนนิสัยขี้ขอ เหมือนลูกคนอื่นนะ เพราะคนเขาจะมองเราว่าเป็นคนไม่มีมารยาท และพ่อแม่ไม่ได้สั่งสอนลูก ลูกต้องเป็นเด็กดี ไม่ทำอะไรให้เป็นการหักหน้าพ่อแม่ ลูกต้องรู้จักเสียสละ ลูกต้องตั้งใจเรียน เวลาจะทำอะไร อย่าทำให้พ่อแม่ขายหน้า ลูกเป็นลูกของ..... จะทำอะไรต้องคิดถึงพ่อและแม่ด้วย หากลูกทำอะไรไม่ดีมา คนเขาจะว่าเสียๆหายๆได้ ฯ ล ฯ ผลจากคำบอกต่างๆนานา ทำให้ผมยังรู้สึกขำทุกครั้ง เมื่อมองย้อนกลับมาพบว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้ไปงานเลี้ยงกับพ่อแม่ด้วย แต่ในงานมีแต่อาหารที่เผ็ด ส่วนที่ไม่เผ็ดก็จะไม่สุก เครื่องดื่ม ก็มีแต่แอลกอฮอร์ วันนั้น เวลาเย็น ผมรู้สึกหิวข้าว ก็เลยไปบอกใกล้ๆ ว่า แม่ครับ ผมหิวข้าว อยากดื่มน้ำด้วย แต่แม่ก็ส่งสายตามาที่ผม เหมือนจะบอกว่า จะมาขอทำไมขายหน้าเขา ห้ามพูด หลังจากนั้นเวลาเคลื่อนจากเย็น จนค่ำ จนกระทั่งดึก ผมก็ยังไม่กล้าจะขอกินข้าว เพราะกลัวพ่อกับแม่ว่าผมไม่มีมารยาท หิวน้ำผมก็ไม่กล้าขอดื่มน้ำ และก็แปลกที่ไม่มีใครสนใจเลยว่า ผมจะได้กินอะไรหรือยัง จะหิวไหม ผมได้แต่มองลูกของคนอื่นๆที่มาด้วย เขาขอพ่อแม่ บอกพ่อแม่ของเขาว่าเขาหิว บางคนก็หาให้ลูกกินโดยที่ยังไม่ได้เอ่ยขอ แต่สำหรับผม ผมขอไม่ได้ เพราะกลัวโดนดุและถูกสั่งไว้แบบนั้น ท้องผมเริ่มร้องประท้วง จนกระทั่งหลับไป ผมได้แต่สงสัยว่า ทำไมผมถึงทำแบบคนอื่นไม่ได้ ทั้งๆที่เขาก็มีฐานะไม่ต่างอะไรกับผม เขาก็เป็นลูกข้าราชการเหมือนกันกับผม แต่ทำไมเขาถึงทำได้ในสิ่งที่ผมต้องทนอย่างทรมาน นี่คือความทรงจำในวัยเด็กบางส่วน ที่ยังติดอยู่ในความทรงจำของผมจนถึงทุกวันนี้
18 สิงหาคม 2551 20:09 น. - comment id 100860
ทุกคนมีความทรงจำด้วยกันทั้งนั้น หากความทรงจำนั้นเป็นความสุข ก็จงจดจำมันไว้ แต่เมื่อไหร่ที่ความทรงจำ มันบั่นทอนความรู้สึกเมื่อใด ก็..จงปล่อยมันผ่านไป... ....เช่นฉันที่กำลังทำให้มันผ่านไป....
18 สิงหาคม 2551 21:23 น. - comment id 100861
19 สิงหาคม 2551 08:43 น. - comment id 100863
หลากอารมณ์จริงๆครับ ความทรงจำบางครั้งก็เก็บมาบันทึกให้ได้รู้สึก แวะมาเป็นกำลังใจให้เข้มแข็งครับ
20 สิงหาคม 2551 16:05 น. - comment id 100980
สะท้อนใจจัง แต่ไม่เป็นไรหรอก เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง fitht !
21 สิงหาคม 2551 19:21 น. - comment id 101041
ตื่นเถิดคนไทย.... ครั้งที่อาณาจักรศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองเมื่อ 1200 ปีก่อน ศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เกาะสุมาตราประเทศอินโดนีเซีย สังคมในแถบหมู่เกาะอินโดจีนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขด้วยเหตุและผล เชื่อถือความเป็นจริง ยอมรับในความเป็นธรรมชาติ ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน จนกระทั่งเมื่อมีลัทธิหมาล่าเนื้อนับถือในพระเจ้าที่พิสูจน์ตัวตนไม่ได้ เผยแพร่เข้ามาในพื้นที่แถบนี้ ผู้คนต่างงมงายศรัทธาในพระเจ้าที่ไม่มีตัวตน อธิบายเหตุผลไม่ได้ สังคมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงแก่งแย่งชิงดี รบราฆ่าฟันกันเพื่อสังเวยพระเจ้าของตนเอง โดยอ้างว่าถ้าฆ่าฟันกันเพื่อความเชื่อทางลัทธิจะไม่บาป เที่ยวเผยแพร่ลัทธิรุกรานเอาเปรียบคนอื่นเขาไปทั่ว เป็นลัทธิที่โง่และเห็นแก่ตัวจริง ๆ เจ้าลัทธิจะหลอกอย่างไรก็เชื่อไปหมด เชื่อแม้กระทั่งให้ทำร้ายตัวเองเพื่อสังเวยพระเจ้าจะได้บุญก็เชื่อ ปรัชญาหลักของลัทธิคือกดหัวผู้คนไม่ให้ฉลาด ไม่ให้ใช้ความคิดเป็น เผยแพร่ความโง่ไปเรื่อย ๆ ก้าวร้าวฆ่าฟันกันไม่รู้หยุดรู้หย่อน แม้ไม่มีศัตรูต่างลัทธิจะฆ่าฟัน ก็ฆ่าฟันกันเองในลัทธิที่ต่างคนสอน แผ่นดินหาความสงบสุขไม่ได้ สภาพสังคมภายใต้ลัทธิก็เอาเปรียบกดขี่กันเอง มนุษย์ผู้ชายอ้างว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าไม่ต้องทำมาหากิน คิดแต่เรื่องรบราฆ่าฟันกันเพื่อสังเวยพระเจ้า กดขี่สตรีเพศให้ทำงานเลี้ยงสามี ผู้ชายสามารถหาผู้หญิงมาปรนเปรอทางเพศได้ถึง 4 คน แต่ผู้หญิงทำไม่ได้ เป็นยุทธศาสตร์ของลัทธิก้าวร้าว ที่ต้องการรุกรานต่อสังคมชาวโลก ถ้าเป็นผู้ชายฝ่ายศัตรูฆ่าให้ตาย แล้วยึดผู้หญิงมาทำเมียเพื่อกลืนลัทธิ แผ่นดินแถบอินโดจีนที่เคยอยู่กันอย่างสงบสุขด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความจริงของธรรมชาติ ก็ต้องมาหวาดผวากลัวการก่อการร้ายของลัทธิอุบาทว์ที่กำลังพยายามแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ของไทย แล้วทำไมคนไทยไม่ช่วยกันขจัดลัทธิอุบาทว์ชาติชั่วออกไปจากแผ่นดินไทย
21 สิงหาคม 2551 19:45 น. - comment id 101098
ความคิดความเชื่อทางศาสนา ทุกศาสนา ส่วนใหญ่มักจะสอน ให้ห้ามสงสัยในคำสอน (มีจริงหรือเปล่า?, ใช่หรือไม่?, เชื่อได้หรือเปล่า?, เป็นจริงอย่างที่สอนหรือไม่?, เพราะอะไร?, เป็นจริงอย่างที่ท่านศาสดาสอนไว้หรือเปล่า?) ยกเว้นแต่ พุทธศาสนา สอนให้ต้องสงสัยในคำสอน สอนให้คิด สอนให้ใคร่ ครวญจนเข้าใจชัดเจนก่อนจึงค่อยเชื่อ ตามหลักแห่งความเชื่อใน กาลามสูตร ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึง คุณ โทษ หรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ ๑. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน) ๒. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา (มา ปรมฺปราย) ๓. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย) ๔. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) ๕. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ) ๖. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ) ๗. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน) ๘. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว(มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา) ๙. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย) ๑๐. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา(มาสมโณ โน ครูติ) ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น ลักษณะความเป็นไทย คือรักอิสระ คนไทยจึงดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้รอดพ้นจากการครอบงำของ พระผู้เป็นเจ้า ความเชื่อที่ผิด และเผด็จการ
14 เมษายน 2552 14:03 น. - comment id 104605
ทุกๆคนมีความทรงจำ