กาลกิณีวีรบุรุษ

ศิวโรจน์

ผมถือกำเนิดในครอบครัวผู้ดีมีอันจะกิน   บ้านของผมเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว   อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม   อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้หลากหลาย   มีพื้นที่ให้พวกผมวิ่งเล่นได้อย่างเสรี 
                    ผมตัวเล็กที่สุดในบรรดาพี่น้อง   เป็นธรรมดาที่จะโดนรังแกอยู่บ่อย   ๆ   พวกเขามักจะคอยหาเรื่องไล่กัดผมไม่เว้นแต่ละวัน   ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน   ทำไมพี่   ๆ   ถึงได้รังเกียจผม 
                    ทุกครั้งที่แม่ไม่อยู่   ผมจะโดนเล่นงานเสมอ   วันนี้ก็เช่นกันผมโดนไล่ต้อนไปจนมุมที่โคนต้นมะม่วง   ได้แต่ภาวนาให้แม่กลับมาเร็ว   ๆ   แต่ดูเหมือนคำขอของผมจะไม่เป็นผลนะ   
                    ไง...ไอ้น้องนอกคอก...วันนี้เอ็งเสร็จแน่   พี่สามซึ่งเป็นหัวโจกตัวต้นคิดวิธีแปลก   ๆ   มารังแกผมร้องถามด้วยความสะใจ 
                    อย่าทำผมเลยนะครับ...พี่ใหญ่...พี่รอง...ผมเป็นน้องของพี่นะครับ   เสียงอ่อย   ๆ   ของผมกับเนื้อตัวที่สั่นเทาไม่ได้ช่วยให้พี่เกิดความสงสารแต่อย่างใด   พวกเขาหัวเราะลั่นด้วยความสนุกสนาน 
                    ฮ่ะๆๆๆ...น้องข้าน่ะไม่เคยมีตัวกาลกิณีอย่างแกหรอกเจ้าชิโร่   ถ้าไม่อยากเจ็บตัวแกรีบไปเอาของว่างมาให้พวกข้าเดี๋ยวนี้...ไป๊ 
                    ไม่ได้หรอก   อันนี้มันเป็นส่วนของผมกับแม่นะ 
                    แกกล้ามีปัญหาเหรอไอ้ตัวประหลาด   อยากเจ็บตัวใช่มั้ย...ได้...   ไม่ว่าผมจะพูดยังไงก็โดนอยู่ดีแหละครับ   พวกหมาหมู่ก็ยังเป็นหมาหมู่อยู่วันยังค่ำ 
                    แม่กลับมาบ้านพร้อมเจ้านาย   ดูท่าทางเจ้านายผมจะตื่นเต้นยินดีกับอะไรบางอย่างมา   ผมเห็นเธอหัวเราะอยู่ตลอดเวลา   พูดคุยกับคนโน้นทีคนนี้ที   ไม่เว้นแม้แต่กับผม   ซึ่งปกติเธอไม่เคยสนใจผมมาก่อน 
                    น้ำเสียงปราณีที่เจ้านายมักจะพูดกับแม่และบรรดาพี่   ๆ   สองมือที่คงจะอบอุ่นน่าดูเวลาที่เธอลูบหัวเบา   ๆ   ผมรอวันนี้มา   นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ก็ว่าได้ 
                    วันนี้   ผมรู้แล้วล่ะครับว่าความรู้สึกที่วิเศษสุด   มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างที่ฝันไว้จริง   ๆ   
                    เธอดึงผมไปกอดด้วย...แม่เห็นไหม   เธอเลิกเกลียดผมแล้วฮะ   ไชโย...ผมรู้แล้วฮะ...ว่าความรู้สึกของอ้อมกอดนี่มันวิเศษอย่างนี้นี่เอง... 
                    มานี่สิชิโร่   แม่เรียกผมเข้าไปใกล้   ๆ   หลังจากที่เจ้านายและบรรดาเพื่อน   ๆ   ของเธอเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ได้ไม่นาน 
                    แม่พาเจ้านายไปไหนมาครับ   เธอถึงได้ดูมีความสุขมากมายขนาดนั้น 
                    เราไปกองประกวดมาจ๊ะ   วันนี้เป็นวันตัดสินรอบสุดท้ายและแม่ก็ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินั้นมาครองสมใจ   เจ้านายเธอถึงได้มีความสุขไงล่ะจ๊ะ 
                    เธอเลิกเกลียดผมแล้วใช่ไหมฮะ 
                      เธอไม่ได้เกลียดลูกหรอกจ๊ะ   อาจจะผิดหวังบ้างที่ลูกไม่เหมือนพวกพี่   ๆ   เขา 
                    นั่นสิฮะแม่...พวกพี่   ๆ   ชอบว่าผมเป็นตัวประหลาด   เป็นตัวกาลกิณี   ทั้ง   ๆ   ที่ผมก็เป็นลูกแม่เป็นน้องพวกเขาเหมือนกัน   ทำไมละฮะแม่   ทำไมไม่มีใครรักผม 
                    ความน้อยใจที่ผมซุกเอาไว้ในอก   มันทำให้ผมรู้สึกแย่ขึ้นทุกวัน   ผมทนไม่ไม่อีกแล้ว 
                    ชิโร่...ฟังแม่นะลูก...หนูเป็นลูกแม่   เป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดที่สวรรค์ประทานมาให้แม่   ลูกต้องอดทน   ไม่ว่าใครจะว่ายังไง   หนูก็ยังเป็นลูกรักของแม่เสมอ...จำเอาไว้นะ...ชิโร่ 
                    ทำไมละครับแม่   ทำไมผมต้องเป็นฝ่ายอดทน   พวกเขาต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอโทษผม   พวกเขาชอบรังแกผม...เวลาแม่ไม่อยู่   ผมโดนอะไรบ้างแม่รู้มั้ย   กะอีแค่สีขนกับสีจมูกไม่เหมือนกันเนี่ย   ผมผิดมากมายขนาดนั้นเลยเหรอครับ... 
                    ...สำหรับตระกูลโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ของเราน่ะลูก   ต้องมีจมูกสีดำหรือสีน้ำตาล   สีขนต้องเหลืองทอง   หรือสีน้ำตาลอมเหลือง   ไม่ก็น้ำตาลไหม้   มันถึงจะถูกต้องตรงตามตำรา   แต่เพราะขนของเจ้าเป็นสีขาวนวลจันทร์ไม่เหมือนใครในตระกูล   แถมจมูกก็เป็นสีชมพู   ถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงของสายพันธุ์เรา   แต่ถึงลูกจะเป็นยังไง   ลูกก็ไม่สามารถปฏิเสธสายเลือดโกลเด้นที่ไหลเวียนอยู่ในตัวลูกได้...จำเอาไว้นะชิโร่... 
                    ถ้อยคำปลอบประโลมของแม่เหมือนน้ำเย็น   ๆ   ที่ราดรดไฟในใจผม   ในเมื่อผมก็เป็นหนึ่งในตระกูล   ถึงจะเป็นตัวประหลาดสำหรับพวกเขาแต่สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายผมก็เป็นโกลเด้นร้อยเปอร์เซ็นต์   สิ่งที่พวกเขาทำได้   ผมก็ต้องทำได้เหมือนกัน... 
                    การปะทะกันระหว่างผมกับพี่   ๆ   ยังมีเป็นระยะ   ๆ   แต่พักหลังมานี่   พวกเขาเป็นฝ่ายวิ่งบ้างล่ะ   ผมพยายามฝึกซ้อมออกกำลังกาย   เลือกกินแต่อาหารที่มีประโยชน์   จนตัวผมเริ่มโต 
                    สี่เดือนผ่านไป   สำหรับบางคนอาจจะบอกว่ามันช่างรวดเร็ว   แต่สำหรับผมที่ต้องอยู่ท่ามกลางความกดดัน   คอยระวังตัวทุกฝีก้าวมันไม่ได้เร็วอย่างที่ใครเขาว่าเลย 
                    จุดหักเหของชีวิตผม   เริ่มขึ้นในเช้าวันหนึ่ง   ท่ามกลางสายลมอ่อน   ๆ   ผมเห็นผู้หญิง   ผู้ชาย   กับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก   เดินลงมาจากเจ้าสัตว์ประหลาดที่ส่งเสียงคำรามดังมาแต่ไกล   มันมีสี่ขาเหมือนผมนะ   แต่ทำไมขามันกลมน่าเกลียดอย่างนั้นก็ไม่รู้   ผมได้ยินพวกพี่เรียกมันว่ารถยนต์   เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนบนโลกใบนี้ 
                    นางฟ้าตัวน้อยเดินตรงเข้ามาที่ผม   รอยยิ้มอบอุ่นกับมือเล็ก   ๆ   ที่เอื้อมมาหามันสื่อความหมายแห่งมิตรภาพอันสดใส   มิตรภาพที่ผมเคยถวิลหามาเนิ่นนาน 
                    ผมยิ้มตอบความสดใสของเธอ   พยายามพูดจาด้วยภาษาง่าย   ๆ   กับเธอ   ซึ่งดูเหมือนเธอจะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง   แต่ภาษาไม่ใช่สิ่งกีดกันมิตรไมตรี   หลังจากทำความรู้จักกันแล้ว   ผมก็เดินนำเธอชมสวนอันร่มรื่น   พวกพี่ได้แต่มองตามเราสองคนด้วยความอิจฉา   ฮ่ะ   ๆๆ   ทีใครทีมันละกันพี่ 
                    ผมเคยได้ยินใครบางคนบอกว่า   เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ   ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความหมายของมันแล้วล่ะ   
เสียงเรียกหานางฟ้าของผมดังมาแต่ไกล   ปลุกเราให้ตื่นขึ้นมาใต้เงาไม้อันร่มรื่น   เวลาแห่งการจากลาคงใกล้จะมาถึงแล้วสินะ   ผมได้แต่แหงนมองดูนางฟ้าตัวน้อยด้วยความเหงาหงอย   
                    ไปกันเถอะ   ชิโร่   แม่เราเรียกแล้ว   มือเล็กเอื้อมมาอุ้มผมลอยขึ้นจากพื้น   พาวิ่งเหยาะ   ๆ   กลับไปตามเสียงเรียกที่ดังใกล้เข้ามาทุกที 
ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า   เจ้านายเดินยิ้มเข้ามารับตัวผมไปจากมือนางฟ้าตัวน้อยที่คงจะไม่อยากให้ผมลงจากอ้อมกอดเล็ก   ๆ   นั้น   และมันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับผมที่ไม่อยากลงจากอ้อมกอดอันแสนจะอบอุ่นนี้เช่นกัน 
                    ส่งชิโร่มานี่เถอะจ๊ะ   ให้น้าอาบน้ำให้มันก่อน   แล้วเชอรี่ค่อยมารับตัวมันไป 
                    ได้ค่ะ   แต่คุณน้าต้องสัญญานะคะว่าจะให้ชิโร่ไปอยู่กับหนูที่บ้าน   เสียงต่อรองของสาวน้อยกับสาวใหญ่ดังขึ้นใกล้   ๆ   
                    ผมมัวแต่ตกตะลึงกับถ้อยคำที่เพิ่งได้ยิน   ผมจะได้ไปอยู่กับนางฟ้าตัวน้อยจริง   ๆ   ใช่ไหม   แล้วแม่ล่ะ   ผมจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีแม่คอยดูแล   ผมอยากไปนะ   แต่ผมไม่อยากจากแม่... 
                    ดูเหมือนแม่จะเข้าใจความวิตกกังวลของผม   สายตาอบอุ่นที่แม่มีให้ผมเสมอมา   มองสบกับสายตาสับสนของผมอย่างปลอบประโลม 
                    ไม่ต้องกลัวหรอกชิโร่...ถึงเวลาที่ลูกจะต้องออกไปเรียนรู้โลกภายนอกด้วยตัวของลูกเองแล้ว   มันเป็นไปไม่ได้ที่แม่จะคอยปกป้องลูกตลอดเวลา   ไปเถอะลูกรัก   ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน   หนูก็ยังเป็นลูกของแม่ตลอดไป 
                    ครับแม่   ผมจะสู้ครับ   ผมจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังครับ   ลาก่อนฮะแม่... 
                    โชคดีจ๊ะลูกรัก...ดูแลตัวเองด้วย   เป็นเด็กดีนะลูก   เสียงแม่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจของผมแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม   
                    บ้านหลังใหม่ของผม   อยู่ใกล้กับวัดแห่งหนึ่ง   คุณเชอรี่บอกว่าชื่อวัดโกโรโกโส   วันแรกที่ผมมาอยู่ที่นี่   ผมพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่   ๆ   พยายามร่าเริงเพื่อไม่ให้คุณ   ๆ   เป็นห่วง   เมื่อมีเวลาอยู่กับความคิดของตัวเอง   ผมมักจะคิดถึงแม่และพี่   ๆ   เสมอ   แม้ว่าความทรงจำดี   ๆ   ระหว่างพี่น้องแทบจะไม่ค่อยมีก็ตาม   แต่ผมก็คิดเสมอว่า   เราเป็นครอบครัวเดียวกัน 
                    จะมีใครจะรู้บ้างไหมว่า   ผมคิดถึงแม่และพี่   ๆ   มากเพียงใด   ผมได้แต่หวังว่า   สักวันคงจะมีโอกาสได้กลับไปอยู่กับแม่และครอบครัวอีก 
ผมเริ่มออกสำรวจพื้นที่กับคุณเชอรี่   ทุกวันหลังกลับจากโรงเรียน   เธอพาผมมาวิ่งออกกำลังกายในบริเวณวัด   ทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกหลายตัว   
                    ที่นี่ผมดูจะเป็นของแปลกสำหรับทุกตัว   แรก   ๆ   ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ผม   ยกเว้นเจ้าจัมโบ้ขาโจ๋ประจำวัด   ที่คอยไล่กัดผมเวลาที่คุณเชอรี่เผลอ   ทีแรกผมก็นึกกลัวเจ้าจัมโบ้เหมือนกัน   ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตสมชื่อ   กับเขี้ยวขาววาววับ   มันทำให้ผมขาสั่นได้เหมือนกัน   
                    ตัวอื่นดูเหมือนจะไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่   พวกเขาคอยสังเกตการณ์ว่าเมื่อไหร่เราสองตัวจะเปิดศึกกันซะที   แต่ผมจะยึดคำสอนของแม่เสมอ   ผมพยายามผูกมิตรกับจัมโบ้แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสำเร็จนะ 
                    วันนี้เป็นวันพระใหญ่   คุณเชอรี่กับครอบครัวมาทำบุญกันที่วัด   เป็นธรรมดาที่ผมจะได้รับเกียรติให้มาด้วย   คุณเชอรี่บอกว่าวันพระใหญ่คนจะเยอะ   เพราะฉะนั้นผมจึงได้สิทธิแค่นั่งรอนอกศาลา   เธอเอาสายจูงผมไปผูกกับโคนเสาตันหนึ่ง   ก่อนจะเดินตามพ่อกับแม่เข้าไปในศาลา 
                    ผมนั่งชมนกชมไม้คอยคุณเชอรี่ไปตามเรื่อง   ใจจริงผมอยากไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายมากกว่า   ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลิน   ๆ   ประสาทสัมผัสอันดีเลิศของผมก็จับรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายออกมาจากซอกมุมมืดใต้ถุนศาลาวัด   
                    สายตาอันเฉียบคมของผมรับภาพคู่ปรับคนสำคัญได้ในทันที   มันนอนแอบอยู่ข้างเสาต้นถัดไป   ให้ตายสิ   ลืมเจ้าจัมโบ้ซะสนิทเลย   สภาพที่ขาดอิสรภาพเช่นผมถ้าสู้กันจริง   ๆ   ผมต้องเป็นรองแน่นอน   ทำไงดีชิโร่   คิดสิคิด.... 
                    เสียงเห่าของสมาชิกก๊วนหลายตัวดังมาแต่ไกล   ผมคิดในใจวันนี้ยังไงเจ้าจัมโบ้ไม่ยอมปล่อยให้ผมลอยนวลแน่   แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับทำให้ผมขนลุกชัน   บรรดาหมาหมู่นับสิบพร้อมใจกันรุมเจ้าจัมโบ้ที่ดูยังไงก็ไม่สามารถสู้ได้แน่นอน 
                    โอ้...ไม่...เลือดรักความยุติธรรมในกายผมวิ่งพล่านด้วยความลืมตัว   ผมกระโจนกระชากสายจูงขาดจากเสา   มารู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในวงล้อมคู่กับเจ้าจัมโบ้ซะแล้ว 
                    เฮ้ย...เอ็งไม่เกี่ยว...ถอยออกไปเจ้าเด็กน้อย   เสียงคำรามจากเจ้าตัวที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มดังขึ้น   ร่องรอยประวัติศาสตร์บนเนื้อตัวของมันบ่งบอกถึงความจัดเจนสังเวียนไม่น้อย 
                    คุยกันดี   ๆ   ไม่ได้เหรอพี่ชาย   เราก็พวกเดียวกันทั้งนั้นนะครับ   
                    ผมพยายามเจรจา   เพราะประมาณกำลังกันแล้วฝ่ายเราเสียเปรียบย่อยยับ   แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับฟัง   เมื่อตัวแรกกระโจนเข้ามา   ตัวอื่น   ๆ   ก็กระโจนตาม   ท่ามกลางความชุลมุน   ผมอาศัยความได้เปรียบเรื่องรูปร่างและความคล่องตัวกว่า   ไล่งับพวกหมาหมู่บ้าเลือดอย่างลืมตัวลืมตาย   
                    เสียงเอะอะโวยวายของผู้คนบนศาลา   เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้การปะทะเมามันมากยิ่งขึ้น   สภาพผมกับจัมโบ้ตอนนี้ไม่ต่างจากหัวหน้ากลุ่มหมาหมู่เท่าใดนัก   ผมพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดจากแผลกัดบริเวณไหล่   รวบรวมพลังครั้งสุดท้ายกระโจนพรวดเดียวถึงตัวหัวหน้ากลุ่มก่อนจะหมุนตัวกลับงับคอหอยของมันอย่างรวดเร็ว 
                    เพราะความประมาททำให้มันพลาดท่าผมอย่างง่ายดาย   เมื่อจัดการกับหัวหน้าได้   พวกลูกน้องก็พากันกระเจิงล่าถอยออกไปคนทะทิศละทาง 
                    ตายแล้วชิโร่...เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย...พ่อขา...แม่ขา...ชิโร่เลือดไหล   เสียงตื่นตระหนกของคุณเชอรี่ปลุกผมให้หายจากอาการหน้ามืด   
                    ผมรู้สึกตัวอีกครั้งที่บ้านหลังจากที่หลับไปหลายชั่วโมง   นางฟ้าตัวน้อยนั่งหลับอยู่ข้าง   ๆ   ผม   มือเล็ก   ๆ   อบอุ่นของเธอยังคงเกาะกุมขาข้างหนึ่งของผมอยู่   สายใยเล็ก   ๆ   ที่เหนียวแน่น   ได้หลั่งไหลกันเข้ามายึดครองทุกอณูในหัวใจ   ความรักความเมตตา   ห่วงใยจากใจดวงเล็ก   ๆ   มันมีอนุภาพดีเยี่ยมมากกว่ายาสมานแผลเสียอีก   ผมอมยิ้มด้วยความสุขใจ   แม้จะรู้สึกแสบ   ๆ   ตรงไหล่อยู่บ้างก็ตามแต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกปวดแผลอีกแล้ว   
                    หลังจากแผลหาย   คุณเชอรี่ก็พาผมไปเดินเล่นที่วัดเหมือนเคย   ผมพยายามมองหาเจ้าจัมโบ้ด้วยความเป็นห่วง   วันนี้ผมทำตัวเกเรกับคุณเชอรี่   พาเธอวิ่งวนรอบวัดเพื่อจะตามหาเจ้าจัมโบ้   ดูเหมือนคุณเชอรี่จะทราบความต้องการของผม   เธอกระตุกสายจูงเป็นการประท้วงก่อนจะพาผมเดินลัดไปทางศาลาท่าน้ำหลังวัด 
                    จัมโบ้นอนซมอยู่ที่นั่น   บาดแผลหลายแห่งกำลังสมานตัว   ดูเหมือนมันไม่ได้เจ็บมากอย่างที่คิดแฮะ...คุณเชอรี่ปล่อยให้ผมเดินไปคุยกับมัน   ส่วนตัวเธอเดินไปนั่งเล่นริมแม่น้ำฆ่าเวลา 
                    เป็นไงบ้างจัมโบ้   เจ็บมากไหม 
                    แล้วเอ็งล่ะเป็นไงบ้าง   หายดีแล้วเหรอถึงได้มาซ่าแถวนี้ได้   น้ำเสียงของมันยังคงกวนประสาทอยู่เช่นเดิม   แต่ผมไม่อยากถือสา 
                    ไม่เป็นไรแล้วล่ะ   ว่าแต่นายไปมีเรื่องกะพวกนั้นได้ยังไง 
                    เรื่องมันนานแล้วว่ะ   ข้าไม่คิดว่าเจ้านั่นจะรอดกลับมาทวงความแค้นแบบนี้เลยประมาทไปหน่อย   แต่ก็ขอบใจเอ็งจริง   ๆ   ว่ะ   ไม่ได้เอ็งช่วย   ข้าคงสิ้นชื่อไปแล้วล่ะ 
                    ไม่เป็นไรหรอก   ฉันไม่ชอบเห็นใครถูกรังแกน่ะ 
                    มิตรภาพระหว่างผมกับเจ้าถิ่นผู้ครองอาณาเขตวัดกำลังงอกงาม   เราคุยกันหลายเรื่อง   ส่วนใหญ่ผมจะเป็นผู้ฟังที่ดีซะมากกว่า 
                    ตูม!!   
                    เสียงเหมือนมีอะไรตกน้ำดังขึ้นใกล้   ๆ   ผมหันไปมองตามสัญชาตญาณ   หัวใจหล่นหายทันทีที่มองไม่เห็นร่างน้อย   ๆ   ของคุณเชอรี่เจ้านายสุดที่รักของผมที่ควรจะนั่งอยู่ริมศาลาท่าน้ำ   ไวเท่าความคิดผมกระโจนลงไปในแม่น้ำทันที 
                    มือน้อยที่โบกชูอยู่กลางแม่น้ำทำเอาหัวใจผมเกือบวายด้วยความเป็นห่วง   ไม่น่าคุยเพลินจนลืมดูคุณเชอรี่เลย   รอผมก่อนนะครับ   ชิโร่กำลังไปช่วยคุณ 
                    จัมโบ้ส่งเสียงเห่าเตือนผมให้ระวังสายน้ำเชี่ยว   ทำให้หลวงพี่ที่กวาดลานวัดอยู่หันมามอง   ผมตะโกนเรียกคุณเชอรี่เสียงหลง   พยายามว่ายน้ำเข้าไปหาเธอ   จนในที่สุด   ผมก็คว้าได้ชายเสื้อของเธอ   ก่อนจะพาเธอตะเกียกตะกายพยายามว่ายน้ำกลับเข้าหาฝั่ง 
                    กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวได้ลดทอนกำลังของผมลงไปจนเกือบจะหมดแรงจมไปหลายครั้ง   กว่าจะพาเธอมาถึงฝั่งได้เล่นเอาผมแทบสิ้นใจ   
                    ผมจะมาอ่อนแอตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด   วินาทีแห่งความเป็นความตายกำลังรออยู่   คุณเชอรี่หมดสติไปแล้ว   ถ้าไม่รีบช่วยเธอต้องแย่แน่   ๆ   ในน้ำนั่นไม่รู้เธอสำลักไปกี่อึก   ถ้าเธอเป็นอะไรไป   ผมจะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด   
                    ผมหันรีหันขวางไม่รู้จะทำยังไงให้เธอฟื้น   หลวงพี่วิ่งมาถึงศาลา   แต่ด้วยความเป็นสมณะเพศ   ท่านไม่สามารถจับต้องตัวคุณเชอรี่ได้   ผมกับจัมโบ้ได้แต่ตะโกนเห่าเสียงดัง   จัมโบ้เห็นท่าทางร้อนรนของผมแล้วก็พยายามปลอบให้ผมใจเย็น   ๆ   
                    ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้...ใช่...ฉันจะช่วยเธอเอง...แม่เคยบอกฉันไว้ว่า   ตระกูลของเราต้องฉลาดเข้มแข็ง   
                    ผมบอกจัมโบ้ด้วยความมั่นใจ   ยังไงผมก็ต้องหาทางช่วยเธอให้ได้...ใช่แล้ว...ในเมื่อเธอกินน้ำเข้าไปเยอะต้องหาทางเอาออกมาให้หมด...นั่นเป็นความคิดที่ฉลาดที่สุดของผมในเวลานี้ 
                    ผมกระโดดขึ้นไปบนบริเวณอกของเธอ   กดน้ำหนักตัวพอประมาณ   ครั้งที่หนึ่ง   ครั้งที่สอง   ครั้งที่สาม   ได้ผลครับ   พอครั้งที่สี่   เธอสำลักน้ำออกมา   ก่อนจะลุกขึ้นมาไอตัวงอ   หน้าดำหน้าแดง   เธอร้องไห้เสียงดัง   มือน้อยเอื้อมมากอดผมไว้แน่นเนื้อตัวสั่นเทา 
                    ผมร้องไห้ด้วยความโล่งใจที่สามารถช่วยนางฟ้าตัวน้อยให้รอดพ้นจากอันตรายได้   ผมสัญญากับตัวเองว่า   จะไม่มีวันปล่อยให้เธอมีอันตรายอีก   ความรู้สึกที่หัวใจจะขาดเสียให้ได้ตอนที่มองลงไปเห็นเธอกำลังจะจมน้ำ   มันสอนผมว่า   ความประมาทเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ 
                    คุณเชอรี่ถูกห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปเล่นที่ศาลาท่าน้ำ   ส่วนผมก็ได้เจอกับความพลิกผันในชีวิตอีกครั้ง   ข่าวการช่วยชีวิตคุณเชอรี่ดังไปทั่วเมือง   ผมกลายเป็นฮีโร่   ที่ทุกคนกล่าวขวัญ   แต่นั่นไม่ได้ทำให้ลืมตัว   การได้ตอบแทนบุญคุณ   ความรัก   ความห่วงใยจากมือน้อย   ๆ   นั่นต่างหากเล่า   คือความภาคภูมิใจสูงสุดสำหรับผม 
                    ชีวิตตัวกาลกิณีของผมยังไม่จบแค่นี้นะครับ   หลังจากข่าวของผมดัง   ก็มีคนมาขอถ่ายรูป   เชิญผมและคุณเชอรี่ไปออกรายการต่าง   ๆ   มากมาย   วีรกรรมที่ผมทำครั้งนี้   ทำให้ผมได้รับรางวัลซุปเปอร์ด็อก   สาขาหมายอดกตัญญู 
                    วันนี้ผมได้ขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้อย่างเต็มภาคภูมิ   สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมดีใจและประทับใจมิรู้ลืม...ภาพที่มันจะไม่มีวันลบเลือนไปจากใจผม...ภาพครอบครัวเล็ก   ๆ   ที่ยืนกอดผมด้วยความรัก   ได้แพร่ภาพไปทั่วทุกมุมโลก... 
...แม่ครับ....ลูกชายคนนี้ของแม่...คนที่เป็นข้อบกพร่องของตระกูล   ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลได้แล้วนะครับแม่...ไม่ว่าเวลานี้...แม่จะอยู่ที่ไหนมุมไหนของโลกใบนี้...โปรดได้รับรู้ไว้ว่า...ลูกแม่คนนี้....รักแม่ที่สุดในโลกครับ...ดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่...ดีใจที่ได้เกิดมาในตระกูล   โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ครับ....ถึงผมจะเป็นกาลกิณี   แต่ผมก็เป็นกาลกิณีวีรบุรุษนะครับพี่...				
comments powered by Disqus
  • แขม่วแมน

    9 พฤษภาคม 2551 20:58 น. - comment id 100135

    ตั้งชื่อเรื่องได้ดีครับ อลังการมาก
    อ่านไปอ่านมาเรื่องหมาซะงั้น
    น่ารักครับ
    8.gif8.gif8.gif
  • ศิวโรจน์ (เกลียวคลื่น)

    15 พฤษภาคม 2551 09:34 น. - comment id 100208

    ขอบคุณมากค่ะ...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ส่งไปประกวดที่เว็บตะเกียงน่ะค่ะ...
    
    ขอบคุณที่เข้ามาเป็นกำลังใจนะคะ
  • ณ.จ๊ะ

    19 พฤษภาคม 2551 00:59 น. - comment id 100243

    สนุกดีครับ..อ่านแล้วก็อยากอ่านอีก
    สรุปว่าผมชอบเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง29.gif29.gif
  • ศิวโรจน์

    20 พฤษภาคม 2551 10:22 น. - comment id 100253

    ขอบคุณค่ะ...คุณ ณ.จ๊ะ...ดีใจที่ชอบนะคะ
    
    พอดีคนเขียนเป็นคนที่ชอบน้องหมามากถึงมากที่สุดน่ะค่ะ...
    
    โดยเฉพาะญาติ ๆ เจ้าชิโร่ น่ะชอบมากที่สุด

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน