*** พระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ พระราชอำนาจเพื่อปวงประชา ***
ลุงแทน
รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ ซึ่งบทบัญญัติต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะเปลี่นแปลงไปตามสภาพการณ์ของบ้านเมืองในกาลสมัยนั้น และนับตั้งแต่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๙๐ มีรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ในรัชสมัยของพระองค์ท่าน ประกอบด้วยรัฐธรรมนูญที่ผ่านกระบวนการพิจารณา
และให้ความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือองค์กรด้านนิติบัญญัติ ซึ่งจัดทำอยู่ในรูปของสมุดไทย จำนวน ๘ ฉบับ และรัฐธรรมนูญที่มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่มีการประกาศใช้โดยมิได้ผ่าน
กระบวนการพิจารณาและให้ควมเห็นชอบจากรัฐสภา จำนวน ๗ ฉบับ รวมเป็น ๑๕ ฉบับ ดังนี้
๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ลงนาม เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๐
๒. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ จัดทำเป็นสมุดไทย และคณะอภิรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน ๕ คน เป็นผู้ลงพระนามและลงนาม เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๙๒ ณ พระที่นั่งราชกัลณยสภา
๓. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๙๕ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
๔. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๐๒ มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๐๒
๕. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๑ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
๖. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๕ มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
๗. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๗ ๒๕๑๗ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
๘. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๙ มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๙ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
๙. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๐ มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
๑๐. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๒๑ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
๑๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๔ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
๑๒. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๓๔ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
๑๓. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๐ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
๑๔. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชัวคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
๑๕. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จัดทำเป็นสมุดไทย และทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
การลงพระปรมาภิไธในรัฐธรรมนูญ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการใช้พระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประการหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาในอดีตถึงแม้จะไม่ปรากฏว่าทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งร่างรัฐธรรมนูญโดยการ
ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยก็ตาม แต่เคยมีกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงไม่เห็นด้วยกับการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ ที่ได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนั้นแล้ว โดยทรงเห็นว่าควรมีข้อแก้ไขบางประการและทรงมีกระแสพระราชดำรัสกับหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมท ลงมาก่อนที่จะทรงลงพระปรมาภิไธย ทั้งนี้ ทรงตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่วกับร่างรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญคือทรงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะให้ประธานองคมนตร
ีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก ด้วยเหตุที่ว่าประธานองคมนตรีเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งการบัญญัติเช่นนี้จะทำให้ขัดกับหลักการตามระบอบประชาธิปไตยที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ซึ่งในเวลาต่อมารัฐบาลขณะนั้นได้ดำเนินการแก้
ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวตามคำแนะนำของพระองค์ท่าน จะเห็นได้ว่าการที่พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมิได้ยับยั้งร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว อาจเนื่องด้วยทรงเล็งเห็นว่าบ้านเมืองในขณะนั้น
มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งหากใช้พระราชอำนาจยับยั้งไว้อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติได้ ดังนั้นจึงทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ เพื่อประกาศใช้ก่อนแล้วึงทรงแนะนำให้แก้ไขเพิ่มเติมภายหลังในส่วนที่ไม่เหมาะสม แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านที่มรงใช้พระราชอำนาจ โดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร
์และความเจริญก้าวหน้าหมั่นคงของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ตลอดระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ภายใต้กรอบของกฎหมายและทรงยึดหลักทศพิธราชธรรมในการปกครองประเทศอย่างเคร่งครัด แม้ในยามที่บ้านเมืองประสบภาวะวิกฤติเกิดความสับสนวุ่นวายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ วันมหาวิปโยค เหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ หรือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี ๒๕๓๕ ก็ตาม พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้พระปรีชาญาณอันสุขุม และทรงใช้วิธีการตามครรลองแห่งวิถีประชาธิปไตยเข้าแก้ไขปัญหาในเหตุการณ์หลาย ๆ เหตุการณ์ให้คลี่คลายลง โดยพระราชทานคำแนะนำต่าง ๆ แก่รัฐในเรื่องที่รัฐนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อขอพระราชทานคำปรึกษา รวมทั้งทรงตักเตือนเพื่อยุติเหตุแห่งปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งจากที่กล่าวมาจึงถือได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "พระมหากษัตริย์นักประชาธิปไตย" อย่างแท้จริง