เรื่องจริงที่เรียกว่าความเศร้า
ตึ๋งหนืด
(ผมเขียนเรื่องนี้ขณะที่ผมนั่งบริเวณที่นอนของผม)
เช้านี้ความทรมานจากเมื่อคืนยังคงติดอยู่ในใจ ไม่ผ่านพ้นไปเหมือนทุกเช้า ผมยังคงร้องไห้กับเรื่องเดิมๆ กับความทรงจำของทุกอ้อมกอดของท่านกับผม ได้แต่นึกคับแค้นใจของตัวเอง ได้แต่ต่อว่าอะไรก็ไม่รู้ ...
ทำไมผมไมีมีเงินเพียงพอที่จะดูแลพ่อของผม หรือ ทำไมไม่มีรถสักคัน โอกาสักครั้งที่ผมจะพาพ่อของผมไปทานข้าว พาพ่อไปเที่ยวเหมือนที่ท่านได้ทำเหมือนผมเป็นเด็ก
เมื่อวานผมโมโหตัวเอง กับสถานการณ์ขณะผมเล่นกีตาร์เพื่อหาเงินค่าเทอม โมโหสังคม คนรอบข้างที่เค้าทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น บางรายก็เดินเหยียบซองกีตาร์ บางรายก็เดินข้าม ...และเค้าก็พลางมองดูผมด้วยสายตาประหนึ่งว่า "มึงมาทำบ้าอะไรตรงนี้ ไม่มีหน้าที่การงานอะไรจะทำหรือไง" แต่ในความเป็นจริงผมก็ไม่ควรคิดอย่างนี้ ทว่าความอดทนอันจำกัดของผมทำให้เรื่องง่ายแค่นี้ กลายเป็นเรื่องยากยิ่งจะทำใจ ก็แค่เห็นแววตาของเค้าเอง
ตอนนี้ หกโมงแล้ว ผมนั่งร้องไห้เพราะเสียงโทรศัพท์ของท่านหายไป ซึ่งกาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ท่าเคยโทรหาผมอย่างมากมาย ทั้งๆที่ขาของท่านหัก ทั้งที่ท่านป่วยมาก ระยะทางซึ่งแต่ก่อนเป็นแค่การเดินลงบรรไดหกขั้น กลับกลายเป็นการเดินทางมาโทรศัพท์ที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน กระนั้นท่านก็ตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ผมเชื่อในความรักของท่าน ทว่าเสียงโทรศัพท์นี้ได้ห่างหายไป ท่านคงไม่ไหวอย่างที่ท่านบอกผมจริงแล้วกระมัง โทรไปท่านก็ไม่รับ จะเป็นยังไงบ้าง ...
ท่าทางผมต้องกลับกรุงเทพแล้ว ...
ความทรมานดังกล่าวได้ถูกเพิ่มพูนขึ้นด้วยภาพของคนป่วยโรคไต ซึ่งเมื่อวันก่อนผมได้พบและได้เห็น ทุกคนต่างมีอาการเดียวกัน นั่นคือ หนาว เจ็บ ชา และทรมาน ผมสัมผัสจากแววตาของเขา
นึกแล้วแค้นใจตัวเองว่า
ทำไมแม้ผมอยากจะดูแลพ่อผมให้ดีที่สุดอย่างไรก็ไม่มีทาง ไม่มรทาง ที่จะดูแลท่านได้ดี เพราะตอนนี้ไม่มีเงิน แค่จะเรียน หรือเอาตัวรอดยังยาก....
แต่อีกนั่นแหละ นี่ชีวิตผมนี่ ชีวิตของผมซึ่งต้องก้าวต่อไป เหมือนที่เคยเดินผ่านมา ปลอบใจตัวเองว่ามันก็เหมือนที่เราเคยผ่าน แม้ข้างหน้าจะมืดมน แต่ไม่ถึงกับมืดมิด แล้ว...
ผมก็ยังร้องไห้และยิ้มต่อไป ไปแล้วนะครับ ไปทำหน้าที่ลูกที่ดีต่อ (พูดขณะเอามือปาดน้ำตา)
บันทึก 19/12/07 เวลาหกโมงเช้า ที่บ้านพัก
เรื่องนี้ผมเขียนตอนเช้า ขณะที่ผมนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และในขณะที่เสียงโทรศัพท์ของพ่อห่างหายไป ผมหวังว่าเรื่องนี้คงสะท้อนความจริงอะไรบางอย่าง อันที่จริงผมไม่ต้องกาคำปลอบใจ เพราะคำปลอบใจเดียวที่ผมต้องการคือโอกาสและทรัพยากรที่เพียงพอในการดูแลคุณพ่อของผม