บันทึกความเหงา(2) มุกดาหาร..โรงแรมมุกธารา...ห้อง๓๐๖ .. วันนี้ตื่นนอนที่อำเภอกุดบาก สกลนครแต่เช้า...ด้วยอาการงัวเงียที่สุด...เมื่อคืนนอนดึกมากๆ(ตีสองครึ่ง)เพราะชาวบ้านลากไปงานบุญ ต่างหมู่บ้าน....ต้องรอกลับพร้อมกัน..เลยอดเขียนบันทึกของตัวเอง เส้นทางจากอำเภอกุดบาก ไป อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร คดเคี้ยวไปตามความเว้าแหว่งของเทือกเขาภูพาน...จากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งของภูเขา ระยะทาง ร้อยกว่ากิโลฯนิดๆ ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง มันไม่ใช่ ๒ ชั่วโมงของความยากลำบากของเส้นทาง..แต่มันเป็น ๒ชั่วโมงของการชมความงาม..สองข้างทาง...เปิดหน้าต่างรถชมหมอกเหมยที่คลอยอดหญ้า..และแมกไม้สองข้างทาง ถ้ามีใครสักคนที่รู้ใจนั่งเคียงข้าง..ช่วยกันชี้ชมสิ่งที่ผ่านเข้ามาทางสายตา...ฉันว่ามันเป็นความสุขที่ล้นเหลือ..และเวลา 2ชั่วโมงก็คงไม่พอแน่เลย....แต่มันเป็นได้แค่ความคิดเท่านั้นเอง ชาวตำบล ดงหลวง ตำบลพังแดง เป็นชนเผ่าบรู(ชาวโส้..อพยพมาจากฝั่งลาวเมื่อ ๒๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา)ที่อาศัยอยู่เชิงเทือกเขาภูพานฝั่งตะวันออก ...)พวกเขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกว่าโส้ เพราะมันเป็นความหมายเชิงดูถูก เพราะคำว่าโส้แปลว่าคนป่า ใครจะรู้บ้างว่า..พวกเขาเป็นชาวบ้านที่น่ารักมาก...หาอยู่หากินกับป่าเป็นหลัก..ถ้าปลูกพืชผัก ก็เป็นพืชผักพื้นบ้าน .ผักหวาน และสารพัดพืชผักป่า..ปกติเมื่อฉันมาเยี่ยมพวกเขา..เขาต้องให้ฉันนอนกับพวกเขาที่กระท่อมในสวนป่าส่วนตัวใกล้ๆหมู่บ้าน..พวกเขา ร่วมๆ ยี่สิบคนก็จะขนอาหารมาทำกินร่วมกัน(ตุ้มโฮม) ใครมีไก่บ้าน..มดแดง..ผักหวาน..ปลา..หรือผักต่างๆก็เอามา.....ไม่มีหมู...ไม่มีเนื้อวัว ...อาหารทุกอย่างถูกปรุงสุกด้วยกระบวนการหลามด้วยไม้ไผ่...และใช้หม้อเท่าที่จำเป็นมากๆเท่านั้น..และที่ขาดไม่ได้ก็ เจ้าอุ.เหล้าแกลบ. ตบดินพอก...เติมน้ำ...ตอกหลอดไม้ซาง.. อือ..แค่พูดก็น้ำลายหกแล้วหล่ะ... กว่าจะหลับลงได้แต่ละครั้ง..พวกเขาช่วยกันเล่าตำนาน....วีรกรรมของแต่ละคนเมื่อครั้งยังเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศไทย....ครั้งหนึ่งสำหรับพวกเขาในชุมชนแห่งนั้น... แม้แต่หมาก็หมาคอมฯ พวกเขาทั้งหมู่บ้านเข้าป่าเป็นคอมมิวนิตส์ขับปืนต่อสู้กับรัฐบาล...แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็พ่ายแพ้..กลับสู่หมู่บ้าน...ยอมเข้าเป็นสมาชิกผู้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทย....พวกเขาเป็นฮีโร่ในป่า..แต่ไร้เดียงสามากสำหรับในเมือง...พวกเขาตรงๆ ..ดุดัน...ดื้อ...แต่น่ารัก เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ในพื้นที่เหล่านี้หน่วยงานรัฐแทบจะเข้าไปทำงานในพื้นที่ไม่ได้ สำนักงานปฎิรูปที่ดิน เขาทำโครงการพัฒนานาชุมชน...เขาขอแรง (จริงๆแล้วคือจ้าง) ให้ฉันช่วยเข้าไปทำงานที่นี่...ฉันพกความซื่อใส..ตรงไปตรงมาและความจริงใจ ตั้งใจจริง เข้าหาพวกเขา.....ฉันต้องใช้เวลาถึง 3 วันกว่าจะชวนชาวบ้านที่นี่มานั่งคุยกันได้ ฉันไปนอนอยู่ในศาลากลางหมู่บ้านโดยไม่มีผ้าห่ม เสื่อหรือหมอน แต่อย่างใด 2 คืน แต่ละวันใช้เวลาเดินคุยไปเรื่อยๆ จนผู้นำชาวบ้านยอมรับ และหลังจากนั้นเป็นต้นมาเขายอมรับและรักฉัน แต่สำหรับวันนี้..ฉันไม่ไหวแล้วเหนื่อยมากๆ...จริงๆแล้วกะว่าเสร็จจากการประชุม ในหมู่บ้าน แล้วจะตีรถกลับปทุมธานีเลย....แต่เมื่อถามร่างกายตัวเอง...มันก็บอกว่า...ไม่ไหวแล้ว...ก็เลยตัดสินใจเข้าเมืองมุกดาหาร ... เดินเล่นริมน้ำโขง....มองดูแสงไฟวับแวมสะท้อนแสงในลำน้ำจากฝั่งลาวอันเงียบสงบแล้วเหงามาก...ตลิ่งที่สูงชัน.ทำให้.คิดถึงบางบทกลอนของสุรชัย จันทิมาธร นักร้องเพลงเพื่อชีวิตวงคาราวาน ตลิ่งของสองข้างทางน้ำของ* แม้ยืนมองอยู่หยั่งคอตั้งบ่า เขาหาบน้ำตามขั้นบันใดมา จากตีนท่าลื่นลู่ดังถูเทียน แต่ละวันเหงื่อไหลลงโทรมร่าง แต่ละย่างก้าวพันสั่นถึงเศียร อันความทุกข์มากมายหลายเล่มเกวียน ก็วนเวียงอยู่กับของสองฝั่งเอย * ของ...คือ...โขง
18 พฤศจิกายน 2550 19:06 น. - comment id 98325
อ่านดีนะ เห็นภาพพจน์เหมือน ได้ร่วมทางไปด้วย รู้สึกชอบชาวบ้าน ไปด้วยนะ ท่าทางจะซื่อและน่ารักดี
20 พฤศจิกายน 2550 17:49 น. - comment id 98331
มาบันทึกความเหงาไกลจังเลยค่ะ.. อ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป.. พี่ก็ยังไม่เหงานี่นา..
25 พฤศจิกายน 2550 01:16 น. - comment id 98365
ขอบคุณเก็จถะหวาที่มาเยี่ยมเยือน..แนะนำข้าน้อยผู้ด้วยประสบการณ์บ้างหนา... น้องครูพิมขอรับ...ไอ้เจ้าความเหงานี่มันเป็นเรื่องกวนอยูในใจนะ...อยู่คนเดียวเงียบๆเมื่อไหร่ก็เป็นอาละวาดเชียว..คนไม่เคยเหงาอย่างน้องครูพิมก็สบายไปนะซี....
15 ธันวาคม 2550 17:37 น. - comment id 98642
อ๋อ มีเพื่อนเป็นคุณครูนี่เอง ถึงประพันธ์ได้ดี และก็เขียนให้คุณครูได้ดีเยี่ยมเช่นกัน.........