เสียงลมพัดพลิ้วมาเป็นระลอกริ้ว ส่งผลทำให้กิ่งไม้ ใบไม้ปลิวอยู่ไหว ไหว... แต่เหตุใด หัวใจจึงไหวตามการเคลื่อนไหวของใบไม้... ดึกสงัดแล้ว แต่ทำไม ? ดวงตาจึงแข็งทื่อไม่ยอมปิดลงเลย... ฉันนั่งรับลมอยู่ระเบียงหลังบ้าน.... นั่งอยู่เป็นนานแล้ว ตั้งแต่หัวค่ำจนดึกดื่น... คอยเหม่อมองดูดวงตะวันยอแสง จนกระทั่งลาลับไปไร้สิ้นแสง ก้มซบหน้ากับเข่า ท่านั่งชันขึ้นบนเก้าอี้โยก ตัวโปรดของพ่อ... ผ่านไปอีกแล้วหนึ่งวันอีกไม่นาน"พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว" ฉันบอกตัวเองพรึมพรำอย่างเบา เร็วจังอีกไม่นานก็จวนจะสิ้นปีแล้ว "ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม" จะพ้นไป นั่งทอดถอนลมหายใจหลายรอบแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังวิตกกังวลกับสิ่งใดหนอ? ฤดูกาลผ่านผันเร็วบ้าง ช้าบ้าง บางครั้งก็ไม่รู้สึกเลยว่ามันผ่านพ้นไป ถึงไหน ไหน. ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้า... ฟ้าสวยดี ฤดูกาลนี้ น้ำค้างกำลังเริ่มลงอากาศเย็นวาบกระทบผิวยามลมโชยมาแต่ละที เสียงเพลงที่เปิดไว้คลอแว่วมาตามสายลม เหงาดีแท้ บรรยากาศนี้บทเพลงก็ช่างเหลือ ช่างบังเอิญเล่น ถึงเพลงที่เข้ากับบรรยากาศแท้.... "ผ่านลมหนาว จะกี่คราวก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครให้ใจอุ่น อยากจะหา คนที่ทำให้ใจสมดุลย์ แต่ไม่เคยสมหวังสักที... " ลมหนาววาบหวิว น้ำค้างก็หนาววูบวาบแท้ แต่อารมณ์นี้ไม่เห็นกลัวเป็นไข้สักนิดเลย ฟังเพลงแล้วทำให้คิดย้อนกลับไป เมื่ออดีต เจ็บร้าวหนาวเหน็บแบบสะใจไร้คำตอบ ความปวดร้าวบวกกับอากาศเย็นทำให้สะท้อนผิวกายร้าวไปถึงหัวใจเชียว เง้อความรัก ทำให้คิดถึงประโยคหนึ่งที่เคยเห็นบ่อย ๆ ในหน้าเว็ป "อารมณ์คนในอารมณ์เพลง" มันก็จริงนะคน "เหงาได้ขนาดนี้เชียว อารมณ์คนอ่อนไหว" "ใกล้หน้าหนาวทุกครั้ง ไม่มีคนคอยคิดถึง อยากมีใครให้รัก ให้ซึ้ง เหมือนคนอื่นเขา ใกล้หน้าหนาวทุกครั้ง คล้ายฤดูกาลยิ่งเหงา ต้องทนหนาวกับใจที่เหงา คนเดียวอย่างเดิม... " อากาศแบบนี้ บรรยายเหงา ๆ มองดาวบนฟ้าก็พอทำให้ผ่อนคลายได้บ้างในรู้สึก "ความคิดถึงเกิดขึ้นเมื่อคิดถึง" ทำให้คิดถึงประโยคนี้จัง อารมณ์เหงารุมเร้ายกใหญ่ หัวใจสั่นคลอน ปลดล่องลอยไป ตามลมหนาวที่พัดพลิ้ว ลิ้วล้อกับน้ำค้างกลางหาว บนฟ้าดวงดาวสวยงามฟ้าเปิดปลอดโปรงดีจัง ระยิบระยับแวววาวแสงดาวพราวเต็มฟ้า "ลมหนาวมาเมื่อใด ใจฉันคงยิ่งเหงา คืนวันที่มันเหน็บหนาว ไม่รู้จะทนได้นานเท่าไร ลมหนาวมาเมื่อใด กลัวฉันกลัวขาดใจ เพราะหัวใจ ที่มันอ่อนไหว ไม่เคยได้รักจากใคร เสียที... " แม่จ๋า..... บางเสี้ยวอารมณ์ ยากจะข่มให้ความแปรปรวนในอารมณ์คงดังเดิมเช่นปกติยากจริง นานแล้วที่ไม่ออกมารับบรรยากาศแบบลูกทุ่ง ๆ บ้านนาของบรรยากาศที่จิตสำนึกนั้น คอยโหยหาอยู่เสมอ ๆ แต่ไม่ค่อยได้มาสัมผัสกับบรรยากาศนี้สักเท่าไหร่ เนิ่นนาน... เนิ่นนานมาก จนทนอาการร่ำร้องของหัวใจตัวเองไม่ไหว... หมอกควันคละคลุ้งมันรู้สึกเย็นวาบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ฉันลืมหายใจหรือ ? ก็ไม่นิ แต่ในรู้สึกเหมือนฉันไม่ได้หายใจ ไม่มีการสูบลมเข้าปอดและไม่รู้สึกว่า... ผายลมออกจากปอด รู้สึกตัวเบาสบายคล้ายล่องลอยอยู่กลางอากาศ ฉันมองรอบตัว เห็นแต่ควันสีขาว แต่สักพักเริ่มจาง ๆ กลายเป็นสว่างจ้า... "แหลม...แหลม " ฉันรู้สึกตกใจและระคนดีใจที่ได้ยินเสียงคุ้นเคยที่ดังมาจากด้านหลัง ฉันรีบหันหลังกลับไปดู เพราะคนที่จะเรียกฉันมีแค่สองคน มีแม่ และพ่อ เท่านั้น ภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นทำฉันยิ้มดีใจ นั้นแม่นี่นา วันนี้แม่สวยจังแม่ใส่ผ้าซิ่นไหมแท้ สีเม็ดมะขามเป็นไหมมัดหมี่ที่ท่านทอเองกับมือ และใส่เสื้อผ้าหางกระรอกสีออกน้ำตาล ที่พี่สาวซื้อผ้าฝากจากกรุงเทพ ฯ แล้วนำไปตัดเป็นเสื้อให้เข้าชุดกับผ้าซิ่นไหมแท้ของแม่ ท่านสวยมาก หน้าตาผ่องใส ผิวพรรณดูผุดผาด แววตาแจ่มใส ยิ้มอบอุ่นให้ฉันแต่ไกล "แหลม แหลม " ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลังทำฉันสะดุ้ง นี่มันเสียงพ่อนี่นา เง้อ..อ..อ ฉันทำหน้าตางัวเงีย ค่อย ๆ หรี่ตาข้างนึ่ง อ้าวสว่างจ้าแล้วนี่หว่า เง้อ.อ..อ พ่อเปิดไฟ "บ่ย่านติ มานั่งหยังอยู่หนี่ โอโต๋นิเนาะ" เสียงพ่อเอ็ดดังก่อนเดินไปเปิดหลอดไฟอีกดวง "ฟืนไฟกะบ่เปิดน้อ อยู่คนเดียวกะ บ่ย่านหยังเนาะ" คำพูดของพ่อทำให้ฉันนึกขึ้นได้ ว่าตัวเองนั่งตั้งหัวค่ำจนดึกดื่นแล้วก็เผลอหลับไป.... "ฮาดดดดด เช๊ย.ย..ย...ย " คัดจมูกจริงวุ้ยส์.... "เปนได๋ เปนไข่คั๊กบาดนิ ใหย๋ปานนิกะบ่จักความเนาะ" เสียงพี่แกบ่น ๆ เง้อ.อ..อ ฉันไม่มีข้อโต้แย้งใด ใด เพราะตัวเองก็ผิดจริง โตขนาดนี้แล้วยังมานั่งตากน้ำค้างอยู่อีก มิหน่ำซ้ำ นั่งตากลมจนมือซีดเลย หวัดรับประทานละคร๊าบบบบทั่น... ฉันนั่งมองสังเกตอาการกริยาของพ่ออยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับท่านได้แต่มอง "ไป๋แมะไปนอน ยังมานั่งหยังอยู่หนี่ " แล้วท่านก็เดินไปปิดหลอดไฟ ที่อยู่ด้านใต้ถุน แล้วเปิดไว้แต่ระเบียงหลังบ้าน ฉันเข้าไปในบ้านแบบไม่มีอาการขัดเคือง ให้ท่านว่าต่อ "หายากินซะเด้อ."เสียงพี่แกตะโกนสั่งตามมาจากข้างหลัง ฉันเองไม่ได้หันกลับไปมอง.. ฉันงอนพ่อมานานแล้ว มันได้หลายเดือนแล้ว... มันมีวันหยุดติดกันหลายวัน จึงออกมาเปลี่ยนบรรยากาศที่บ้าน มันเป็นครั้งแรกเลยล่ะ ในรอบหลายเดือน ฉันไม่เคยโผล่หัวมาเลย พ่อให้พี่สาวโทร.ตามก็ไม่ยอมออกไปหา แต่ท่านก็รู้ว่าฉันเป็นคนที่ได้อุปนิสัยของท่านมากที่สุดในจำนวนลูกทั้งหมด ฉันถอดมา ถอดแบบพิมพ์เดียวกับท่านเลยเชียว ซึ่งท่านก็รู้ว่าฉันดื้อ รั้น เลี้ยงยาก และนิสัยเด็ดขาด กว่าใคร ๆ ซึ่งมากกว่าพี่ชายของฉันเสียอีก... เดินเข้ามาถึงห้องนอนทำให้นึกถึงสิ่งที่กึ่งฝัน กึ่งตื่นก่อนนี้... แม่คงดีใจ ที่ฉันกลับมาบ้าน ฉันคงบาปไม่น้อยที่ทำตัวแบบนี้ แต่ทำไงได้ล่ะเน้อ... ก็คนเรามันมีเหตุผลนี่นา แม่ก็รู้นี่....ว่าพ่อเป็นไง เง้อ.อ..อ...อ ไม่วายแก้ตัวแล้วตรู แต่ฉันก็ไม่ลืมสัญญา ที่รับปากกับแม่ไว้หรอกหน่า... ก็ฉันยังโทร.ถามข่าวคราวของพ่อ กับพี่สาวประจำ ๆ เพียงแต่ไม่ได้ออกมาพบปะหน้าเท่านั้นเอง... แม่จ๋า... หนูจะไม่ลืมสัญญา... ---------------------------------------------------------------------------------------------- สัญญาณลมหนาวอีกครา "ตุลาคม" ถึงคราวขม...เมื่อเข้าสู่...ฤดูหนาว คนเดียวดายหนาวเหน็บเร้นเจ็บร้าว เมื่อทุกคราว...ยังคงเป็นเช่นผ่านมา... ----------------------------------------------------------------------------------------------
18 ตุลาคม 2550 18:39 น. - comment id 97928
อารมณ์คนนี่ข่มยากครับ แวะเอาความคิดถึงมาวางไว้ครับ เชื่อไม๊ครับ ในวันที่ผมโตพอจะรู้ประสาแล้ว จึงได้เข้าใจความหมายของคำว่า "ชาวบ้านรัก ไม่เท่าพ่อแม่ชัง" ถนอมทุกดวงใจอันเป็นที่รักนะครับ ด้วยระลึกถึง
17 ตุลาคม 2550 08:03 น. - comment id 98045
ชอบจัง เรื่องลมหนาว ลมหนาวเนี่ย..! สองเช้ามาแล้วนะ ที่รู้สึก.. และสัมผัสได้ถึงลมหนาว.. สดชื่น.. และมีความสุขที่สุด.. ล ม ห น า ว ม า เ ยื อ น .. เ ห มื อ น ค ว า ม รั ก.. ฝั่งคุณล่ะ.. สัมผัสได้บ้างรึยัง
17 ตุลาคม 2550 08:13 น. - comment id 98059
ที่นี่เริ่มหนาวแล้วค่ะ แต่ไม่เคยหนาวใจนะ
17 ตุลาคม 2550 08:14 น. - comment id 98060
^_^
17 ตุลาคม 2550 10:10 น. - comment id 98061
พี่พุดซาบซึ้งใจ บทที่พรรณนาถึงคุณพ่อคุณแม่ ที่แสนเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ ความรักอบอุ่น ที่ให้ความรู้สึกแสนงดงามใจค่ะ น้องรัก ขอมอบบทเพลงนี้แด่น้องนะคะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song81.htmlหนาวลมที่เรณู โอภาส ทศพร เรณูนคร ถิ่นนี้ช่างมีมนต์ขลัง ได้พบนวลนาง ดั่งเหมือนต้องมนต์แน่นิ่ง น้องนุ่งซิ่นไหม ไว้ผมมวยสวยเพริด พริ้ง พี่รักเจ้าแล้วแท้จริง สาวเวียงพิงค์แห่งแดนอิสาน เราเคยสัมพันธ์ พรอดรักเมื่อคราวหน้าหนาว คืนฟ้าสกาว เหน็บหนาวน้ำค้างหรือนั่น เพราะได้เคียงน้อง ถึงต้องหนาวตายไม่หวาดหวั่น รุ่งรางต้องร้างไกลกัน สุดหวั่นไหว ก่อนลา ผ้าผวยร้อยผืน ไม่ชื่นเหมือนน้องอยู่ใกล้ ดูดอุร้อยไห ไม่คลายหนาวได้หรอกหนา ห่างน้อง พี่ต้องหนาวหนักอุรา คอยนับวันเวลา จะกลับมาอบไอรักเก่า เย็นลมเหมันต์ ผ่านพ้นยิ่งพาสะท้อน โธ่น้องบังอร ก่อนนั้นเคยคลอเคียงเจ้า ครั้งเที่ยวชมงานพระธาตุพนม ยามหน้าหนาว พี่ยังไม่ลืมนงเยาว์ โอ้แม่สาว เรณู... ..............
17 ตุลาคม 2550 11:05 น. - comment id 98062
เริ่มเข้าหน้าหนาวทีรัย .. มีแต่คนบ่น หนาว หนาว เหงา เหงา ทู๊กที
17 ตุลาคม 2550 13:20 น. - comment id 98068
ดีจ้า.........พี่แมงกุ๊ดจี่........... หุหุ ข้างในใจฉันเหน็บหนาว เงียบเหงา วันเวลาเก่าๆที่ฉันเคยมีเธอ ความเหงา ความหนาวเป็นอะไรที่ฉันปวดร้าวเมื่อได้เจอ.....จะผ่านจะพ้นคืนหนึ่งมันเป็นเรื่องยากเย็นเสมอ....วันใดที่ใจเคว้งคว้างคงไม่เหลือทางจะผ่านได้เลย...... มามะมากอดกันดีก่าเนอะ......
17 ตุลาคม 2550 20:42 น. - comment id 98074
ลมหนาวมาเยือน ขอให้เยือนเพียงแต่ผิวกายนะคะพี่มะกรูด
18 ตุลาคม 2550 14:14 น. - comment id 98082
ที่นี่กลิ่นอายแห่งลมหนาวก็เริ่มมาเยือนแล้วเช่นกัน
25 ตุลาคม 2550 20:18 น. - comment id 98115
6 พฤศจิกายน 2550 11:59 น. - comment id 98250
ก็คงหนาวไม่ต่างกัน