เราได้รับบทการเป็นแม่ ก็เมื่อลูกสาวของเราได้คลอดออกมา เราฟูมฟัก ทนุถนอมและเข้าใจถึงความรักที่บริสุทธิ์ที่มีให้กับลูก ได้อยู่ใกล้ชิด ได้กอด ได้หอมแก้ม ได้ปลอบขวัญ ได้สัมผัสมือน้อย ๆ ของลูก ทุก ๆ วัน ช่วงระยะเวลามันช่างแสนสั้นเหลือเกิน เราได้อยู่กับลูกแค่เพียงแค่ 3 เดือนแรกเท่านั้น ลูกก็ต้องจาก อกแม่ไป ถึงเวลาที่แม่จะต้องกลับไปทำงานแล้ว ไม่มีคนเลี้ยงเจ้า จึงต้องตัดใจให้ลูกไปอยู่กับปู่ย่าที่ ลำปาง ซึ่งเราต้องทำงานอยู่ที่ระยอง ส่วนตากับยายก็รับราชการครูอยู่ ไม่มีใครมีเวลาที่จะเลี้ยง ครั้นจะฝากหรือจ้างคนเลี้ยงก็กลัวหลาย ๆ อย่าง ปู่กับย่าเลยขอไปเลี้ยงให้ การพลัดพรากจากกันครั้งแรกจึงเกิดขึ้นมันช่างแสนทรมานยิ่งนัก คนเป็นแม่อย่างเราต้องร้องไห้เกือบทุกคืน กว่าจะทำใจได้ นานทีเดียว ปู่กับย่าบอกว่าจะช่วยเลี้ยงให้ไม่ต้องเป็นห่วง แค่ให้เราทำงานและส่งเงินมาให้ลูกก็พอ เค้าจะดูแลให้เป็นอย่างดี เรากลับมาทำงานได้ ไม่ถึง 2เดือน ก็ทนคิดถึงลูกไม่ไหวจึงยอมออกจากงานเพื่อมาทำธุรกิจส่วนตัวอยู่กับบ้าน ด้วยตั้งใจจะเอาลูกมาเลี้ยงเอง แต่ผลก็คือ เค้าไม่ให้ลูกกลับมา บอกเพียงว่าให้เราทำงานไปเค้าจะเลี้ยงให้ รอให้โตอีกหน่อย สัก 3 ขวบค่อยเอามาแล้วกัน ทีแรก เราก็ไม่ยอม แต่เมื่อทุกครั้งที่เราไปเยี่ยมลูก เห็นเค้าดูแลลูกเราเป็นอย่างดี มอบความรักให้อย่างสุดหัวใจ เวลาปู่ย่าไม่สบายเค้าบอกว่า ก็ได้กำลังใจจากหลานสาวคนนี้ (ท้าวความไปถึง เนื่องจากปู่กับย่าเคยมีลูกสาว 1 คนเป็นคนแรก แต่เค้าอยู่ได้แค่ 2 เดือนแล้วก็เสียไป จากนั้นก็มีแต่ลูกชาย 2 คน) จึงเข้าใจว่าทำไมเค้าจึงรักหลานสาวคนนี้มากนัก มากเสียยิ่งกว่าลูกของตัวเองซะอีก (ลูกชายทั้ง 2 เค้าบอกมา) พอลูกสาวของเราใกล้จะ 3 ขวบ เราก็ไปทวงสัญญา บอกเกริ่น ๆ ไว้ว่าจะรับลูกมาเลี้ยงเองและเข้าโรงเรียนที่นี่ ปู่กับย่าก็เริ่มไม่สบายใจ เริ่มคิดมากและแอบร้องไห้ ใจหายเพราะความผูกพัน หลานสาวกำลังน่ารัก พูดเก่ง ช่างประจบเอาใจ "คุณปู่ขา" "คุณย่าขา" ครั้นแล้วเราจะกล้าแย่งดวงใจจาก คนแก่ ๆ 2 คนนี้ได้เชียวหรือ เราคงทำไม่ได้ เพราะเราก็เคยสัมผัสการพลัดพรากมาแล้ว ว่ามันเจ็บช้ำทรมาน นานแค่ไหนกว่าจะทำใจได้ ลูกของเราทำให้โลกของปู่ย่าสดใส มีกำลังใจในการดำเนินชีวิต เลยคิดในใจว่า สงสัยเราคงต้องเป็นผู้เสียสละซะเอง ล่ะมั้ง ปู่กับย่าบอกว่า หลานยังเล็กอยู่ ขอให้เรียนจบปริญญาก่อนจะได้มั้ย ไม่ต้องเป็นห่วงเค้าจะดูแลให้เป็นอย่างดี แล้วจะให้เรา ผู้เป็นแม่ พูดอะไรต่อไปได้ล่ะ พูดไม่ออก บอกก็ไม่ได้ ก็ได้แต่บอกว่า ถ้าลูกพร้อมและเอ่ยปากออกมาเมื่อไหร่ ว่าอยากจะไปอยู่กับพ่อแม่ เราจะรีบรับมาทันที รอให้ลูกพร้อมเท่านั้นเองและสิ่งที่ทำได้ขณะนี้ก็ได้แต่รอ ตอนที่ลูก อายุได้ 3 ขวบ เราก็จะขึ้นไปหา และก็คิดอยากจะให้อะไรกับลูกบ้าง อย่างที่คนเป็นพ่อเป็นแม่พึงอยากจะบอกกับลูก เราอยากจะสอนลูก จึงรำพันเป็นบทกลอนนี้ขึ้นมา เขียนให้กับลูก ..." คำสอนพ่อแม่ "... ...ถึง น้องมิ้งค์ ลูกรัก... ...พ่อกับแม่ แสนรัก ลูกนักหนา... ...ถึงพ่อแม่ อยู่ไกล สุดสายตา... ...ด้วยหน้าที่ การงาน ต้องห่างไกล... ...แต่ดวงใจ ของเรา ยังพันผูก... ...อยู่กับลูก ทุกครา ไม่ไปไหน... ...แสนคิดถึง ห่วงหา และอาลัย... ...แสนห่วงใย ตัวเจ้า ทุกเช้าวัน... ...ปู่กับย่า รักเจ้า เท่าพ่อแม่... ...ทนุถนอม ดูแล แม่จอมขวัญ... ...ทั้งฟูมฟัก รักเจ้า เท่าชีวัน... ...แสนผูกพัน กับเจ้า เท่าดวงใจ... ...เจ้าจงเป็น เด็กดี ของปู่ย่า... ...ต้องเชื่อฟัง ทุกครา อย่าเหลวไหล... ...ไม่ร้องไห้ ไม่งอแง อีกต่อไป... ...เป็นผู้ใหญ่ ที่อ่อนน้อม และถ่อมตน... ...จงพากเพียร หมั่นเรียน และเขียนอ่าน... ...กลับมาบ้าน ทบทวน และฝึกฝน... ...เมื่อเติบใหญ่ จะได้ ไม่อับจน... ...มีความรู้ ท่วมท้น และทันใคร... ...ด้วยรอยยิ้ม และวาจา ที่อ่อนหวาน... ...ที่ใครได้ พบพาน ชวนหลงไหล... ...คือเสน่ห์ ของเจ้า ยอดดวงใจ... ...ที่มีให้ กับใคร ทุก ๆ คน... ...แม้ตายาย อยู่ไกล ห่างกับเจ้า... ...แต่ท่านเฝ้า ห่วงหลาน ทุกแห่งหน... ...บอกกับใคร ด้วยภูมิใจ ว่าหลานตน... ...ถูกฝึกฝน จวบจน เป็นคนดี... ...ด้วยแค่นี้ พ่อแม่ ก็สุขใจ... ...แม้ไม่ได้ อยู่ใกล้ ก็สุขขี... ...ปู่กับย่า เลี้ยงเจ้า เป็นคนดี... ...เมื่อเติบใหญ่ เจ้านี้ ต้องตอบแทน... ...ต้องดูแล ปู่ย่า ยามป่วยไข้... ...ต้องใส่ใจ ต้องหวง ห่วงสุดแสน... ...พ่อกับแม่ ฝากลูก ดูแลแทน... ...แม้เติบใหญ่ ให้ทดแทน ตลอดไป... บทกลอนนี้ เป็นบทกลอนที่บริสุทธิ์ กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ ไม่ได้เสแสร้งคำพูดแต่อย่างใด จึงคิดว่าหลาย ๆ คนสัมผัสได้ และผลที่ได้รับก็คือเมื่อใครได้อ่านเป็นต้องน้ำตาซึม เราเขียนเองเรายังสะเทือนใจเองเลย เพราะเป็นการตอกย้ำตัวเราด้วย บทกลอนนี้ ได้ถูกถ่ายทอดมายังลูกสาว ซึ่งเรามอบสิ่งนี้ให้กับปู่ย่าไว้ เค้าบอกว่าแรก ๆ ที่อ่านก็พยายามอยู่หลายครั้งแต่ไม่จบซะที ร้องไห้ออกมาซะก่อน แต่พออ่านได้แล้ว ปู่กับย่าก็อ่านให้หลานสาวฟัง ทุก ๆ วัน จน ครั้งหนึ่ง เราโทรศัพท์ไปหาลูก เสียงตามสายที่ได้ยิน คือน้ำเสียงใส ๆ ของเด็กอายุ 3 ขวบครึ่ง ท่องบทกลอนเหล่านี้ได้ตั้งแต่ต้น จนจบ บทกลอนนี้เราเป็นผู้เขียน ลูกเราได้รับแล้ว น้ำเสียงใส ๆ ที่มาจากเด็กตัวเล็ก ๆ "ลูกของเราเอง" คิดดูซิ มันตี้นตันใจแค่ไหน ฟังไปก็ร้องไห้ไป ...แม่รักลูกเหลือเกิน...คนดี
16 สิงหาคม 2550 15:55 น. - comment id 97230
แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้เป็นแม่ของลูกคนใด... แต่เราก็มีความรักที่บริสุทธิ์ให้กับคนรอบข้าง.. ให้หลานชายตัวน้อย.."น้องมีนของแม่ป้ากุ้ง" สอนให้เขาเรียกเราว่าแม่...แต่เค้าก็คิดคำพูดของเขาเองนะ.. "แม่ป้ากุ้ง"...ทุกคนฮามากกับคำพูดของเขา มีรักให้ลูกศิษย์ทุกคน.. รักเพื่อน ๆ ทุกคน.. และรักคนรอบข้างทุกคนเช่นกัน.. วันนี้ดีจังที่ได้เข้ามาสัมผัสความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ "ฟ้าหยอกเอิน".. เข้มแข็งนะ.เป็นกำลังใจให้
17 สิงหาคม 2550 19:23 น. - comment id 97243
ซึ้งจริงๆ โดยเฉพาะกลอน อ่านแล้วมันแป๊รบในหัวใจ ก็คงจริงเพราะมันถ่ายทอดมาจากหัวใจ
6 กันยายน 2550 15:38 น. - comment id 97462
มาเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ต่อไปค่ะ
29 มกราคม 2551 18:39 น. - comment id 98953
เป็นบทกลอนที่ดีมากคับฟังแล้วรู้สึกคิดถึง บ้านและบุคลที่รอให้เราเรียนให้จบแล้วกลับ ไปให้คนที่บ้านภูมิใจ (ขอบคุณสำหรับบทกลอนครับ)