ที่สุด ฉันก็ตอบคุณพ่อไปว่า ฉันขอไปเรียนปรึกษาคุณแม่ฉันก่อน ซึ่งฉันคิดว่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในขณะนั้น ฉันเล่าเรื่องในเย็นนั้นให้แม่ฟัง แม่ถามฉันว่า รักเขาหรือเปล่า.....คำถามของแม่ ทำให้ฉันต้องนิ่งคิดไปชั่วครู่....จริงซิ ฉันรักเขาหรือเปล่า...ฉันไม่รู้....แต่ที่มั่นใจอย่างที่สุด คือเขารักฉัน...ฉันตอบแม่ไปว่า...ฉันเคยผิดหวัง เสียใจกับคนที่ฉันรักมามากแล้ว จะเป็นไรไปถ้าฉันจะขอเลือกคนที่เขารักฉันบ้าง....(ฉันอาจเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเกินไป แต่ฉันเหนื่อยเหลือเกินกับความรักครั้งก่อนๆ ความรักที่ไม่ลงตัว ความเพียรพยายามที่จะทำให้ความรักราบรื่น และฉันก็ค้นพบว่า มีแต่ฉันฝ่ายเดียวต่างหากที่ได้พยายาม) ที่สำคัญที่สุด ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนดี ผู้หญิงเรา คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า คนดีที่รักเราจริงหรอกนะคะ.... แล้วงานแต่งงานของเราก็ถูกจัดขึ้น ท่ามกลางความยินดีของครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหายทุกท่าน พิธีแต่งงาน เรากลับไปจัดที่จังหวัดบ้านเกิดของฉัน พิธีเช้า มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และท่านเจ้ากรมทหารให้เกียรติมาสวมมงคลสมรส....เพื่อนของเขาที่เป็นนักบิน ขับเครื่องบินมาวนรอบบริเวณงานเพื่อโปรยข้าวตอกดอกไม้ให้เป็นสิริมงคลแก่งาน พิธีลอดซุ้มกระบี่ในงานเลี้ยงช่วงค่ำ (ซึ่งถือเป็นพิธีที่มีเกียรติอย่างสูงสุดที่นายทหารตำรวจสัญญาบัตรทุกคนมอบให้เจ้าสาวในวันวิวาห์ เป็นการแสดงการยอมรับ เธอผู้นั้นให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต) ยิ่งใหญ่สมเกียรติสามารถสะกดสายตาทุกคู่ของแขกที่มาร่วมงาน พร้อมเสียงปรบมือที่กึกก้องยาวนาน จนเป็นที่กล่าวขานมาถึงวันนี้.... เราเริ่มต้นชีวิตคู่ของเรา โดยการซื้อทาวเฮาส์เล็กๆแถบชานเมือง ฉันต้องย้ายออกจากคอนโดในเมืองที่ฉันซื้อไว้มาอยู่กับเขาที่บ้านของเรา..... เนื่องจากเราเลือกซื้อบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานเขา แต่ไกลที่ทำงานฉัน ฉันจะต้องตื่นเช้ามาก เพื่อให้ทันมาทำงาน เมื่อฉันตื่น เขาก็ตื่นพร้อมฉัน เช็ครถ ชงกาแฟและคอยเปิดประตูหน้าบ้านให้ฉัน เขาทำแบบนี้ทุกเช้า ทั้งๆที่เขาไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขนาดนั้น และทั้งที่ฉันไม่เคยร้องขอ แต่เขาก็ทำ...เพื่อฉัน แต่ถึงแม้เขาจะแสดงออกถึงความรัก และการดูแลเอาใจใส่ฉันอย่างดีแค่ไหน ฉันกลับพบว่า ระหว่างเรามีช่องว่าง... ช่วงแรกของการอยู่ร่วมกัน เราต้องใช้เวลาในการปรับตัวค่อนข้างมาก เรามักคิดเห็นไม่เหมือนกัน พูดสื่อสารทำความเข้าใจผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ฉันแอบท้อ..และร้องไห้..ฉันให้กำลังใจตัวเองว่า มันเป็นเรื่องปกติ ของคน 2 คนที่มีที่มาต่างกัน ถูกอบรมเลี้ยงดูต่างกัน เมื่อต้องมาอยู่ร่วมกัน มันย่อมมีปัญหา หรือความขัดแย้งเกิดขึ้นบ้าง...โชคดีที่เรา 2 คนมองเห็นปัญหา และพยายามหาทางแก้ไข การคุยแบบเปิดใจของเราก็เกิดขึ้น....เราพูดคุยทำความเข้าใจกันอย่าง ลึกซึ้ง เราช่วยกันแจกแจงในสิ่งที่เราชอบ หรือเราไม่ชอบ...ฉันเป็นแบบนี้ เขาเป็นแบบนี้...เราสัญญากันว่า เราจะก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้...เราจะหลีกเลี่ยงการกระทำ คำพูดที่อีกฝ่ายไม่ชอบ..และเราจะสร้างครอบครัวของเราให้แข็งแรง มีความสุขต่อไป เมื่อเราผ่านพ้นช่วงเวลาของการปรับตัว..เราต่างสามารถยอมรับกันและกันได้มากขึ้น รู้สึกใกล้ชิดผูกพันกันยิ่งขึ้น...เราเริ่มรู้สึกว่า....จะดีกว่านี้มั้ย ถ้าจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในบ้าน...เป็นสมาชิกที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา...เป็นคนที่เราทั้งคู่จะรักและดูแลเขาไปตลอดชีวิตด้วยความเต็มใจ.... เราทั้งคู่ พร้อมจะรับเขามาอยู่กับเราแล้วค่ะ
27 กรกฎาคม 2550 21:56 น. - comment id 97051
อยู่ๆไปก็รักเองแหละ
31 กรกฎาคม 2550 21:33 น. - comment id 97088
ทีแรกก็คิดแบบคุณกวีพันธ์แหละค่ะ ความดี และความรักที่เขามีให้ คงทำให้เรารักเขาได้...แต่....ผ่านมาถึงตอนนี้ 6 ปีที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ถึงได้ทราบว่า "รักออกแบบไม่ได้"จริงๆๆ
17 สิงหาคม 2550 17:07 น. - comment id 97242
แล้วตกลงรักนายทหารนั้นมั้ยอ่ะคะ พอดีเพอ่งมาอ่านก้ได้อ่านทั้งหมดเลยอ่า ที่พี่ยอกว่า รักออกแบบไม่ได้ คือไรอ่า แล้วที่พี่ตั้งชื่อเรื่องว่า คนดี่ที่ไม่รัก อ้าว แล้วตกลงรักนายทหารไหมอ่ะค่ะ อ่านแวก็งง นิดหน่อย ว่าจริงๆๆแล้วรักหรือไม่รัก กันแน่ ตอบมาหน่อยนะคะ จะรอฟัง
21 กันยายน 2550 11:14 น. - comment id 97672
ถึงตอนนี้ คงบอกได้แค่ว่า รักเขาในแบบเพื่อนที่ดี..ไม่ได้รักแบบคนรักเลยอ่ะค่ะ