ดั่งม่านหมอกกั้น
สุวรรณโสภิต
สายลมเย็นโชยพัดเอาดอกปีบสีขาวร้วงหล่นลงสู่อ่างบัวใบใหญ่ กลิ่นหอมชื่นใจของดอกบัวผสมกับดอกปีบขาว ไม่ได้ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ที่ข้างอ่างบัวแช่มชื้นเลยสักน้อย กลับหมองหม่นมากขึ้นด้วยซ้ำ หญิงชราผู้สูงศักดิ์ประทับนั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว หล่อนนั่งทบทวนสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มองดอกบัวสีขาวที่ชูดอกพ้นน้ำล่อแมลง กลีบดอกที่บานจนไกล้จะร้วงหล่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั้น
เปลียบไปก็เหมือนคน ที่กว่าจะหลุดพ้นจากจิตใจคิดริษยาที่มีอยู่ทิฐิต่างๆที่หมักหมมอยู่ในใจพ้นจากน้ำขึ้นมาก็สายเกินแก้เสียแล้ว ไม่นานก็ถึงเวลาสิ้นสุดของชีวิต "ฉันก็คงจะเหมือนดอกบัวที่เธอรัก ศรีรำไพร กว่าที่จะพ้นน้ำก็สายเกินแก้แล้วถ้าฉันลดทิฐิลงไม่บังคับใครให้เป็นอย่างที่ใจต้องการ เรื่องทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นแบบนี้ วันนี้หลานชายที่เธอรักและพยายามกันเขาออกจาการผูกมัดของฉัน เขาจะมีครอบครัวที่มีความสุขแล้วครอบครัวที่เขาเลือกเอง เธอเป็นคนที่ตาแหลมจริงๆ สมแล้วที่ลูกชายคนเดียวของฉันรักเธอนักหนาไม่ว่าฉันจะใช้วิธีใดกันเขาออกจากเธอก็ตาม" ลมวูปพัดดอกบัวเอนเหมือนเจ้าของอ่างบัวที่ล้วงลับไปแล้วจะทราบถึงคำสารภาพของแม่สามี ผู้ที่ไม่เคยยอมให้เธอเลยไม่ว่าจะเวลาไหน ชีวิตที่อุทิตแด่งานของประเทศ และคนที่ตนเองรักรอบข้างอย่า เสด็จพระองค์หญิงศรีรำไพ ต้องมาจบลงเพื่อให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้นเหมือนกับคำว่าไม่มีมีการสูญเสียปัญหาก็จะไม่จบ ท่านใช้ทั้งชีวิตแลกกับความสุขของคนที่ตนรักได้ทิ้งไว้เพียงรอยน้ำตา และความดีที่มีให้จดจำเท่านั้น ดังต้นไม้ใหญ่ที่เคยบกคุมผู้คนใต้ต้นไม้ให้ร้มเย็นเมื่อวันที่ต้นไม่ล้มลงสิ่งที่เคยอาศัยอยู่ก็ต่างแยกย้ายแตกกันไปคนละทิศละทาง