หอบใจเมือบ้าน: Young Guides

ยังเยาว์

วันนั้นออกจะเงียบเหงา
หลานๆ ก็ดูจะหายหน้าไปในวันที่สาม
นัยว่าเริ่มหมดสนุกกับน้า กับของฝากเสียแล้ว
ขณะที่นั่งเหงาคนเดียวที่บ้าน
เสียงเฮฮาแสนสนุกของเด็กๆ จากบ้านใกล้ก็ดังแว่วมา 
หลานมีเพื่อนวัยเดียวกันอยู่ราว 4-5 คน
ไม่ว่าเช้า สาย บ่าย เย็น 
เจ้าขบวนการสุดสนุก (และสุดแสบ) นี่ก็มารวมตัวกันได้ตลอด
เข้าใจว่าหลานก็คงสนุกกับเพื่อนวัยเดียวกันมากกว่า
แต่ก็อดหงุดหงิดหัวใจไม่ได้
แหม หลานจ๋า น้ามาไกลเชียวนะ ทิ้งกันแล้วเหรอ
ชั่วแวบ ก็เกิดความคิดชั่วร้ายแบบบริสุทธิ์เล็กๆ
อะฮ้า เราชวนหลานกับเพื่อนๆ ไปเดินเที่ยวกันดีกว่า
				
คำว่า...เดินเที่ยว... ของเราคือเดินเที่ยวป่า เที่ยวทุ่งนา
ไม่ใช่เดินเดอะมอลล์ พารากอน อย่างเด็กเมือง

แต่ถึงไม่มีพิซซ่า เคเอฟซี เด็กๆ ก็ดูไม่ได้ใส่ใจนัก
มีเพียงความสนุกสนาน ร่าเริง 
เพื่อนร่วมเดินทางของเรามีทั้งหมด 6 คน
(ไม่นับรวมคุณน้าหน้าแก่อีกหนึ่ง)
เป็นสาวน้อยน่ารัก 3 คน และหนุ่มน้อยอีก 3 คน

มัคคุเทศน์น้อยดูท่าทางกะตือรือร้นกันดี
เห็นแล้วน่าชื่นใจ ที่จริงออกจะขี้เกียจเดินนิดๆ 
แต่เห็นความตั้งใจของเด็กๆ แล้วก็ต้องยอมแพ้ 
(เลยตามเลย ไม่รู้แผนเรียกร้องความสนใจของใคร)

เราออกสตาร์ทกันด้วยการโพสต์ท่าถ่ายรูป

ก็ดูลีลาแต่ละคนซี นี่แหล่ะ สุดแสบตัวจริง				
แต่ก่อนอื่นที่ขาดไม่ได้
เห็นจะเป็นการทดสอบกำลังกันก่อนออกเดินทาง
การทดสอบก็ไม่มีอะไรยุ่งยากมากนัก

เพียงแค่ลองโยกน้ำจากบ่อบาดาลเท่านั้น
ว่าแล้วหนุ่มเผลอก็ออกแรงสาธิตให้ดูก่อนใคร
กว่าน้ำจะไหลอย่างที่เห็น
ก็เล่นเอากองเชียร์เหนื่อยเสียก่อน
เพราะออกแรง (และท่า) เชียร์มากไปหน่อย				

เมื่อเดินไปได้ซักพัก เด็กๆ เริ่มจะสังเกตเห็นว่า
มีผู้ใหญ่เหมือนเต่าอยู่อีกคน
เดินรั้งท้ายต้อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะตามทันเอาเสียเลย

น่าน หันมาค้อนกันซะด้วย				
เราตกลงใจไปกันที่ ...หนองสิม...
หลายคนอาจสงสัยว่า ...หนองสิม... คือหนองน้ำ?
ที่จริงแล้วหนองสิมคือหนองน้ำ แต่ที่เราพูดถึงนี้คือทุ่งนาใกล้บ้าน
ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหนองน้ำนี้นั่นเอง

หนองสิมอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก
เราต้องเดินผ่านที่สวนเรียกว่า ...สวนบ้านเก่า...

ส่วนมัคคุเทศก์น้อยๆ นั้นออกจะกระฉับกระเฉง
เร่งเดินอย่างเร็วไว แหม ไม่เห็นใจคนแก่...กว่า...บ้างเลย				

แน่แล้วว่า ผู้สูงอายุคนเดียวในกลุ่มไม่มีทีท่าว่าจะไล่ตามแต่อย่างใด
เหล่ามัคคุเทศก์น้อยก็เริ่มเร่งความเร็วห่างไป
...อย่างไม่สนใจใยดี... โถ่ หลานช้านน น น

ยิ่งใกล้ทุ่งหนองสิมเข้าไปเท่าไร
เด็กๆ ยิ่งวิ่งกรูแข่งกันไป
เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยร่าเริงยังชัดอยู่ (ในใจ) จนถึงทุกวันนี้
				
ตอนแรกฉันเข้าใจว่าเด็กๆ ดีใจ
วิ่งกรูกันไปดูทุ่งนา

แต่ฉันคิดผิดถนัด...

สิ่งที่เจ้าพวกขบวนการสุดแสบตรงไปก่อนที่อื่น
คือต้นมะม่วงข้างทางนั่นเอง

ถึงแล้วไม่รอช้า
จัดการล่ามะม่วงด้วยวิธีการอันแยบยล
ก็ดูซี หลานๆ เล่นดึงเขย่าเถาวัลย์แค่นั้นเอง
แต่เมื่อตอนฉันเด็กๆ ต้องแบกไม้สอยมาจากบ้าน
ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย แถมยกไม้ไม่ค่อยไหวเสียอีก				
และนี่ก็คือผลงานชิ้นโบว์แดงของเจ้าตัวแสบทั้งสอง				
พอได้มะม่วง
เจ้าหนุ่มกรเลยไพล่นึกไปถึง...น้ำปลาหวาน, พริกเกลือ ฯลฯ
เริ่มเอ่ยปากชวนกลับ
(ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงทุ่งหนองสิมเลย)

...สาว (น้าสาว) เฮาเมือบ้านกันเถาะ อยากกินหมากม่วง...

ฉันตอบปฎิเสธไป พร้อมกับให้เหตุผลไปว่า

...เราตั้งใจจะไปหนองสิมต้องไปให้ถึงก่อน...

เจ้ากรพยักหน้าหงึกหงักคล้ายเข้าใจ

...เราค่อยกลับไปกินที่บ้าน เดี๋ยวก็กลับแล้ว...

เจ้ากรพยักหน้าอีกทีก่อนบอกว่า

...สาว งั้นกรกับแม็คเมือบ้านก่อนนะ เดี๋ยวไปทำน้ำปลาหวานรอ...

สุดท้ายนายช่างคิดธนากรกับเจ้าตัวยุ่ง ...หนุ่มแม็ค... ก็เป็นอันทิ้งเรากลางทาง

และเหลือผู้ร่วมเดินทางเพียง 4 คน				
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
เพราะเดินทางมาถึงหนองสิมกันในเวลาต่อมา

และสิ่งที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของหนองสิมก็คือต้นพุทราต้นนี้
อายุอานามก็ร่วมร้อยปีไปแล้ว
ตอนนี้ดูแก่เฒ่าไปตามอายุ

เมื่อฉันยังเด็ก หน้าพุทรา...
จะออกมารอเก็บพุทราแทบทุกเช้า
บางวันมานอนรอตั้งแต่ตีห้า ยังไม่สว่าง
ขอแค่ได้มาเป็นคนแรกเป็นพอ
เก็บไปก็เท่านั้น ไม่ได้ชอบกินนักหนา
แต่เวลามารอเก็บนั้นสนุกจนลืมกลัว

ตอนนั้น พุทราต้นนี้ยังออกผลดกเต็มต้น
ใบเขียวขจี ข้างๆ กันเป็นต้นมะขาม (เกือบ) หวานอีกหนึ่งต้น
ที่ถือว่าอยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันมา
				
บริเวณนี้เป็นที่นาของยาย
ที่อยู่ข้างๆ หนองน้ำ ที่ชื่อว่าหนองสิม
เมื่อครั้งที่ยายยังอยู่
ลูกๆ หลานๆ ของยายและชาวบ้าน
จะมาช่วยกันลงแขกดำนาที่แปลงนาตรงนี้
และรวมตัวกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาเกี่ยวข้าว

ฉันนั่งคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ เงียบๆ
ในขณะที่มัคคุเทศก์ตัวน้อยของฉันก็จะเอ่ยถึงตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง
ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าชั่วเวลา 10 ปี สามารถทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
				
เมื่อเดินดูทุ่งหนองสิมกันจนเป็นที่พอใจ
ฉันก็ชวนเด็กๆ กลับบ้านใช้ถนนอีกด้านหนึ่ง

ระหว่างทางที่เราลัดเลาะทุ่งนาไปนั้น
แวะผ่านบ่อน้ำเก่าแก่ที่อยู่ไม่ไกลจากหนองสิมนัก
ในอดีตบ่อน้ำนี้ถือเป็นแหล่งน้ำดื่มสำคัญของหมู่บ้าน
น้ำในบ่อถือได้ว่าสะอาด และเย็นชื่นใจเป็นที่สุด

แม้ต่อมาเราเลิกใช้น้ำบ่อนี้เป็นน้ำดื่ม
แต่ชาวบ้านก็ยังสามารถตักน้ำในบ่อมาเลี้ยงวัวควาย
ที่ผูกเลี้ยงกลางทุ่งได้

แต่ตอนนี้...น่าเศร้าใจ...ที่ในบ่อมีแต่เศษกระป๋องพลาสติก
ลอยอยู่บนผิวน้ำสีออกคล้ำ
เค้าความสะอาด สดชื่น ไม่มีเหลือให้นึกถึงได้				
เหนือบ่อน้ำขึ้นไปคือร่มเงาใหญ่ของต้นจามจุรี 
เป็นอีกเสี้ยวความทรงจำเล็กๆ 
ที่ยังหยัดยืนยิ่งใหญ่ ให้นึกถึงครั้งเยาว์วัย				
ใกล้ๆ กันนั้น 
ยังมีกองฟางสามสี่กองอาศัยร่มเงาจามจุรีคุ้มแดดเช่นกัน				
ต้นไม้คุ้นตาที่จำชื่อไม่ได้แล้ว				
และถึงเวลาที่ต้องร่ำลาท้องทุ่ง
มุ่งหน้ากลับบ้าน

นอกจากอาการล้าเล็กน้อย
ก็ยังมีอารมณ์กรุ่นกลิ่นอดีตติดมา
พอให้ได้นึกถึงวันเก่าๆ ของวัยเยาว์

เมื่อถึงกองทุนหมู่บ้านที่เป็นร้านขายของ
ก็ต้องกำนัลไอศกรีม และหวานเย็นกันไปตามระเบียบ
ส่วนเจ้าสุดแสบสองคนที่ล่วงหน้าไปก่อนนั้น
คงไม่ต้องถามถึง

มะม่วงน้ำปลาหวานก็คงไม่ต้องถามถึงอีกเช่นกัน
เพราะคาดการณ์ดูแล้ว น่าจะหมดตั้งแต่ถึงบ้านเป็นแน่				
ขอบคุณครับ/ ค่ะ				
comments powered by Disqus
  • เพียงพลิ้ว

    24 มิถุนายน 2550 08:22 น. - comment id 96668

    คิดฮอดบ้านแท้น้อน้องเยาว์ หลานๆพี่กะแสบคือกันจ้า
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • ทะเลใจ

    25 มิถุนายน 2550 21:14 น. - comment id 96686

    ึิคิดถึงบ้านเนอะนู๋เยาว์ ..
    
    อยู่ที่ไหนไม่สุขใจเท่าบ้านเรา ยังใช้ได้ดีกับพี่ทุกทีเชียวล่ะ
    
    
    อิจฉาคนได้กลับบ้านจังแหะ 11.gif36.gif36.gif
  • เฌอมาลย์

    28 มิถุนายน 2550 19:49 น. - comment id 96721

    มาชมภาพสวยงามตามธรรมชาติค่ะ57.gif11.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน