เรื่องรักใคร่ในธรรมบท *อิจฉามารศรี *
ถนปายี
ครอบครัวที่มีลูกชายคนเดียวในปัจจุบันอยากมีลูกหลานไว้สืบสกุลฉันใด ในสมัยพุทธกาลก็ไม่วายคิดทำนองเดียวกัน
อย่างครอบครัวของกุฎุมพีผู้หนึ่ง พอสิ้นพ่อ ลูกชายก็หมายที่จะทำงานลูกดูแม่ผู้เป็นที่รักไปตลอดชีวิต หากแม่กลับไม่คิดอย่างนั้น นางอยากให้ลูกชายได้แต่งงานกับหญิงสักคน จะมานิ่งดูดาย ลูกชายก็ไม่มีวี่แววว่าจะหาลูกสะใภ้เข้าบ้านเสียที จนผู้เป็นแม่อดรนทนไม่ได้
"แม่ว่าจะไปขอผู้หญิงสักคนมาให้แต่งงานกับเจ้า"
"อย่าเลยแม่ ผมตั้งใจจะอยู่เลี้ยงแม่นี่แหละไปจนตลอดชีวิต"
"ไม่ได้ล่ะ แม่เห็นเจ้าเอาแต่ทำงานทั้งนอกบ้าน ในบ้าน เพื่อแม่อย่างนี้ อย่านึกนะว่าแม่จะสบายใจ"
แม้ลูกชายจะคอยห้ามปรามบ่อย ๆ ว่า อย่าเลยแม่ อย่าเลยแม่ ผู้เป็นแม่ก็ไม่ฟังเสียง ยังคงดำรงความตั้งใจเดิมไว้ จนวันหนึ่ง เมื่อห้ามไม่ได้อีกต่อไป ขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังจะออกจากบ้านไป ลูกชายก็ถามว่า
"แม่ แม่กำลังจะไปขอลูกสาวบ้านไหนมาน่ะ"
"ก็บ้านท่าน.." มารดากล่าวอ้างถึงตระกูล ๆ หนึ่งในย่านนั้น
"เอ่อ แม่" ลูกชายอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวสืบไปว่า "ถ้าอย่างที่แม่ว่า ผมว่าอย่าเลย ถ้าแม่อยากให้ผมแต่งงานจริง ๆ ละก็ แม่ไปขอลูกสาวบ้าน..ดีกว่า" ลูกชายบอกเขิน ๆ
(ก็ไหนว่า ไม่คิด แล้วไหงบอกถูก-ผู้เขียน)
ฝ่ายมารดาได้ยินดังนั้นก็สุดแสนจะดีใจ แล่นไปขอลูกสาวบ้านที่ลูกชายแอบบอกทันที
ทั้งคู่ได้แต่งงานอยู่กินกันด้วยความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย เหตุการณ์ก็น่าจะปกติ ปัญหาเรื่องแม่ผัว-ลูกสะใภ้ ก็ไม่มี เพราะแม่เป็นคนไปขอให้เอง ด้วยความอยากมีสะใภ้ แต่เหตุการณ์กลับไม่ง่ายอย่างนั้น สาเหตุก็มาจาก
.อยู่กินกันมาสักระยะหนึ่ง ถึงได้ทราบความจริงว่า หญิงสะใภ้ผู้นี้ เป็นหมัน ในธรรมบทไม่ได้ระบุชื่อหญิงสะใภ้นี้ไว้เลยเมื่อกล่าวถึง แต่เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนว่าใครเป็นใคร จะขอสมมุติชื่อขึ้นก็แล้วกัน ว่า ลูกสะใภ้บ้านนี้ ชื่อ กัญญา
ความร้อนใจบังเกิดขึ้นกับคุณแม่ผัวอีกครั้ง คราวก่อน ลูกชายไม่แต่งงานก็เดือดร้อน คราวนี้ ลูกสะใภ้เป็นหมันก็วุ่นวายอีก สมเป็นคุณแม่ผัวเสียจริง ๆ
"นี่ลูก ธรรมดาของตระกูลที่ไม่มีคนสืบเชื้อสายน่ะ จะถึงกาลอวสานนะลูกนะ" นางปรารภกับลูกชาย ก่อนเกิดไอเดียใหม่ "แม่ว่า เดี๋ยวแม่ไปหาผู้หญิงคนใหม่ให้ลูกดีกว่า"
ไอเดียบรรเจิดมาก เอ่ยปากบอกลูกชายด้วยความภาคภูมิใจในปัญญาของตนว่า คิดได้ไง !
"อย่าเลยแม่" เหมือนเคย ลูกชายไม่เห็นด้วย และกล่าวคำคัดค้าน
ฝ่ายแม่เมื่อคิดแล้วก็ไม่หยุดอยู่เพียงนั้น ยังเฝ้าพร่ำพรรณนาถึงความจำเป็นที่จะต้องหาภรรยาที่สองให้ลูกชาย ลูกชายก็คัดค้านทุกที แต่ในเรื่องไม่ได้บอกว่า เสียงอ่อยลงหรือเปล่า
แต่คนที่วิตกกังวลมากขึ้นทุกทีนี่สิ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก กัญญา ที่กำลังจะถูกยกฐานะขึ้นเป็น ภรรยาหลวง ในเร็ว ๆ นี้
ด้วยปัญญาประดามี นางครุ่นคิดคำนึงถึงความเป็นไป แล้วสรุปได้ว่าโดยปกติ คนเป็นลูก ในที่สุด ก็คงทานคำพ่อแม่ไม่อยู่ ..แล้วคิดเลยเถิดต่อไปว่า.ถ้าเกิดหญิงที่แม่หามาให้ใหม่นี้มีลูกเล่า ตัวหล่อนจะไม่วายต้องตกเป็นทาสรับใช้ในบ้านไป ใครจะมาเห็นค่าของหญิงหมันอย่างหล่อน
"อย่ากระนั้นเลย เราตัดไฟเสียแต่ต้นลมท่าจะดีกว่า" ครุ่นคิดเสร็จสรรพ "เรานี่แหละจะไปหาภรรยาน้อยให้เขาเอง เราหามาเองย่อมจะปกครองกันได้ง่ายกว่าปล่อยให้แม่หรือเขาไปหามา"
ตัดสินใจแล้ว นางกัญญาก็สืบเสาะหาดูทั่วตำบลว่าลูกสาวบ้านไหนหนอ เหมาะที่จะมาเป็นเมียน้อยของนาง ก็ไปเจออยู่บ้านหนึ่ง ดูท่าทีแล้วเหมาะสมเหลือเกิน (ไม่รู้ว่าดูตรงไหนว่า ผู้หญิงคนนั้น น่าจะเป็นเมียน้อยได้ดี น่าจะประมาณว่าเป็นคนหัวอ่อน ปกครองง่ายหรือเปล่าในธรรมบทท่านก็ไม่ได้ระบุไว้)
เมื่อนางกัญญาไปสู่ขอลูกสาวบ้านนั้นมาเป็นเมียน้อยให้สามี ก็คงเป็นธรรมดาที่บ้านไหนก็คงไม่มีใครอยากให้ลูกสาวเป็นเมียน้อยใครหรอก งานนี้ นางกัญญาก็เลยต้องใช้ทั้งลูกล่อลูกขน วิงวอนร้องขอความเห็นใจ
"จริง ๆ ดิฉันก็เป็นลูกผู้หญิง ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นว่าตัวเองเป็นหญิงหมัน ก็คงไม่อยากให้สามีมีเมียน้อยหรอก แต่นี่มันเป็นความจำเป็นของตระกูลของสามีจริง ๆ ท่านเองก็ทราบดีว่า ตระกูลไหนไม่มีบุตร ตระกูลนั้นย่อมสาปสูญไปจากโลกนี้ ดิฉันไม่อยากเป็นต้นเหตุนั้น เลยต้องทำร้ายหัวใจตัวเอง ยินยอมให้สามีมีภรรยาอีกคนนี่แหละ เห็นใจดิฉันเถอะค่ะ และท่านลองคิดดูสิ ถึงลูกสาวท่านจะเป็นภรรยาที่สองก็ตาม แต่หากลูกสาวท่านมีบุตรสืบตระกูลให้สามีแล้ว ทรัพย์สมบัติของตระกูลก็ย่อมจะตกแก่หลานซึ่งหมายถึงลูกสาวของลูกท่านด้วย ท่านคิดดูเถอะ ลูกสาวท่านมีแต่หนทางจะสบายในภายภาคเบื้องหน้า เพียงท่านตัดสินใจยกนางให้อยู่ในความดูแลของดิฉัน ดิฉันรับรองว่าจะดูแลนางให้ดีที่สุด"
ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ผู้เป็นบิดามารดาก็ตัดสินใจ
"มารศรี มารศรี ลูกมา มาไหว้พี่เขา ฝากเนื้อฝากตัวกับพี่เขาเสีย เจ้าจะได้ไปอยู่สุขสบายแล้ว"
มารศรี (นี่ก็ชื่อสมมุติเหมือนกัน) ออกมาไหว้นางกัญญาอย่างว่าง่าย แล้วเดินทางสู่ฐานะภรรยาที่สอง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้เลยว่า เหตุร้ายกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชีวิต !
โปรดติดตามตอนต่อไป