::กะหล่ำปลีเดือนเมษายน:: ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ 4 เมษายน 2550 เผยแพร่ครั้งแรกใน Praphansarn.com ผมได้แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจแบบไทมาจากชาวบ้านคนหนึ่งในงานกาชาดของจังหวัดสกลนคร ความจริงได้แนวคิดอีกหลายเรื่องครับเกี่ยวกับการพึ่งตนเองของคนเล็ก ๆ ในสังคมคนกินคนสังคมใหญ่ ขอสารภาพครับว่าผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาวบ้านธรรมดาเขาจะคิดเรื่องเศรษฐกิจมหภาคได้เป็นระบบแบบนั้น หลังจากที่ได้ฟังชาวบ้านพูดวันนั้นผมย้อนกลับมาคิดต่อ แต่ก็คิดไม่ตก ในเรื่องทางเลือกเศรษฐกิจของประเทศของเรา แต่เอาเถอะครับ ถึงแม้จะยังนึกทางเลือกไม่ออก ผมก็บอกได้ว่า ผมชอบวิถีไทครับ วิถีไท ตรงกันข้ามกับวิถีทาสนะครับ วิถีทาสนี่อธิบายได้ว่าเป็นรูปแบบของการคิด การสืบชีวิตแบบขึ้นอยู่กับคนอื่น คนอื่นมีอิทธิพลอยู่เหนือทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย กับทั้งไม่อยากออกไปจากวิถีนั้นด้วย ชาวบ้านคนนั้นเล่าว่า ในหมู่บ้านของเขา ทุกคนปลูกผักอย่างน้อย 44 รายการ พืชผักทั้งหมดนี้จะครอบคลุมการกินอยู่ทั้งปีโดยไม่ต้องถามหาผักเร่งฮอร์โมนและรอนชีพแมลงจากแม่ฮ่องสอน ผมถึงบางอ้อเลยนะครับ เพราะเคยไปแม่ฮ่องสอน ตลอดเส้นทางบนภูเขาผมได้กลิ่นยาฆ่าแมลงตลอดเส้นทาง ได้เห็นพืชผักจากที่โน่นล่องลงใต้มายังตลาดสี่มุมเมืองแล้วแยกกระจายแปดทิศไปยังจังหวัด อำเภอ ตำบลและหมู่บ้านต่าง ๆ เกือบทั่วไทย กับทั้งผมได้เห็นด้วยว่าคนปลูกผักที่โน่นประสบกับโรคภัยไข้เจ็บอันชวนสนเท่ห์มากว่าในเมื่อรู้อย่างนั้นอย่างนั้นว่ายารอนชีพแมลงและฮอร์โมนเร่งขนาดผักคือสาเหตุของการเจ็บป่วย ทำไมพวกเขาจึงหยุดใช้มันไม่ได้ แรงจูงใจที่จะปลูกผักกินหนนั้นเริ่มในเดือนพฤศจิกายน ช่วงปลายฤดูหนาวที่ควรจะเก็บผักหน้าหนาวกินได้แล้วผมกลับเพิ่งเริ่มเพาะกล้าพืชผัก ดังนั้นช่วงที่ผักของผมจะโตพอที่เก็บกินได้ ฤดูหนาวก็ต้องวาย*ไปแล้วอย่างแน่นอน ผมคิดได้แต่ไม่สนใจครับ ลงมือเพาะปลูกทันที เมล็ดผักทุกอย่างเท่าที่จะหาได้จากตลาด บ้านข้างเคียง ญาติ ๆ คนอื่นๆ หรือแม้แต่ในห้างใหญ่ ๆ ข้ามชาติผมก็เตร็ดเตร่ดูว่ามีพืชผักอันใดที่จะเอาไปปลูกได้หรือไม่ด้วย ผมได้พืชผักแค่ 10 รายการเท่านั้นเองครับ กะหล่ำปลีเป็นผักที่ผมชื่นชอบ ชอบที่ขนาดของมันครับ เมื่อเทียบกับผักอื่น ๆ ด้วยเวลาและปริมาณน้ำที่รดเท่ากัน กะหล่ำปลีให้น้ำหนักมากที่สุด ผมได้เมล็ดพันธุ์กะหล่ำมาจากเพื่อนคนหนึ่งที่ไปอยู่ภาคเหนือ เขาบอกว่าเป็นพันธุ์หนักที่คนทางเหนือปลูกขายทั่วประเทศนั่นแล ไม่นานนักกล้ากะหล่ำก็โตพอที่จะย้ายแปลงปลูก นับจำนวนกะหล่ำทั้งหมดที่ผมปลูกไปหนนั้น 220 ต้นครับ เออนี่นะแรงฮึดของคนเรา ความคิดปลูกกะหล่ำขายไม่ได้อยู่ในหัวสมองเลยนะครับ ผมรู้ดีว่าสินค้าเกษตรไม่เคยทำให้เกษตรกรรุ่งเรืองได้ นายกคนก่อนที่เคยปลูกสับปะรดขาย ก็เลิกแล้วหันมาปลูกเสาโทรศัพท์ขายคลื่นมือถือแทนก่อนที่จะเอาไปแลกเงินดอลล่าร์จากประเทศพี่ลอดช่องเพื่อเดินทางท่องเที่ยวประเทศต่างๆในบั้นปลายชีวิต ผมไม่ชอบกลิ่นของกะหล่ำ มันเหมือนบางอย่างที่ช้ำ ๆ เกือบเน่า ที่พอจะรับได้อย่างหนึ่งคือรสและความสดเมื่อเคี้ยวแนมไส้กรอกหรือลูกชิ้นปิ้ง หลายวันก่อนแฟนของผมทำผัดเปรี้ยวหวานกะหล่ำให้กิน ทั้งบ้านติดใจเลยครับ แม่ครัวของเราโดนรบเร้าให้ผลิตซ้ำอาหารชนิดนี้อีกเนือง ๆ ทั้งมื้อเช้าและเย็น ผมเองเคยทำหน้าที่กุ๊กผู้ช่วยอยู่หนหนึ่ง คราวนั้นผมให้ลูก ๆ มีส่วนร่วมคิดชื่ออาหารให้ ด้วยเชื่อว่าอาหารเมนูนั้นไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน ได้ชื่ออาหารแปลกใหม่ดังที่จะยกตัวอย่างต่อไปนี้ สี่สหายย่ำดาวอังคาร( ผักสี่อย่างเน้นกะหล่ำ ผัดพริกกับเนื้อหมู) และริ้วฝันในคืนฝน(กะหล่ำใบเขียวหั่นเป็นริ้วยาวผัดอย่างผัดผักบุ้งไฟแดง) เป็นต้น รสชาติ ..ฮ่า ๆ คงเหมือนโฆษณา เคยไม่อร่อยอย่างไร ก็...ไม่อร่อยอย่างนั้น ลูก ๆ กินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยอย่างยิ่ง ก็แน่ล่ะครับ เพราะผมบอกลูกว่าผักนั้น เป็นฝีมือการรดน้ำดูแลของลูก กะหล่ำของคนอื่นอาจงดงามช่วงหนาวแต่ผักของเรางดงามหน้าแล้ง มองออกไปนอกบ้านตอนนี้กะหล่ำเฉาซะยิ่งกว่าเฉากลางแดดเปรี้ยงเลยครับ ลูกคนเล็กถามว่า ทำไมผักของเราจึงไม่ค่อยมีแมลงกวนจนต้องพึ่งยาปลิดชีพแมลงแบบคนอื่น ลูกคนโตตอบแทนพ่อว่า เพราะพ่อปลูกผักแบบปนเป ผักมีกลิ่นก็หลายชนิด ดอกไม้กลิ่นแรงก็จัดแถวอยู่ในนั้นด้วย แมลงมันต้องงแน่ ๆ ว่า เอ๊ะ ผักพวกนี้มันจะกินได้ไหมนะ มัวแต่งงก็เลยไม่ได้กิน อดอาหารตายไปก่อน เราพากันฮาครับ เหตุผลนั้นน่าฟังครับ ผมเคยไปชมนิทรรศการของบริษัทขายผักยักษ์ที่กรุงเทพฯ เขาทำแปลงผักรวมกับพืชดอกกลิ่นแรง เขาโม้ว่าด้วยวิธีการเช่นนั้นเช่นนั้นแหละผักของเขาจึงเป็นผักปลอดจากสารพิษอย่างแท้จริง รู้ไหมครับ มีคนสมัครขายผักให้เขาเป็นการใหญ่ ทั้งหมอ ครู ชาวนาด้วยก็มี เพื่อนผมที่ส่งเมล็ดกะหล่ำมาให้บอกว่า เจ้านี่ถ้าโตเต็มที่ขนาดของมันพอ ๆ กับหม้อหุงข้าวขนาดกินกันได้ 4 คน ผมนึกแล้วก็หันไปมองแปลงกะหล่ำกลางแดด มันโตมาก.. เท่าหัวเข่าเห็นจะได้ ฮา! ผมเด็ดใบแก่ไปโยนให้ปลาในบ่อปลาในทุ่งนาใกล้บ้าน ปลากินพืชพวกตะเพียนยี่สก ตอด ดึง ลาก รุมเป็นการใหญ่ ปลาตัวเล็ก ๆ ที่ผมปล่อยลงน้ำเมื่อพฤษภาคมที่แล้วตอนนี้โตเท่าฝ่ามือแล้วนะครับ พวกนั้นคงชื่นชมกะหล่ำเมษายน พอ ๆ กับนักปลูกผักมือใหม่อย่างผม หลายวันก่อนลูกชายคนเล็กพูดคุยทางไกลกับปู่ย่า เขาบอกว่าจะเอากะหล่ำฝีมือของเขาไปฝากตอนกลางเดือนเมษายน เสียงปู่ย่าหัวเราะนึกว่าเขาพูดเล่น เมื่อแม่ของเด็กน้อยคุยโทรศัพท์บ้างว่าทำกับข้าวมื้อเย็นเป็นผัดเปรี้ยวหวานกะหล่ำจากแปลงผักของเด็กน้อย ปู่ย่าจึงยอมเชื่อว่ากะหล่ำเดือนเมษายนห่อเป็นหัวจริงๆ แดดกล้าเวลาเที่ยงอาจจะทำให้กะหล่ำปลีเดือนเมษายนเหี่ยวเฉาลงไปบ้าง แต่เมื่อเย็นย่ำตลอดไปจนถึงรุ่งวันใหม่กะหล่ำนั้นก็กลับมาสดชื่นและสดใสได้อีกครั้ง ในสังคมคนกินคนที่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมใหญ่ครอบงำและแผดเผาการพึ่งตนเองของคนและสังคมเล็ก ๆ ผมมองเห็นความหวังนั้นครับ ความหวังที่จะอยู่อย่างเป็นไทได้จริง ๆ ของผู้คนผู้มีแรงฮึดบางอย่าง
4 เมษายน 2550 22:58 น. - comment id 95555
ผมไม่ชอบกลิ่นของกะหล่ำ มันเหมือนบางอย่างที่ช้ำ ๆ เกือบเน่า ที่พอจะรับได้อย่างหนึ่งคือรสและความสดเมื่อเคี้ยวแนมไส้กรอกหรือลูกชิ้นปิ้ง หลายวันก่อนแฟนของผมทำผัดเปรี้ยวหวานกะหล่ำให้กิน ทั้งบ้านติดใจเลยครับ แม่ครัวของเราโดนรบเร้าให้ผลิตซ้ำอาหารชนิดนี้อีกเนือง ๆ ทั้งมื้อเช้าและเย็น ผมเองเคยทำหน้าที่กุ๊กผู้ช่วยอยู่หนหนึ่ง คราวนั้นผมให้ลูก ๆ มีส่วนร่วมคิดชื่ออาหารให้ ด้วยเชื่อว่าอาหารเมนูนั้นไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน ได้ชื่ออาหารแปลกใหม่ดังที่จะยกตัวอย่างต่อไปนี้ สี่สหายย่ำดาวอังคาร( ผักสี่อย่างเน้นกะหล่ำ ผัดพริกกับเนื้อหมู) และริ้วฝันในคืนฝน(กะหล่ำใบเขียวหั่นเป็นริ้วยาวผัดอย่างผัดผักบุ้งไฟแดง) เป็นต้น รสชาติ ..ฮ่า ๆ คงเหมือนโฆษณา เคยไม่อร่อยอย่างไร ก็...ไม่อร่อยอย่างนั้น ลูก ๆ กินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยอย่างยิ่ง ก็แน่ล่ะครับ เพราะผมบอกลูกว่าผักนั้น เป็นฝีมือการรดน้ำดูแลของลูก กะหล่ำของคนอื่นอาจงดงามช่วงหนาวแต่ผักของเรางดงามหน้าแล้ง มองออกไปนอกบ้านตอนนี้กะหล่ำเฉาซะยิ่งกว่าเฉากลางแดดเปรี้ยงเลยครับ พุดเห็นภาพความรักความอบอุ่น กรุ่นหอมไปด้วยกลิ่นผัดเปรี้ยวหวานกระหล่ำปลีจากย่อหน้านี้ค่ะ และเป็นงานที่ดิบดินติดิน ที่แสนน่ารักนักแล้วค่ะ ด้วยชื่นชม
5 เมษายน 2550 00:47 น. - comment id 95557
สวัสดีครับคุณพุด ขอบคุณครับผม
5 เมษายน 2550 08:53 น. - comment id 95562
ชอบปลูกผักบุ้งมากกว่า เพราะไม่ต้องรดน้ำ.. แต่ตอนเก็บนี่สิ มันเปียกน่ะ .. :)
5 เมษายน 2550 10:23 น. - comment id 95563
พอดีเห็นเนื้อเรื่องแล้วนึกถึงปัญหาของตัวเองได้ คือที่บ้านฉันเป็นบ้านจัดสรรอยู่ในกทม. มีสนามหญ้า ประมาณ 30 ตารางเมตร หน้าบ้าน แล้วมีความคิดว่า น่าจะใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์โดยการปลูกผักสวนครัว และพวกสมุนไพรไทย จึงนำความคิดไปบอกแม่กับพี่สาว ... จากนั้น เมื่ออยู่กับพี่สาว 2 คน พี่ฉันก็บอกว่า คิดอะไรบ้าๆอย่างนั้น ฉันก็สับสนว่า ตัวเองคิดอะไรแปลกหรือป่าว เพราะตอนนี้ ก็มีสนามหญ้ากับ ต้นมะม่วงและพันไม้เตี้ยๆ ที่ไม่ให้ผล แค่แต่งให้สวยเท่านั้น จึงอยากขอความเห็นจากคุณก่อพงษ์ หน่อยค่ะ
5 เมษายน 2550 16:41 น. - comment id 95568
สวัสดีครับคุณกุ้งหนามแดง ผมฝากผักบุ้งไว้กับน้ำไม่ได้เลยครับ เพราะไม่ถูกกับปลา จึงต้องอาศัยดินอย่างเดียว ปลูกผักอาศัยดินนี่ต้องเปียกทุกเช้า คือคนรดก็เปียก ผักก็เปียก ดินก็เปียก ไม่เปียกไม่ได้ เพราะอัตราการระเหยของน้ำช่วงแล้งสูงมาก ที่อาศัยการรดโดยหิ้วกระป๋องตักน้ำ เพราะอยากเดินและออกแรงแขน ถ้าใช้ระบบน้ำหยดผมจะสูญเสียโอกาส ในการออกกำลังขาและแขนน่ะครับ ทักทายคุณCaNon ด้วยครับ ผมมีความเห็นแบบนี้ครับ แนวคิดในการจัดสวนครัวให้เข้ากันได้กับเมืองคือไม่ต้องปลูกต่ำ ไม่ปลูกต่ำก็คือปลูกสูง ปลูกสูงมีทางเลือกมากมายครับ เช่นจัดลงกระถางแล้วตั้งให้สูง ผักที่เคยอยู่ติดดินต่ำต้อยจะดูหรูมีระดับ สมฐานะกับเมืองครับ สมุนไพรก็เหมือนกันครับต้องปลูกสูงตั้งสูง จัดกระถางให้ จัดกระบะให้ แต่ขอให้ยกสูง จะดูดีมากครับ ถ้าชอบสไตล์ชนบทซักหน่อยก็หากระบะแบบที่ชาวบ้านใช้รองเอาน้ำเกลือสินเธาว์มาต้มก็ได้มาดัดแปลงเป็นกระถางปลูกผักและสมุนไพร แต่ถ้าไม่ชอบสไตล์นั้นก็อาจเลือกกระถางแบบยุโรปก็ได้เลือกชนิดสีขาว ๆ ผักสวนครัว ถ้าได้ดินและน้ำกับปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักดี ๆ เขาจะเติบโตขึ้นมาสมฐานะของกระถางเลยครับ เรียกว่าคนปลูกไม่อยากจะเด็ดผักมากินเลย เพราะสวย เห็นผักแล้วก็อิ่มเอม ว่า เออนี่นะเราก็มีความสามารถไม่เลว ทำสิ่งที่ยากอย่างปลูกผักสำเร็จได้ การปลูกผักสวนครัวในกระถาง เป็นวิธีการที่เข้ากันได้ครับกับพื้นที่และวิถีแบบเมือง แต่ถ้าคนใกล้ชิดของคุณCaNon ยังรับไม่ได้อยู่เหมือนเดิมผมขอเสนออีกวิธีคือสวนลอยลับแล คือแอบปลูกนะครับโดยใช้กระถางแบบแขวน หรือไม่ก็ใส่กระถางเหมือนกัน เอาใจใส่ดูและเหมือนกันแต่แอบ ๆ ไว้ไม่ให้เขาเห็น ปลูกผักนำความสุขมาให้มากทีเดียวครับ ลองดูนะครับ
5 เมษายน 2550 21:32 น. - comment id 95570
ขอบคุณ คุณก่อพงษ์มากค่ะ ปลูกในกระถาง หรือ แขวนไว้เป็นความคิดที่ดีมากๆเลย ของต้นเก่าก็ไม่ต้องไปรื้อมัน แถมถ้าเกิดปลูกแล้วมันไม่ขึ้น เหี่ยวตาย จะได้ไม่เสียหน้า (55) คุณมีไอเดียที่ดีมากเลยน่ะค่ะ
5 เมษายน 2550 21:42 น. - comment id 95571
ขอบคุณครับคุณCaNon คุณอ่านไกลกว่าผมอีกล่ะ ดีใจที่ได้พูดคุยด้วยครับผม
5 เมษายน 2550 21:47 น. - comment id 95572
ที่ระเบียงห้องนอน แบ่งพื้นที่เป็นส่วนของราวตากผ้า อีกมุมเล็ก ๆ มีรางพล๊าสติกสีน้ำตาลใส่ดินไว้ ข้าง ๆ มีถุงดินตามสูตร เมล็ดพันธุ์ได้มาจากสวนจตุจักร .. ผักนั้น ผักนี่ ตามเรื่อง ตอนมันเป็นต้นเล็ก ๆ ดูไม่ออกว่าต้นอะไร หนำซ้ำคนปลูกเอง ก็จำไม่ได้วา หยอดเมล็ดอะไรลงไป มันคล้าย ๆ กันหมดนะ .. คงเหมือนเด็กอ่อน หน้าตาคล้ายกันจัง อ้อ เกือบลืม .. มีตู้ปลาใหญ่ที่ถูกยกมาไว้ที่ระเบียงด้วย ดังนั้น รางที่ปลูกต้นไม้จึงอยู่สูง อาศัยบารมีบนตู้ปลา แดดในช่วงเช้านอกจากปลุกอัลมิตราให้หายงัวเงียในวันหยุด อัลมิตราคิดว่า คงปลุกให้ต้นไม้เล็ก ๆ เริ่มต้นวันใหม่ด้วย แดดส่องไม่นานนะ มุมนั้น ราวสองชั่วโมงกระมัง ไม่รู้ว่าต้นไม้จะอิ่มแดดแล้วหรือยัง ? ช่วงลมแรง หวั่น ๆ ว่ารางต้นไม้จะปลิว ทำเป็นเล่นไป .. ลมแรงจริง ๆ นะ ขอบอก ถุงเท้าของอัลมิตราที่ไม่ครบข้าง ก็เพราะลมหอบบ่อย ๆ ลำพังรางต้นไม้จะร่วงลงชั้นล่าง ไม่น่าหัวเท่ามันจะปลิวไปโดนหัวคนน่ะ หรือไม่อาจลอยละล่องไปโครมเบ้อเร่อกับรถหรู ๆ ที่จอดด้านล่าง ซวยเลย ทีนี้ .. จ่ายอาน ๕๕๕ .. เพิ่งได้ผัดผักกวางตุ้งไปหนเดียว นี่ก็รอให้คะน้า..โตกว่านี้สักหน่อย ส่วนกระหล่ำปลี .. ทำใจน่ะ กลัวจะมีหนอน อัลมิตราเป็นโรคไม่ถูกกับหนอนนะ ขนาดที่ว่า ซื้อผักมาแล้ว ก็วางไว้ที่อ่างล้างจานอยู่นาน จนคนที่บ้านทนไม่ได้ ต้องมาล้างและจัดเก็บเอง โธ่ .. คิดดู ขนาดรถด่วนทอดที่มีคนส่งมาให้กิน จ้องอยู่นานเลยนะ ขอบอก .. จ้องเป็นสัปดาห์ แล้วก็ยกทั้งกล่องให้คนอื่นไปอ่ะ
5 เมษายน 2550 22:22 น. - comment id 95573
ผมจำได้ที่คุณอัลมิตราเล่าเรื่องตู้ปลา และผมก็นึกภาพคอนโดมิเหนียมออกเลยนะครับ จินตนาการว่าคนรักปลารักผักจะแบ่งพื้นที่เท่าที่มีสำหรับสองสิ่งนี้ได้อย่างไร นึก ๆ แล้วก็อยากเก็บไปเขียนเป็นเรื่องสั้น ชื่อ สวนลอยของเรา พระเอกมาเยี่ยมคอนโดมิเหนียมที่พักของหญิงสาว ได้เห็นกระถางผัก และตู้ปลา เกิดปิ๊งขึ้นมาในบัดดล เขาแอบเทขายหุ้นแล้วไปซื้อดินแถวบ้านนอกเพื่อปลูกผักและเลี้ยงปลา ไม่ใช่ขายผักและปลานะครับ แต่ขายจินตทัศน์ พูดให้เห็นภาพ นึกถึงพืชสวนโลกนะครับ แต่เขาเน้นผัก คนเมืองรวมทั้งคนนอก มาพักผ่อนที่สวนผักของเขาปีละหลายร้อยคน อยู่ทีละนาน ๆ ด้วย โดยเฉพาะใครก็ตามที่โหยหาความอ่อนโยนของโคลนตมและ ความชื่นเย็นของผืนน้ำ ทั้งคู่ห่างเหินกันไปตามปัจจัยในแง่งาน วันหนึ่งเพื่อน ๆของนางเอกชวนเธอไปพักผ่อนทางไกล เธอจึงได้พบว่าชายหนุ่มเจ้าของสวนผักโฮมสเตย์คือคนที่มาได้แรงบันดาลใจจากสวนผักบนคอนดของเธอนี่เอง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามที่นี่เร็ว ๆ นี้ คุณอัลมิตราแต่งเป็นร้อยกรองหน่อยซีครับ
5 เมษายน 2550 23:32 น. - comment id 95575
ฉากแรก .. เพราะคับแคบที่อยู่จึงดูแปลก ใช่ผิดแผกแต่โดยจึงโหยหา เรามีเพียงสองสหายร่วมชายคา คือ ผัก-ปลา แก้เหงากับเงาตน สังคมเมืองวุ่นนักเราพักผ่อน เฉกละครดำเนินไปในบางหน มีรายการโฆษณามาเวียนวน แต่ปราศคนเข้าใจหัวใจเรา คุยกับปลาปลาบ่นคนฤๅรู้ ยามหดหู่มองผักเหมือนชักเฉา มีเพียงผัก-ปลาหนอพอบรรเทา ให้คลายเศร้าชุบใจไปวันวัน
5 เมษายน 2550 23:53 น. - comment id 95576
ฉาก 2.. แสนคำนึงกลิ่นดินถวิลหา เสียงของป่าแผ่วเบาที่เราฝัน สุดรันทดหวั่นไหวด้วยไกลกัน สิ่งเหล่านั้นหามิได้กลางใจเมือง จบจากงานเหนื่อยหนักยื่นพักร้อน หวังจิตผ่อนความระคางในบางเรื่อง อยู่มานานตัวเราเหมือนเปล่าเปลือง อยากกระเตื้องจึงกระตุ้นเผื่ออุ่นใจ เดินทางโดยรถยนต์ไปสกลนคร ด้วยนึกย้อนคำเชิญเผอิญจำได้ จะเลี้ยงน้ำแตงโม..โอ้ คำใคร ปลาน้อยใหญ่เต็มบ่ออยากขอดู
6 เมษายน 2550 00:26 น. - comment id 95587
ฉาก 3.. ไปไม่ถูกเข็ญใจให้ขัดสน ขับรถวนทางเบี่ยงได้เพียงครู่ วกเข้าสู่เชียงใหม่ได้เห็นภู กว่าจะรู้ฟ้าเริ่มหม่นเข้าสนธยา จึงพักรถผ่อนตนใต้ต้นไม้ หอมชื่นใจรวยระรินกลิ่นพฤกษา ผักสวนครัวปราศแมลงเต็มแปลงนา ช่างตื่นตาน่ายลสนใจมอง (ง่วงอ่ะ..)
6 เมษายน 2550 00:35 น. - comment id 95588
ยินดีที่ได้รู้จักคุณก่อพงษ์ ได้อ่านกลอนของคุณ อัลมิตรา แล้วชื่นชมจิงๆ เหมือนกับ เราอยากพูดอะไรก็พูดไป คุณเขียนเป็นกลอนได้อย่างใจอยาก .. . เมื่อก่อนหนูเขียนส่งครู คิด 4 บรรทัดใช้เวลานานมากกกกก
6 เมษายน 2550 09:22 น. - comment id 95589
เยี่ยมมากครับ รออ่านตอนต่อ ๆ อยู่ครับคุณอัลมิตรา ทักทายคุณCaNonด้วย ผมติดตามผลงานของคุณอัลมิตรา ก็ชื่นชมเช่นเดียวกับคุณครับ นับถือฝีมือการเขียนกลอนได้ดังใจ ที่ผมนิยมมากคือฉันท์ ภาษาของผมเรียกว่า งึด งึด คือ ทึ่งยิ่ง ๆ คงได้พูดคุยกับคุณCaNonอีกครับ
6 เมษายน 2550 10:20 น. - comment id 95590
ความอบอุ่นของครอบครัวคุณแหล่ะ ทำให้อาหารที่ปรุงจากกระหลำปลีมีรสอร่อย
6 เมษายน 2550 16:33 น. - comment id 95601
ขอบคุณครับคุณแมงแงม
7 เมษายน 2550 00:50 น. - comment id 95605
โธ่ .. คิดดู ขนาดรถด่วนทอดที่มีคนส่งมาให้กิน จ้องอยู่นานเลยนะ ขอบอก .. จ้องเป็นสัปดาห์ แล้วก็ยกทั้งกล่องให้คนอื่นไปอ่ะ อัลมิตรา 05 เม.ย. 50 - 21:47 IP 58.64.40.174 .....หุหุ...คราวหน้าจะส่งเขียดไป.....แล้วไหนว่ากิน ....ย่องมาตอนเจ้าบ้านหลับครับผม
7 เมษายน 2550 01:24 น. - comment id 95606
เพิ่งตื่นครับคุณบินเดี่ยวหมื่นลี้ ผมยังสงสัยอยู่ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับว่า รถด่วนทอดนี่คืออะไร ดิ่งพสุธา ผมรู้ว่าคือเขียดแห้งเหยียดขาทอด
7 เมษายน 2550 11:09 น. - comment id 95609
ฉาก 4 .. ฉากนี้เปลี่ยนตัวละครเป็นชายคนหนึ่งที่เหมือนฟ้าลิขิตไว้ ให้เธอก้าวเข้ามาหา ยินเครื่องยนต์รถจอดตาลอดรั้ว อกเต้นรัวจริงตะลึงแลเอาแต่จ้อง เธอคนนั้นหย่อนใจใกล้ชายคลอง ผิวผุดผ่องงามผาดวิลาสวิไล เสื้อตัวโคร่งผูกชายตรงชายเสื้อ หมวกสีเนื้อเส้นทะแยงแดงสดใส กางเกงยีนส์มาดเท่ห์เก๋ไฉไล รองเท้าหนังวับใหม่ โอ้..ใครกัน เธอค่อยค่อยผินหน้ามาให้เห็น อกยิ่งเต้น...ใช่แล้ว แก้วในฝัน ถึงแม้ว่าผ่านกาลเนิ่นนานวัน หัวใจนั้นมีแต่เธอเสมอมา ยังจำคำเธอเล่าคราวครั้งก่อน รำลึกย้อนกลับไปคล้ายดั่งว่า ท่ามกลางเมืองโดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกา คุยกับปลาบ่นกับผักเป็นวรรคเป็นเวร ระเบียงบ้านประดิษฐ์เสริมเพื่อเติมแต่ง ผักในแปลงบนตู้ปลาเรามาเห็น เธอบอก..เธอ..พอใจ...ไม่ลำเค็ญ ทุกอย่างเป็นสุขได้ไม่กังวล สุขนั้นคือหัวใจใจสะอาด เราเคยพลาดเคยพลั้งเคยสับสน เคยทุกข์ร้อนวนว่ายในวังวน จึงเสาะค้นเพราะเธอนั้นบันดาลใจ เหมือนเพิ่งจบเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เคยมากมีรัดทดกลับสดใส เธอหนอเธอ ฤๅรู้ ที่ของใคร แท้ที่เราเป็นไปก็เพื่อเธอ
7 เมษายน 2550 13:35 น. - comment id 95610
ขอได้รับความขอบคุณจากก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ สวัสดีครับ