ล้มแล้ว ไม่ท้อ

ลูกเป็ด

กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปจน เขาอายุ ได้ 25 ปีเขายังไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ไม่มีงาน อาศัยบารมีพ่อแม่มีมั่งมีร่ำรวยและเที่ยวสนุก พร้อมกับแฟนสาวของเค้าไปวันๆ  และแล้วท้ายที่สุดแต่ยังไม่สุดท้ายนะคะ  พ่อ กับ แม่ ของเข้าจึงได้ส่งติ๊กไปอยู่กับญาติที่ ประเทศอมริกา และก็หวังว่าญาติทุกคนจะช่วยเหลือกันฝึกติ๊กให้กลายเป็นคนที่ดี และมีความเก่งด้านการค้าขายได้เป็นอย่างดี  ติ๊กได้ไปอยู่อเมริกา โดยมีแฟนของเขาไปด้วย  ไม่น่าเชื่อได้เลยว่าคนอย่างติ๊กจะมีพรสวรรค์ด้านการค้าขายจริงๆ  และติ๊กเขาก็บอกกับตัวเขาเองว่าฉันมาถูกทางแล้ว  และตั้งแต่นั้นมาติ๊กก็เริ่มที่จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักทำงานและหาหนทางที่จะมีธุรกิจของตนเอง
 
            ติ๊กธุรกิจร้านอาหารกับญาติที่อเมริกา  ต่อมาเขาก็ต้องการมีร้านเป็นของตนเองแต่เขายังไม่เข้าใจระบบการเงินที่อเมริกาสักเท่าไร  กลัวว่าตัวเองจะเสียภาษีการค้า และอะไรอีกต่างๆนาๆ ทำให้ร้านใหม่ที่ตนเองเปิดนั้นให้ใช้เป็นชื่อของญาติ ซึ่งมีสักเป้นน้าแท้ๆของตนเอง  และกิจการของเขาก็ไปได้ดีเลยทีเดียว  ทุกครั้งที่ติ๊ก เขาได้เงินเยอะมาจากการทำร้านอาหาร สวนหนึ่งเขาจะไม่นำไปฝากธนาคาร เพราะคิดว่าเขาจะได้เสียภาษีเยอะเกินไป เลยนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย โดยใช้เป็นของน้าสาวตนว่าเป็นเจ้าของกิจการ  ทุกคนเรียกติ๊กว่าเศรษฐีติ๊ก  แต่แล้วเขาก็เป็นเศรษฐีติ๊กไม่นาน  เขาต้องล้มละลายไม่เหลืออะไรเลยเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจคนที่เขาเรียกว่าน้า  ซึ่งได้โกงเงินและทรัพย์สมบัติต่างๆที่ติ๊กเค้าสร้างและหามากับมือไปต่อหน้าต่อตา  ซึ่งติ๊กก็ไม่สามารถที่จะเอาผิดเขาได้เลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ติ๊กสร้างขึ้นมานั้น เป็นชื่อของน้าหมดเลย  นี่และหนา ที่เค้ามีสุภาษิตอยู่ หนึ่งประโยคที่บอกว่า “เงินไม่เข้าใครออกใคร....เงินไม่มีคำว่าญาติหรือพี่น้อง”    ก็อย่างว่าเมื่อหมดเงิน ก็เริ่มที่จะหมดทุกสิ่งทุกอย่างตามมาไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ลูกน้องที่เคยร่วมงาน บริวารต่าง หรือ แม้กระทั่งเมีย  ที่บอกว่ารักเราหนักหนาสุดท้ายก็ทิ้งไปอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจใยดีเลย  คุณติ๊กเขาบอกกับฉันว่า เขาแทบบ้า เงินในกระเป๋าที่ต้องใช้ตลอดทั้งเดือนเหลืออยู่ 5 $ เงินไทยก็ประมาณ ร้อยกว่าบาท  ถ้าอยู่ที่เมืองไทยนะ ก็พอที่จะซื้อข้าวอิ่มไปหลายมื้อ แต่สำหรับที่อเมริกา มันจะซื้ออะไรได้  เขามองซ้ายขวา มองไปรอบตัว ซึ่งไม่มีทั้งบ้าน ญาติ พี่น้องหรือคนที่รู้ใจ เขาไม่มีเลย สิ่งที่เขาต้องการที่จะทำในตอนนั้นคือฆ่าตัวเองให้ตายเสีย  
 
โชคชตายังไม่ต้องการให้เขาตาย  เขามองไปเห็นเด็ก คนแก่ และอีกหลายคนรอบๆตัวเขาที่ลำบาก และแย่กว่าเขาเป็นอยู่อีกมาก  แต่เขาเหล่านั้นก็ยังสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในโลกใบนี้ได้    คุณติ๊กเขาเลยบอกกับฉันว่า แล้วทำไมเล่าฉันถึงต้องจากไปจากโลกนี้โดยไร้คุณค่าเสีย  เพราะคนเหล่านี้แหละ  ที่ทำให้เขากลับมามีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไปข้างหน้าอีก  เขาเริ่มออกไปหาสมัครงานตามที่ต่างๆ  จนในที่สุดเขาได้งานทำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นเด็กเสริฟดีๆนี่เองโดยเริ่มงานตั้งแต่ บ่าย  5 โมงเย็น จนถึง เที่ยงคืน หลังจากนั้นบางคืนของคุณติ๊ก เขาก็อาสารับล้างจานแทนคนงานคนอื่น เพื่อที่คุณติ๊กจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีก กว่าจะได้กลับบ้านก็เกิบ ตี 3   และงานที่สองของเขาคือ ส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านให้เสร็จก่อนเวลา07.30 น. และกลับมาถึงบ้านตอน
08.30น.เพื่อพักผ่อนนอนหลับ  และต้องตื่นนอน ตอน11โมง เพื่อเตรียมตัวไปรับ job อีกหนึ่งอย่างคือ งานรับขัดรองเท้าที่ในเมือง  ตั้งแต่เวลา 12.00น. จนถึง 4โมงเย็น ทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน
 ตอนแรกก็รู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะว่าจากที่เคยเป็นเจ้าของร้านอยู่ดีๆกลับกลายมาเป็นเด็กเสริฟและเด็กส่งหนังสือพิมพ์และเด็กขัดรองเท้าเสียนี่  แต่ว่าคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ ใครจะรู้ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ท้อเพราะเขาตั้งใจไว้ว่าจะตั้งใจทำงานเก็บเงินสักก้อนเพื่อเปิดร้านของตนอีกครั้ง  
            คุณติ๊กเขาทำงานเป็นเด็กเสริฟอยู่5ปี มีเงินเก็บเยอะพอควร  แต่ก็ยังไม่พอที่สำหรับเปิดร้านเป็นของตนเอง  เขาคิดว่าตัวเขาเองก็พอที่จะรู้จักใครอยู่บ้างในอเมริกา  เขาเลยไปขอกู้ยืมเงินกับคนที่รู้รัก  ร้อยละเท่าไรก็ไม่ว่ากันและเขาก็ไปขออ้อนวอนเจ้าของเงินอยู่หลายครั้ง  จึงทำให้เจ้าของเงินใจอ่อน และมองเห็นความตั้งใจจริงของคุณติ๊ก
            จากนั้นเขาก็ไปเช่าตั้งอยู่ในตัวเมืองเพื่อที่จะเปิดร้าน   เขาดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจเองอีกครั้ง เขาสัญญกกับตัวเองว่าจะดูแลร้านนี้ให้ดีที่สุด  ต่อมาเชื่อไหมว่าเขาเปิดร้านมาได้สามเดือนแล้วไม่เคยมีลูกค้า ถึง 3 โต๊ะต่อวันเลยสักครั้ง   พอเริ่มเข้าเดือนที่ 4 เขาก็เริ่มที่จะเหนื่อยและเจอปัญหาอีกแล้ว  ใหนจะปัญหาไม่มีลูกค้า ปัญหาต้องจ่ายเงินเดือนลูกค้า ปัญหาค่าเช่าตึกที่ทำร้านอาหาร ปัญหาที่ต้องจ่ายเงินที่ยืมเขามาทำธุรกิจทั้งต้นและดอก ถ้าไม่มีมาใช้เขา เขาจะมายึดของทั้งหมดในร้านที่เป็นของคุณติ๊ก    เขาบอกกับฉันว่า เขาต้องนั่งเศร้าถามตัวเองอยู่ตลอดว่านี่ฉันจะต้องหมดตัวอีกหรือ ทำไมนะท่ามกลางโลกใบใหญ่ผู้คนมากมาย แต่ทำไมนะเหมือนกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงตัวฉัน  !!!! แต่ว่าในนาทีนั้นเองจิตวิญญานที่กล้าหาญของคุณติ๊กก็ได้ออกมาต่อสู้เพื่อบดบังจิตวิญญานที่อ่อนแอให้ออกไปไกลจากตัวเขา เพื่อไม่ให้เขาเกิดท้อแท้และสร้างให้เขามีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป 
 
            ต่อมาเขาได้เข้าไปหาเจ้าหนี้เพื่อขอต่อเวลาในการชำระหนี้สินและไปขอผ่อนผันการจ่ายค่าเช่าของเขา อาจเป็นความโชคดี หรือเป็นเพราะน้ำเสียงอ้อนวอนที่อ่อนหวานนุ่มนวลของเขา จึงทำให้เจ้าหนี้ยอมที่จะต่อเวลาการชำระหนี้ออกไปอีก  ต่อจากนั้นเขาเลยยอมที่จะจ้างลูกน้องน้อยลง  ยอมลดตัวเองลงมาเป็นทั้งเด็กเสริฟ คนล้างจาน บ้างในแต่ละวัน  ก็อย่างละนะไม่ว่าจะทำอะไรถ้าจะดีได้ต้องไม่ท้อ  เพราะทุกอย่างมันต้องใช้เวลากันทั้งนั้น  รวมไปถึงจิตใจของคนก็เช่นกัน จะดูแค่ภายนอกก็ไม่สามารถที่จะรู้ถึงจิตใจของคนได้   
 
            คุณติ๊กเขาใช้เวลาที่เขามีอยู่ทั้งหมดทุ่มเทกับร้านของเขาอย่างจริงจัง  และไม่เคยที่จะมองลูกน้องของตนที่เหลืออยู่เป็นเพียงแค่ลูกน้องเท่านั้น   คุณติ๊กเขาให้ความสำคัญกับลูกน้องเสมือนเพื่อน พี่ น้อง เหมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน  จึงทำให้ทุกคนรักเขามากและยอที่จะทุ่มเททั้งกาย ใจ ในการทำงานให้กับคุณติ๊กอย่างเต็มใจ  จากนั้นร้านของเขาก็ไปได้ดี มีลูกค้ามากมาย  จนปัจจุบันนี้เปิดมาได้ 15 ปี เศษๆ และกิจการของเขาได้ขยายออกเป็น 2 สาขา และมีเงินทองมากมาย  พอที่จะทำอะไรก็ได้ 
 
            คุณติ๊กเขาบอกกับฉันว่า  ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากที่จะย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง เพื่อที่เขาจะไม่ใช้ชีวิตที่มักง่าย เชื่อและไว้ใจใครคนอื่นมากเกินไป  คิดแค่ว่าพ่อแม่ของตนเองมีเงินแล้วจะทำให้คนอื่นรักตนอย่างจริงใจ  และเขาจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้  เพราะเขาคิดว่าถ้าเขามีความรู้มากกว่านี้  เขาก็คงจะไม่ถูกหลอก  และเขาคงมีวิธีใช้การต่างๆที่จะสร้างร้านของตัวเองด้วยสมอง  ไม่ไช่ว่าจะต้องมาลำบากขนาดนี้   
 
ท้ายบทความที่ 2
 
นี่แหละน๊าคนเรา  เปรียบเสมือนการข้ามถนน  ถ้าไม่มีใครโดนรถชน   ก็คงไม่ใครที่จะคิดข้ามสะพาน หรือทางม้าลาย    ทุกคนคงจะยังทำตัวมักง่าย  เดินข้ามถนนประเภทที่ว่ารถนะต้องหลบฉัน   แต่ก็ยังถือว่าเรื่องราวของคุณติ๊กยังโชคดีนะ ที่อาจจะเป็นเพราะโชคชตาหรือความฟลุคของเขาก็เป็นได้ที่ทำให้เขามีชีวิตที่ดีในตอนนี้  และถ้าทุกคนเป็นเหมือนเขาก็ดีไป  แต่ถ้าเป็นมันไม่เป็นอย่างคเณติ๊กล่ะ  คุณจะทำอย่างไร   นี่แหละค่ะ  ชีวิตของคนเรานั้นควรที่จะมีไว้เพื่อวางแผนที่จะป้องกัน  ไม่ใช่ว่าชีวิตเราจะมีไว้เพื่อวางแผนที่จะแก้ไข  ทุอท่านก็ลองคิดอูนะคะว่าอย่างใหนเหรอที่คุณจะรู้สึกดีกว่ากัน    ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ
เขียน/เรียบเรียง โดย พัชรินทร์ แต่งภูเขียว (เป็ดน้อย)
ต้องการแสดงความคิดเห็นได้...ที่Email-ptangpukeaw@yahoo.com
Email-ptangpukeaw@yahoo.com
 				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน