ข้าพเจ้ายืนสงบนิ่งมองออกไปอย่างเนิ่นนาน
ธรรมาภิวัฏ
ในความมืด ท่ามกลางความเงียบงันที่ไม่มีวันสิ้นสุด ข้าพเจ้ายืนสงบนิ่งมองออกไปอย่างเนิ่นนาน สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นก็ล้วนแล้วแต่ว่างเปล่า.. ความเย็นยะเยือกโอบรอบบริเวณ ท่ามกลางกระแสสายลมแห่งความเงียบ พิลึกก็แต่เพียงในใจของข้าพเจ้า เต้นระรัวเร้าถึงความรู้สึกนึกคิด รู้สึกนึกคิด แลรู้สึกนึกคิดอย่างไร้รู้สัมผัส แม้นว่าสิ่งที่แอบซ่อนเร้นมิสามารถสรุปรู้เห็นอย่างเป็นตัวตน แต่ทว่า เงื้อมเงาแห่งความวุ่นวายประดาดังโถมถาเข้าถามไถ่.. ก่อนที่จะสลายท่ามกลางความเงียบงัน แห่งรัตติกาลโอบคลุมเก็บกลั้น แล้วกลับกลั่นกระทบ.. ยามแม้นจะเจนจับเจียนใกล้ก็จางหาย..
สิ่งซ่อนเร้น โอบอิ่มไปด้วยความฉงาย ครอบคลุมเช่นเคย.. ในบางครั้งกลับกระพืออารมณ์อย่างคลุ้มครั่ง และ ในบางครั้งกลับเงียบงันจนน่าสงสัย.. จนระทบทับท้นแทบทุกเสียงนับหายใจ
ข้าพเจ้าสูดลมหายใจเข้า แล้วค่อยๆ ผลัดผ่อนออกมาอย่างช้าๆ เนิบนาบ เนิ่นนาน หากแต่มินานกว่าการรอคอย เพราะจริงๆ แล้วตัวข้าพเจ้าก็มิได้รอคอยสิ่งใด อื่นใด และเหนืออื่นอันใด การรอคอยจักจำต้องมีผูกพันธสัญญา ความปรารถนาในสิ่งหนึ่ง แลหนึ่งคือสิ่งนั้นอันเป็นเป้าหมาย
..เงียบงันแยบยล กว่าเกินสิ่งเริ่มต้น แลสิ่งอันจบสลาย ข้าพเจ้ามิเคยรับรู้ถึงสิ่งที่มีอยู่ เข้าใจในสิ่งอันจะต้องเป็นไป เคลื่อนไหวในสิ่งอันจะต้องสงบ ทารุณแห่งห้วงสงัด ก่อเกาะกุมดวงใจแห่งข้าพเจ้า ซ้ำซากวนเวียนว่ายวกวกวน เสมือนบทกลอน กลอนอันขับลำนำจากจุดมิรู้ต้น ต่อบาทต่อบทต่อท้ายเติมแต่งเข้าไปอย่างมิรู้สิ้น ใสกังวาลดังแก้วเจียร แต่ทว่าทะลุปรุโปร่งจนมิอาจรู้ได้ว่าเป็นสิ่งอันใด จึงมิได้แตกต่างจากความมืดสงัดอันลับเร้น ..และเราก็ไม่รู้จักมันเหมือนดังเช่นเดิมที่มันเป็น
สอง และ หนึ่ง.. สอง และ หนึ่ง.. สอง และ หนึ่ง..
กว่าล้านริดรอนจนเหลือสอง จวบสองจักรวมเป็นหนึ่ง.. หลายจุด หลายเส้น หลายสี หลายสิ่ง ดับสูญสลาย และต่างก็ดับสูญสลายไปสู่สิ่งสูญสลาย สิ่งสูญสลายเป็นจุดรวมอันเป็นหนึ่งเดียว.. หากจะเรียกสิ่งนั้นจุดสูญสิ้น แต่เมื่อต่อเรียงเป็นวัฏกาล กลวงกลมอันโค้งเว้านั้น ข้าพเจ้ามิสังเกตเห็นจุดอื่นใด อันจะเรียกได้ว่าเป็นจุดใด มันจึงเป็นสัมพันธภาพอันเป็นจุดตั้งต้น แลจุดจบ.. แลเป็นหนึ่งเดียว
บดผสมท่ามกลางความวุ่นวาย กับการรอคอยที่ยังรอคอย..
ข้าพเจ้าเริ่มจะรับรู้แล้วล่ะว่า .. “ มันยังรอคอย..!! ” ..