เรื่องสั้น-รักของพ่อ..."รอยเลือดบนปกหนังสือ" โดย :: ทิวสน ชลนรา "พี่นันท์พ่อเสียแล้ว!" เสียงสั่นเครือจากปลายสาย สิ้นคำก็ปล่อยโฮออกมา ทำเอานันทกรถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว มันเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจ เขานิ่งอึ้งประหนึ่งว่าหัวใจจะหยุดเต้น กับข่าวร้ายที่ได้รับแจ้งจากน้องสาว ปลายสายวางไปนานแล้ว แต่ชายหนุ่มยังยืนนิ่ง งุนงงกับเหตุการณ์ หลังจากไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านเป็นเวลานาน และที่จำเป็นต้องระเห็จมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เพราะความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างเขาและพ่อ "แกมันลูกไม่รักดี!!!เป็นนักเขียนรายได้จะซักเท่าไหร่เชียวหา!!ทำไปเมื่อไหร่จะตั้งตัวได้...อีกหน่อยมีลูกมีเมียไม่อดๆ อยากๆ กันทั้งบ้านเรอะ!" ผู้เป็นพ่อตวาดเมื่อรู้ถึงความดื้อดึงที่เขาจะเลือกเดินในสายอาชีพนักเขียน "แต่ผมรักงานนี้นะครับพ่อ ผมคิดว่ามันมีประโยชน์ที่เราได้ปลูกฝังความคิด คุณธรรม จริยธรรมที่ดีให้กับคนที่อ่านหนังสือ สังคมจะได้พัฒนาไงครับพ่อ" ชายหนุ่มให้เหตุผล "เชอะ.มาทำเป็นอุดมการณ์สูงส่ง ห่วงใยสังคม" พ่อเอ่ยน้ำเสียงหยัน "ฉันกลัวแต่แกน่ะจะเอาตัวไม่รอด ก่อนสังคมจะพัฒนาล่ะไม่ว่าฟังนะนันท์ ถ้าแกไม่เลิกคิดจะเป็นนักเขียนล่ะก็ แกกับฉันก็ไม่ต้องมาเห็นหน้ากัน!!" พ่อยื่นคำขาด มันเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงใจชายหนุ่ม กับท่าทีไม่ยอมเข้าใจของผู้บังเกิดเกล้า แต่สายตาที่มองทอดไกลออกไปในภายหน้าทำให้ไม่อาจเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตได้ นับแต่วันนั้น พ่อก็เฉยชาไม่พูดจากับเขา ชายหนุ่มทนความอึดอัดอยู่ 4 เดือน จึงฝากน้องสาวและน้องชายดูแลพ่อ แล้วมุ่งหน้าเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นนักเขียนอิสระ ส่งงานเขียนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับ ส่งเงินไปช่วยทางบ้านสม่ำเสมอ นานๆ ครั้งจะโทรศัพท์ไปพูดคุยกับน้องๆ แม้หลายครั้งจะขอคุยกับพ่อ แต่ก็ถูกท่านปฏิเสธเสมอ เป็นความเจ็บปวดหนึ่งที่ฝังลึกคอยบั่นทอนกำลังใจเขาเสมอมา ทว่าชายหนุ่มได้รับการฟื้นใจเสมอ เมื่อนึกถึงแม่ที่จากไปหลายปีแล้ว แม่รักการอ่าน แม่อ่านหนังสือทุกประเภท และแม่ก็เป็นนักเขียน แต่พ่อไม่เคยสนับสนุนแม่ และสรุปเอาดื้อๆ ว่า สาเหตุที่แม่เป็นโรคเครียดและเส้นเลือดฝอยในสมองแตกจนเสียชีวิต ก็เพราะอาชีพนักเขียน กระนั้นงานเขียนของแม่ก็ยังคงทำรายได้จากการพิมพ์ซ้ำ และได้ค่าลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง กลาย เป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ อย่างเพียงพอ เพราะลำพังเงินเดือนจากหน้าที่การงานเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยของพ่อกับการที่ต้องเลี้ยงดูลูก 3 คนให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย มีการศึกษาสูงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่พ่อต้องเหนื่อยมากขึ้น ทั้งที่พ่อเองก็รู้ว่า เพราะรายได้เสริมจากงานเขียนของแม่โดยแท้ ครอบครัวจึงไม่ขัดสน แต่กระนั้นพ่อก็ยังคงมีอคติกับอาชีพนักเขียนไม่แปรเปลี่ยน จนนับ 7 ปี ที่นันทกรต้องออกจากบ้านมา และได้รับข่าวร้ายในวันนี้ เมื่อพ่อจากไปอย่างฉับพลัน! ชายหนุ่มจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า 2-3 ชุด รุดกลับบ้านที่หัวหิน ด้วยความรู้สึกหดหู่เสียใจ น้ำใสๆ คลอหน่วยอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ยอมจะเอ่อไหล ทว่ามันไหลย้อนกลับลงไปท่วมใจ พยายามนึกว่า มันเป็นเพียงความฝันฝันร้ายที่จะหายไปเมื่อตื่น และพยายามขับไล่ความขมขื่นใจที่ฝังลึกเสมอมาว่า พ่อไม่เคยเข้าใจ พ่อไม่เคยรัก สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ อยากกลับไปถึงบ้านเร็วที่สุด เพื่อกล่าวความในใจทุกสิ่งต่อพ่อ และบอกว่าเขายังรักเคารพพ่อเสมอ แม้ว่าในความเป็นจริง ท่านไม่อาจได้ยิน... * * * * *
5 ธันวาคม 2549 04:24 น. - comment id 94077
(ต่อ) "นั่งสินันท์" หญิงวัยกลางคน ผายมือเชิญนันทกรนั่งตรงข้าม ขยับแว่นหนา ระบายยิ้มชื่นชมชายหนุ่ม ความเงียบในห้องบรรณาธิการบริหาร ทำเอาชายหนุ่มใจเต้นโดยไม่ทราบสาเหตุ "พี่เรียกผมมาพบ มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ" เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ "อืมม์...พี่มีข่าวดีจะบอกให้นันท์ทราบน่ะ...ก็หลังจากรวมเรื่องสั้น บ้านอุ่นรัก ของนันท์วางขายทั่วประเทศ ทางสายส่งแจ้งมาว่าที่พิมพ์เฟิร์สออเดอร์ไปหนึ่งหมื่นเล่ม ตอนนี้จะต้องเพิ่มสต๊อกแล้วล่ะ...ถือว่าแรงมากเลยนะนันท์ กับเวลาสั้นๆ แค่ 2 เดือนเอง" "เหรอครับ..." ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ผมต้องขอบคุณพี่มากครับ ที่กรุณาให้โอกาส แล้วก็น้องๆ ทีมประชาสัมพันธ์ด้วยครับ ที่ช่วยส่งข่าวตามสื่อต่างๆ อีกอย่างผมว่าการจัดงานเปิดตัวที่ ลงทุนมากขนาดนั้น ก็มีผลมากนะครับ" "พี่ว่า...นั่นน่ะ แค่องค์ประกอบย่อย...เพราะถ้าตัวเนื้องานไม่เป็นที่พอใจ คนอ่านไม่ชอบ ไม่บอกต่อ และไม่เข้าตานักวิจารณ์ ก็คงไม่มีใครเขาสนับสนุน ไม่มีใครเขาเชียร์หรอก...ที่พี่เรียกนันท์มาก็จะแจ้งให้ทราบในเรื่องนี้ แล้วเรื่องเช่าค่าลิขสิทธิ์จากการพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 และครั้งต่อๆ ไป นี่ นันท์จะได้เพิ่มจาก 10% เป็น 15% จากยอดพิมพ์ "ขอบคุณพี่มากครับที่กรุณา" ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม หัวใจพองโตมีความสุขกว่าครั้งไหนๆ เมื่อมีสิ่งมาชี้ความสำเร็จบนเส้นทางนักเขียน จนส่งเขาขึ้นชั้นนักเขียนระดับแนวหน้าของประเทศ โดยได้ผลิตหนังสือที่ให้ปรัชญาในการดำเนินชีวิต เพื่อส่งเสริมจริยธรรมอันดีต่อสังคม * * * * * ไม่ถึงหนึ่งชั่งโมงต่อมา นันทกรก็นั่งอบู่บนรถประจำทางปรับอากาศมุ่งหน้าสู่ภูมิสำเนา แววตาหม่นเศร้าทอดผ่านออกไปนอกกระจกใส ทว่าหาได้สนใจกับทิวทัศน์ข้างทาง ความดีใจในวันก่อนถูกลบกลบด้วยข่าวร้ายในวันนี้ความคำนึงเก่าๆ ได้ฉายภาพชัดขึ้นอีกครั้ง... นับแต่แม่จากไป ท่าทีของพ่อที่ขัดแย้ง ขัดขวางกับความมุ่งมั่นของเขา ที่เลือกเอาดีในอาชีพนักเขียนตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย ความขมขื่นฝังลึกถมทับในใจเขาตลอดมา บางขณะก็นึกน้อยใจ เพราะดูเหมือนว่าพ่อจะจงเกลียดจงชังเขามากกว่าน้องทั้งสอง ที่พ่อตามใจมิเคยข้องขัด บางครั้งนึกไกลไปว่า เขาอาจจะไม่ใช่ลูกของพ่อก็เป็นได้... แต่นั่นก็เพียงความคิด เพราะจิตสำนึกส่วนลึกของเขายังเคารพนบนอบต่อผู้เป็นพ่อเสมอ การจากไปของพ่อ นำมาซึ่งความอาลัย ความรักความผูกพันได้ละลายความรู้สึกด้านมืดให้สว่างขึ้น นึกเสียดาย เสียใจที่ยังมิทันได้อยู่ใกล้ให้ท่านได้เห็น และรับรู้ความสำเร็จบนเส้นทางที่เขาเลือกว่า ลูกของพ่อได้เดินตามรอยของแม่ และลูกของพ่อทำได้! ชายหนุ่มหลับผล็อยไป...มารู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงแอร์บัสเตือนให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรถได้มาถึงปลายทางแล้ว * * * * * บ้านไม้สองชั้นซ่อนตัวท่ามกลางแมกไม้เขียวครึ้มร่มรื่น แม้อาณาบริเวณไม่ถึงกับกว้างใหญ่นัก แต่มันอบอวลไปด้วยความรักกับครอบครัวเล็กๆ ที่สร้างชีวิตของชายหนุ่มให้เติบใหญ่ เย็นวันนี้ภายในบ้านผู้คนพลุกพล่าน ด้วยว่าบรรดาญาติสนิท เมื่อทราบข่าวการจากไปของพ่อ ก็มาช่วยเป็นธุระในเรื่องต่างๆ ทันทีที่น้องสาวคนโตเห็นพี่ชายก้าวพ้นประตูเข้าบ้าน ก็โผเข้าหา กอดซบอกสะอื้นไห้ ชายหนุ่มกอดประคอง ไล้ผมแผ่วเชิงปลอบใจ ขณะที่เขาเองก็ยากที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ หลังจากเก็บสัมภาระ และทักทายญาติๆ ถ้วนทั่ว นันทกรก็ชวนน้องสาวปลีกตัวมานั่งที่ซุ้มชิงช้าหน้าบ้าน พูดคุย ถามไถ่รายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่พรากพ่อจากไป "พ่อโดนรถชนที่ตลาดเมื่อเช้าตอนกำลังข้ามถนนใหญ่...เจี๊ยบกับจิ๋วกำลังซื้อกับข้าวอยู่ฝั่งตลาดสด" น้องสาวเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย "แล้วพ่อข้ามถนนไปทำอะไรอีกฝั่งล่ะ" ผู้เป็นพี่ชายซัก "ตอนแรก พ่อบอกแต่ว่า จะไปซื้ออะไรฝั่งโน้นหน่อย ให้เจี๊ยบกับจิ๋วซื้อของเสร็จแล้วรออยู่ฝั่งนี้ สักพักก็ได้ยินเสียงรถเบรกดังลั่น แล้วก็มีคนตะโกนว่า มีรถบัสชนคน... "...พอเจี๊ยบกับจิ๋ววิ่งไปดู ถึงรู้ว่าเป็นพ่อ" หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามข่มเสียงสั่นเครือให้เป็นปกติ แต่ก้อนสะอื้นมันจุกอยู่ที่คอ "คนที่ชนเขารีบช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล เขาบอกว่าตอนขับรถมาถึงหน้าตลาด เห็นพ่อกำลังเดินข้าม เขาก็กดแตรเตือน ตอนแรกพ่อดูเหมือนจะหยุด แต่อยู่ๆ ก็ล้มลงมาข้างหน้า เขาเบรกไม่ทันเลยชนพ่อหัวน็อคพื้น พ่อคงจะหน้ามืดเพราะความดันต่ำ..เลยโดยชน.. "...พอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่รีบพาเข้าห้องฉุกเฉิน ซัก 20 นาที ก็มีคนออกมาบอกว่า..พ่อเสียแล้ว ปั๊มหัวใจเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น--เจี๊ยบ..เจี๊ยบเสียใจที่ไม่ได้ดูแลพ่อให้ดี ฮืออออ..." หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอย่างเต็มกลั้น ผู้เป็นพี่กอดกระชับน้องสาวไว้ "อย่าโทษตัวเองเลยนะเจี๊ยบ พี่ว่าคงถึงเวลาที่พ่อจะได้พักผ่อนน่ะ" "พี่รู้มั้ย...ตลอดเวลาที่พี่ไม่อยู่ พ่อก็บ่นถึงพี่ เป็นห่วงเรื่องอยู่เรื่องกิน กลัวว่าพี่จะลำบาก เรื่องสั้นของพี่ลงที่ไหน ถ้าพ่อรู้ รึใครมาบอก พ่อจะซื้อแล้วเก็บใส่ตู้ไว้อย่างดี บางทียังซื้อหนังสือไปแจกเพื่อนพ่อเลย" ชายหนุ่มได้ฟังคำแล้ว รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอ "แล้วพี่รู้มั้ย...เมื่อเช้านี้ที่พ่อข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วโดนรถชน...พ่อไปทำไม" น้องสาวถามเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลพราก ชายหนุ่มนั่งจดจ่อรอฟังคำตอบ "ตอนที่พาพ่อส่งโรงพยาบาล พ่อเพ้อเรียกหาเจี๊ยบ จิ๋ว และพี่ตลอดทาง สักพักพ่อก็หมดสติ แต่พ่อยังกอดหนังสือเล่มหนึ่งแนบอกไว้แน่น" "เล่มนี้ไงพี่" จิ๋วน้องชายเอ่ย พร้อมยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ มันคือหนังสือพ๊อคเก็ตบุ้คปกสีขาว...ภาพปกสีน้ำรูปบ้านรายรอบด้วยแมกไม้ร่มรื่น...ทว่าเปรอะเลอะด้วยเลือดที่เริ่มจะแห้ง... ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองภาพบนปกหนังสือที่กำลังพร่าเลือน...ด้วยว่าน้ำตาได้เอ่อท้นจนล้นสองตาโดยไม่รู้ตัว เขาค่อยๆ อ่านข้อความบนปกหนังสือ ที่มันดังก้องในใจ เป็นเสียงที่มีความหมาย และไพเราะที่สุดกับความรู้สึกที่พ่อมีต่อเขา... รวมเรื่องสั้นสร้างสรรค์จากคมปากกานักเขียนคลื่นลูกใหม่แห่งยุค "บ้านอุ่นรัก" โดย...นันทกร ชายหนุ่มปล่อยโฮออกมา...สามพี่น้องกอดกันร่ำไห้กับเย็นย่ำอันแสนเศร้าของครอบครัวที่ไร้เสาหลัก บัดนี้นันทกรได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า พ่อมิเคยขาดแคลนความรัก มิเคยรังเกียจ ดูแคลนชิงชังเขาแม้แต่น้อย แท้จริงเขายังคงเป็นลูกที่พ่อรักและภาคภูมิใจ แม้ในความไม่เข้าใจบางขณะ แต่พ่อก็ยังคงรักเขาเสมอ...มิเคยเปลี่ยนแปลง... ------จบ----- * * * * * * * * * * 4 Dec 2006 by ทิวสน ชลนรา คิดถึงพ่อ นึกถึงเรื่องสั้นที่ตัวเองเขียนเกี่ยวกับพ่อ เพราะใกล้วันพ่อด้วย จึงนำเรื่องสั้นเรื่อง นี้มาแบ่งปันครับ
5 ธันวาคม 2549 04:26 น. - comment id 94078
หมายเหตุ.../ ตอนแรกโพสต์ไปจนจบแล้ว แต่เปิดมาพบเนื้อหาขึ้นไม่หมด จึงต้องเพิ่มในช่องแสดงความคิดเห็นครับ
5 ธันวาคม 2549 05:11 น. - comment id 94080
SNIFF SNIFF I READ YOUR STORY MAKE ME WANNA CRY I MISS MY PARENT I HOPE THEY ARE DOING OK SOMEDAY I WILL GO BACK AND VISIT THEM AGAIN . MY ONLY HOPE!!!
5 ธันวาคม 2549 11:31 น. - comment id 94081
อ่านแล้วคิดถึงพ่อมาก
5 ธันวาคม 2549 16:38 น. - comment id 94090
ไม่ทราบเกิดความผิดพลาดทางโปรแกรมหรือเปล่า เพราะคำมีซ้ำประโยคเอง โดยเฉพาะช่วงท้ายบรรทัด จะมาซ้ำอีกบรรทัดหนึ่ง * * * * * ขอบคุณ..และดีใจที่เรื่องนี้ ช่วยจุดประกาย ให้หลายท่าน กลับหวนคิดถึงความรัก และความหวังที่เคยได้รับเสมอ จากพ่อ และครอบครัว วันนี้ บอกรักพ่อหรือยังครับ....ผมโทรไปบอกท่านแล้วล่ะ
5 ธันวาคม 2549 21:57 น. - comment id 94103
ผมก็เชื่อนะ ความรักของพ่อที่แสดงต่อผู้เป็นลูกชายบางครั้งก็ไม่กล้าแสดงแบบออกนอกหน้าแต่จะเป็นการแสดงด้วยการกระทำโดยที่บางครั้งก็ไม่กล้าแสดงให้เห็นต่อหน้าลูก เรื่องนี้สื่อความหมายได้ดีทีเดียวครับ
6 ธันวาคม 2549 13:18 น. - comment id 94122
ชอบเรื่องสั้นของพี่มาก ๆ เป็นเรื่องที่ดีทีเดียวอ่านแล้วคิดถึงพ่อและแม่ที่อยู่ที่บ้านเพราะมาเรียนต่างจังหวัดแต่ก็ไม่ได้ไกลกันมาก เขียนมาอีกนะคะจะรออ่าน
6 ธันวาคม 2549 21:41 น. - comment id 94140
ขอบคุณครับ สำหรับทุกความเห็น ความจริงเรื่องนี้ มีส่วนคล้ายตัวผม อยู่บ้างครับ หลายปีนี้ ในส่วนของการเป็นลูกที่ดี ก็จะพยายามแสดงออกเสมอถึงความรักที่มี ต่อทั้งพ่อและแม่ครับ ผมเชื่อเสมอว่า "รักต้องแสดงออก" เพียงบอกรักคำเดียว ก็ละลายใจได้แล้วครับ หากชอบเรื่องสั้นแนวนี้ ก็จะนำมาแบ่งปันเรื่อยๆ ครับ
7 ธันวาคม 2549 05:49 น. - comment id 94142
..ไม่อยากบอกว่า ..เรนอ่านเรื่องนี้แล้วทำให้มีน้ำตาด้วยดิคะ.. พยายามที่จะไม่ร้องไห้.. ในเรื่องไร้สาระที่ถูกใครคนนั้นว่า.. ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน.. ในทุกครั้งที่อ่านเรื่องที่เกี่ยวกับพ่อ .. ... อยากแกร่งแบบพ่อจัง.. เรื่องสั้นของคุณ ..สร้างความรู้สึกได้ดีด้วยดิคะ.. .. ช่องว่างตรงนั้น.. ไม่อยากให้มีด้วยดิคะ .. ไม่ว่าจะจากใคร .. คนใดคนนึง.. พ่อและแม่ .. อะไรคือเส้นใยบางๆ ที่ขวางกั้น.. อยากบอกแม่ด้วยดิคะ .. ว่าเรนคิดถึง.. อีกไม่นาน ..แม่คงกลับมา.. ..