แมลงวันหัวเขียวตัวอ้วนกลมตัวหนึ่ง บินโฉบเข้าไปทางหน้าต่างของบ้านสีชมพูหลังใหญ่ มันตั้งหน้าบินตรงไปยังโต๊ะอาหาร ซึ่งคนในบ้านกำลังนั่งทานมื้อเช้ากันอยู่ มันร่อนลงเกาะบนจานข้าวของลูกสาวคนเดียวของบ้าน เธออายุสิบห้า กำลังแตกเนื้อสาวด้วยใบหน้าสวยได้รูปเหมือนแม่ ดวงตาคมเหมือนพ่อ และมีรอยยิ้มที่ใครต่อใครพากันนึกอิจฉา เธอกำลังเรียนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งพ่อกับแม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้เธอได้สิทธิเข้าเรียน ความจริงเด็กสาวเป็นเด็กฉลาด มีผลการเรียนที่ดีมาโดยตลอด แต่มันไม่เพียงพอที่จะได้นั่งเก้าอี้โรงเรียนระดับแนวหน้าแห่งนี้หรอก หากว่าพ่อแม่ของเธอเป็นแค่นายหมูนางหมาจนๆ ไม่มีเพื่อนที่เป็นอาจารย์คอยเป็นธุระวิ่งเต้นให้ เด็กสาวตอบแทนด้วยการมานะตั้งใจเรียน ไม่วอกแวกเสียสมาธิกับสิ่งเร้ารอบข้าง และมันควรจะเป็นอย่างนั้นไปตลอด หากเธอไม่บังเอิญมองเห็นเจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวใหญ่น่าขยะแขยง กำลังไต่ตอมบนจานข้าวแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนคลื่นไส้ จนต้องรีบลุกวิ่งเข้าห้องน้ำ แม่หันมองตามหน้าตาตื่นรีบวิ่งตามลูกสาวไปติดๆ ด้วยความเป็นห่วง ช่วยลูบหลังให้เธอเป็นพัลวัน อีกมือรองน้ำใส่แก้วยื่นให้บ้วนปาก เสร็จแล้วค่อยประคองกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารดังเดิม พอเห็นว่าลูกสาวเริ่มตั้งตัวได้ ทั้งแม่ทั้งพ่อ รีบร้อนซักถามอาการแทบจะพร้อมกัน แต่เด็กสาวยังไม่ทันได้ขยับปากพูด เธอเหลือบไปเห็นเจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวเดิมเข้าอีก ก็เกิดอาการคลื่นไส้จนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง และคราวนี้ส่งเสียงโอ้กอ้ากดังยิ่งกว่าหนแรก แม่ตามเข้าไปในห้องน้ำด้วยสีหน้ากังวล เธอรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าชักไม่เข้าที แต่ยังประคองสติยืนลูบหลังให้ลูกสาวด้วยความเป็นห่วง แล้วประคองกลับมาที่โต๊ะอาหาร เธอถามลูกสาวทันทีว่าเป็นอะไร เด็กสาวไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตานิ่งเงียบ แม่เค้นเสียงถามอีกครั้ง เด็กสาวตัวสั่นและเริ่มสะอื้น แม่ของเธอใจหายวาบ คล้ายแว่วคำตอบที่ไม่อยากได้ยินดังมาจากที่ไหนซักแห่ง แต่เธอยังพยายามตั้งสติ และระงับอารมณ์เพื่อไม่ให้ลูกสาวตื่นกลัว เธอถามคำถามเดิมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งขึ้น เด็กสาวยังไม่ยอมปริปากกลับสั่นวะอื้นหนักขึ้นกว่าเดิม แม่ยังไม่หมดความอดทน เธอค่อยๆ ประคองไหล่เล็กๆ ของลูกสาวให้เงยหน้าขึ้นมา แล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง เด็กสาวมองเข้าไปในดวงตาของแม่มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยจนกล้าหาญมากพอจะตอบคำถาม หนูท้อง! เธอพูดได้เท่านั้น น้ำเสียงก็เหมือนขาดห้วงหายไปเฉยๆ เหลือเพียงเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นตอนซบหน้าชื้นลงบนตักแม่ แมลงวันหัวเขียวบินขึ้นจากจานข้าวของเด็กสาว โฉบบินส่งเสียงดังหึ่งๆ มันไม่รู้หรอกว่า ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังหัวใจสลาย พ่อของเด็กสาวนั่งตัวแข็งทื่อ เขาเพิ่งจะกินข้าวได้เพียง 2-3 คำ แต่ตอนนี้กลืนอะไรไม่ลงอีกแล้ว ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เป็นไร... แม่ลูบหัวลูกสาวเบาๆ พลางปลอบโยน ทั้งๆ ที่เธอเองนั้นก็กำลังรู้สึกอื้ออึงในหูทั้งสองข้าง และแทบจะชาไปหมดทั้งตัว เธอปล่อยให้ลูกสาวซบสะอื้นบนตักอย่างนั้นจนเริ่มเงียบเสียงลง จึงค่อยใช้มืออุ่นประคองหัวไหล่น้อยๆ ให้ลุกขึ้น พอเห็นดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าชื้นน้ำตาของลูกสาว แม่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาบ้าง แต่เธอยังพยายามตั้งสติ และถามออกไปแผ่วเบา หนูท้องกับใคร บอกแม่ได้ไหม? เด็กสาวหลบตา ไม่ต้องกลังนะลูก บอกแม่มาเถอะ แม่จะได้ช่วยหนูได้ไงจ๊ะ แม่ยายามอีก แต่ยังไม่มีคำตอบใดๆ หลุดจากปากลูกสาว นอกจากเสียงสะอื้น นิกรใช่ไหม?! เธอนึกถึงเพื่อนชายที่ลูกสาวสนิทสนมด้วยมากที่สุด นิกรเรียนห้องเดียวกันกับลูกสาวของเธอ เด็กทั้งสองดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ แต่มันก็ยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มท่าทางซื่อๆ ตรงไปตรงมาอย่างนิกรจะร้ายกาจถึงขั้นกล้าฉวยโอกาสกับลูกสาวของเธอได้ ที่สำคัญการพบปะของเด็กทั้งสองเรียกว่าไม่เคยพ้นจากสายตาผู้ใหญ่เลย เป็นมันจริงๆ ด้วย ไม่ต้องกลังหรอกพ่อจะจัดการให้เอง จะลากคอมันมาเค้นเอาความจริงให้ได้ พ่อซึ่งนั่งนิ่งอยู่นานทุบโต๊ะเสียงดัง เด็กสาวหันขวับไปมองด้วยแววตาแข็ง พลางกัดเม้มริมฝีปากแน่น เจ้าแมลงวันหัวเขียวบินโฉบลงมาเกาะไต่ในจานข้าวของพ่อ เขารีบตวัดมือไล่อย่างฉุนเฉียว มันบินหลบว่องไว และโฉบไปบินวนเวียนส่งเสียงดังหึ่งๆ อยู่บนหัวเขาแทน ไล่มันออกไปที หนูเกลียดมัน!! เด็กสาวชี้มือไปทางเสียงหึ่งๆ โดยไม่หันหน้าไปมอง ไล่มันไปสิคุณ ไอ้แมลงวันหัวเขียวสกปรก! แม่หันไปบอกพ่อ เธอเองก็เริ่มจะหงุดหงิดมันขึ้นมาบ้าง พ่อตวัดมือไล่แรงๆ แต่เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวใหญ่ยังไม่ยอมบินหนีไปง่ายๆ เขาจึงลุกขึ้นใช้สองมือไล่ตบ มันบินฉวัดเฉวียนหลบหลีกไปที่ตะกร้าเสื้อผ้าตรงมุมห้อง เขารีบตามติด และตบโครมลงไปด้วยโทสะ จนตะกร้ากระเด็นกลิ้งหลุนๆ เสื้อผ้ากระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เจ้าแมลงวันหัวเขียวบินร่อนลงแบผ่านเนกไทสีแปลกตาอันหนึ่ง พ่อรีบก้มหยิบขึ้นมากำแน่นไว้ในฝ่ามือ มันมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม?! พ่อเหวี่ยงเนกไทอันนั้นลงบนโต๊ะตรงหน้าแม่ เธอถึงกับผงะรีบเสหน้าไปทางอื่น ฉันถามว่า มันมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม! พ่อทุบกำปั้นโครมลงบนโต๊ะ ใช่! แม่ตวาดกลับ เขามา-แล้วจะทำไม!? อ้อ! เดี๋ยวนี้กล้าลอยหน้าลอยตารับอย่างไม่อายแล้วสินะ นังแพศยา! พ่อขบกรามจ้องหน้าแม่เขม็ง อย่ามายืนชี้หน้าด่าฉันแบบนี้นะ แม่ลุกพรวดขึ้นบ้าง อย่างน้อยเขาก็ดีกว่าคุณ! จะเทิดทูนมันยังไงก็เชิญตามสบายเลย แต่อย่าพามันมาระเริงกามในบ้านหลังนี้! พูดยังงี้ต่อหน้าลูกได้ยังไง! ฉันจะพูด! มันจะได้รู้ความจริงซะทีว่า แม่มันน่ะทำตัวเหลงแหลกแค่ไหน ที่ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้ก็เพราะคุณ! คุณไม่เคยให้ความสุขกับฉันเลย แล้วถ้าฉันจะหาความสุขใส่ตัวบ้างมันผิดมากมายนักรึไง!? หาความสุข! นี่เธอกล้าพูดอย่างไม่กระดากปากขนาดนี้เลยหรือ? ทำไมล่ะ ถ้าจะอาย ฉันคงอายที่มีสามีอย่างคุณมากว่า อย่าคิดนะว่าฉันไม่เคยระแคะระคายเรื่องหนุ่มคู่ขาของคุณเลย คนเค้าลือกันจนจะได้ยินมาถึงหน้าบ้านอยู่แล้ว! เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวเดิมบินวนกลับเข้ามาที่โต๊ะอาหารอีก แต่เวลานี้ไม่มีใครใส่ใจมันอีกต่อไปแล้ว โต๊ะอาหารที่เคยดูอบอุ่น บัดนี้กลายสภาพเป็นเหมือนสมรภูมิรบร้อนระอุ ไม่มีความเป็นพ่อ-แม่-ลูก หลงเหลือ มันได้แต่บินวนเวียนส่งเสียงหึ่งๆ ไปรอบๆ พอซะทีได้ไหม๊!! เด็กสาวแผดเสียงร้อง แต่มันก็ถูกกลืนหายไปกับเสียงทะเลาะกันของพ่อแม่ และเสียงของแมลงวันหัวเขียว หนูท้องกับอาจารย์ประจำชั้น!! เธอลุกขึ้นขึ้นยืนระหว่างคนทั้งสอง เขาข่มขืนหนูที่โรงเรียน! คราวนี้ได้ผล พ่อกับแม่ถึงกับหยุดชะงักใบหน้าซีดเผือดไปทั้งคู่ ได้ยินไหม๊!! อาจารย์ประจำชั้นเพื่อนสนิทของพ่อกับแม่คนนั้น-มันข่มขืนหนู มันขู่จะเอาคลิปเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ถ้าหนูเล่าให้ใครฟัง ฮือๆ เด็กสาวปล่อยโฮออกมาอย่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว-หัวใจของเธอแหลกสลายจนไม่มีชิ้นดี พ่อกับแม่ของเธอได้แต่นิ่งอึ้ง ทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง บัดนี้ทั้งโต๊ะอาหารเหลือเพียงเสียงสะอื้นไห้ เจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวอ้วนกลมบินวนเวียนส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง มันก็บินผละออกมาทางหน้าต่างของบ้านสีชมพูหลังใหญ่หลังนั้น มันบินฉวัดเฉวียนไปมาในอากาศอย่างเริงร่า ก่อนจะตั้งหน้าบินตรงไปยังหน้าต่างบ้านที่อยู่ถัดไป...
4 ธันวาคม 2549 16:02 น. - comment id 94054
อ่านจบแล้วทำให้คิดได้ว่าผู้เขียนคงต้องการสื่อให้"แมลงวันหัวเขียว"ในเรื่องเป็นตัวแทนของ "ความจริง" เพราะ***ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ***ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีไม่งามแล้วล่ะก็ถึงจะพยายามปิดบังหรือทำลายขนาดไหน มันกลับจะยิ่งปรากฏเร็วขึ้นเท่านั้น
4 ธันวาคม 2549 18:51 น. - comment id 94061
ครับผม...ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่สิ่งที่มันไม่ง่าย ก็คือการยอมรับของเรานี่แหละครับ ทั้งที่ความจริง(ที่ฟอนเฟะ)นั้น ดำรงอยู่ตรงหน้าเรา แต่เราพยายามบ่ายเบี่ยง เลือกที่จะไม่มองหรือแกล้งมองไม่เห็นมัน นานวันเข้ามันก็กลายเป็นความเคยชิน ไปโดยที่เราไม่รู้ตัว...น่ากลัวนะครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเฉยเมยกลายเป็นความเคยชิน
4 มกราคม 2550 10:14 น. - comment id 94556
ยาวจริงๆขอคารวะ
4 มกราคม 2550 10:15 น. - comment id 94557
ยาวจริงๆขอคารวะ
9 กุมภาพันธ์ 2550 01:35 น. - comment id 94929
ผมเขียนยาวไปเหรอคับ??
15 กุมภาพันธ์ 2554 05:00 น. - comment id 122084
ไม่ยาวไปหรอก แต่พิมพ์ตกเยอะไปหน่อย.. อิอิ เอาอีก เอาอีก!!