พฤติกรรมผู้ทำลาย
ศิลป์กีรติ ว่าโร๊ะ
.
การที่คนเราจะทำอะไรสักอย่างมันยากเหมือนกันนะ
กว่าจะสร้างสักสิ่งสักอย่างได้เป็นรูปเป็นร่างอย่างเห็นชัด แต่ที่น่าน้อยใจไปกว่านั้นอีกก็คือ ตอนที่ทำลายมันช่างง่ายดายเพียงในพริบตาเดียวแค่นั้นเอง
วันนี้ผมได้ออกไปทำงานเป็นลูกมือของนักออกแบบภายในกับเพื่อนคนหนึ่ง
เราไปช่วยงานพี่คนนั้นกันสองคน
แกเป็นคนรับงานของบริษัทจัดตกแต่งภายในอาคารแห่งหนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้จัก
เป็นตึกธุรกิจสำนักงานบริษัทต่างๆอยู่แถวพระรามเก้า
พี่คนนี้รู้จักกับเพื่อนอีกทีหนึ่ง หลังจากซ้อนมอเตอร์ไซค์จากบ้านของเพื่อน
และแล้วก็มาถึงซะที ได้ยกเครื่องมืออันหนักอึ้งออกจากบ่า สิ่งที่มีให้เราทำนั้นก็เหมือนผมเกริ่นนำนั่นแหละ เป็นงานรื้อผ้าม่านและโครงเหล็ก
พอหมดความสำคัญก็ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
งานอยางนี้ถนัดนักแหละ ถนัดนักแหละสำหรับคนอย่างผมนี่
วันนี้มันไม่ใช่งานหนักหนาอะไรนักหรอก แต่ก็เหนื่อยเหมือนกัน
เหงื่อแตกมิใช่เล่น อย่าดูถูกงานนะ เห็นว่าเบาแต่ไม่เบาเลย
ก็แรงทั้งนั้นที่ผมและเพื่อนใช้ลงไป นั่นแหละที่ผมมีสาเหตุที่อยากเป็นศิลปิน
แค่นั่งจินตนาการอะไรเดี๋ยวเดียวก็ได้ตังค์แล้วถึงจะน้อยนิดก็เหอะ
แต่นั่นแหละคืองานสร้างสรรค์ที่มีคุณค่าเพราะใครที่ไหนจะนำความว่างเปล่ามาเรียบเรียงเป้นตัวหนังสือ เป็นบทเพลงได้
ผ้าม่านแต่ละผืน,เหล็กรางผ้าม่านแต่ละเส้นค่อยๆถูกดึงออกและมัดรวมกันเป็นระเบียบ
ไม่น้อยเลยสำหรับผ้าม่านทั้งหมด ห้องประชุม,และห้องอื่นๆอีกสองสามห้อง
กว่าจะเสร็จงานก็ยันไปห้าโมงเย็น คุณคงคิดว่ามันนานมากหละซิ
ที่จริงแล้วเราเข้าไปที่นั่นเกือบบ่ายสองโมงไปแล้ว
นั่นแหละที่ใครๆ ชอบบอกให้เราฟังอะไรสักอย่างแล้วต้องฟังให้จบไม่นั้นเราจะเข้าใจผิด เคยมีคนเคยบอกอีกเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นด้วยตาอย่าเชื่อ
ยังมีมากกว่านั้นอีกสิ่งที่เขาเคยบอกให้ฟัง"อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาคุณเห็น อย่าเชื่อในสิ่งที่หูคุณได้ยิน อย่าเชือในสิ่งที่ปราสาทรับรู้" ไอ้นี่ ผมก็งงเหมือนกันครับ
ผมสับสนกับหลายคำสอนเหลือเกิน ผมควรจะฟังความเห็นของใครดีครับ แล้วคุณหล่ะ คุณคิดว่าคุณเชื่อในคำบอกไหนดี ผมว่าคุณไม่ต้องเชื่อในสิ่งใดทั้งนั้น
คุณต้องเชื่อในความเป็นตัวคุณเองซิครับ
ไม่ต้องเชื่อตา บางทีคุณอาจตาเขตาเหล่ หรืออาจตาฝาดไปก็ได้
ไม่ต้องเชื่อหู เพราะบางทีคุณหรือผมอาจจะหูหนวกทั้งคู่ก็ได้
ต้องใส่คำว่าผมไปด้วย เดี๋ยวคุณว่าผมว่าแต่คุณที่จริงแล้วผมหน่ะยิ่งกว่าคุณซะอีก
วันนี้ผมไปซื้อของมารู้หรือเปล่าว่าผมลืมอะไร ไม่ใช่ตังค์ทอน
แต่เป็นของที่ซื้อต่างหากที่ผมลืม เขาทอนตังค์ให้ผมแล้วผมออกจากร้าน
ในขณะที่เขากำลังจะเอาของให้ แต่ผมชิงเดินออกไปจากร้านซะก่อน
วันก่อนโน้น ตอนที่ผมกลับบ้านด้วยความเพลินผมขี่มอร์เตอร์ไซค์เลยบ้านตัวเองไปเกือบครึ่งกิโลฯแหน่ะ ด้วยความเบลอมั้ง หรือว่าสติไม่ค่อยดี
นี่ต้องวนกลับมาบ้านอีกรอบ ไม่ต้องเชื่อประสาทในสิ่งที่ต้องรับรู้
แล้วเราจะเชื่ออะไรดีหล่ะ คุณเชื่อตัวคุณเองที่คุณพิจารณาแล้ว
ผมก็ต้องเชื่อตัวผมเอง เชื่อในสิ่งที่ผมทำ สิ่งที่ผมคิด
มันเป็นอิสระครับ ถ้าผมคิดว่ามันเป็นอิสระ และไม่เป็นอิสระถ้าผมคิดว่ามันไม่เป็นอิสระ ตัวคุณเองก็เช่นกันคุณคิดว่ามันเป็นอิสระที่เป็นอิสระ
และโดนพันธนาการถ้าหากคุณคิดว่าไม่เป็นอิสระ
รู้เปล่าตอนนี้สิ่งที่ผมเขียนถ้าคุณกำลังเพลิดเพลินกับมัน
ตอนนี้ผมว่าคุณไม่เป็นอิสระแล้วถูกบทความของผมครอบงำ
แต่ถ้าคุณแทบจะเอียนเอียนกับสิ่งที่ผมเขียนคุณกำลังเป็นอิสระอย่างเต็มที่
อย่างนี้ซิ ที่เรียกว่าตัวคุณ นั่นแหละมุมมองในแบบของคุณ
ถ้าคุณจะเพลินกับสิ่งที่ผมเขียนให้ตัวคุณเองสั่งว่าเพลินคุณถึงจะเพลินได้
มันต้องไม่ใช่อิทธิพลของโครงเรื่องตัวหนังสือเหล่านี้
รู้หรือเปล่าตัวหนังสือเหล่านี้มันเป็นอิสระโดยธรรมชาติของมัน
แต่มนุษย์โหดร้ายอย่างผมนี่แหละ ที่จับมันขังไว้ในบทความ
ผมยอมที่จะโดนตราหน้าว่าไอ้คนใจดำขังได้แม้แต่ตัวอักษรตั้งแต่ก.ไก่-ฮ.นกฮูก
ผมจะไม่ให้มันเป็นอิสระ ทำไมเหรอ มันไม่ได้ทำผิดอะไรสักนิดเดียว
คุณอย่าหาว่ามันไม่ผิดนะ มันผิดเต็มประตูเลย
ทำไมมันถึงให้ผมอ่านมันออก ถ้าผมอ่านไม่ออกเดี๋ยวนี้ผมก็คงไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัย ต้องทนเขียนหนังสืออยู่ทนโท่อย่างนี้หรอก
นึกว่าสนุกนักเหรอกับการเขียนเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เข็ดมือ
ทำไมมันไม่ต่อต้านผม มันเป้นหนี้มนุษยชาติซะด้วยซ้ำที่ประดิษฐ์คิดค้นสร้างมันขึ้นมา และมันเป็นหนี้ผมเหมือนกันเพราะผมได้พาพวกมันมาอยู่เป็นเพื่อนกันไม่เงียบเหงา หากตัวอักษรตัวไหนแหกคอก ผมจะขีดฆ่ามันซะ
ผมจะลบมันออกไปจากบทความของผม มันจะไม่มีอยู่อีกต่อไป
ก็ตัวผมเกิดมาเพื่อทำลายนี่ ทำลายความต้องการของตัวเอง
ทำลายสิ่งรอบข้างทุกอย่างแม้แต่เวลาว่างของคุณ
คุณจะต้องมาอ่านบทความของผม ตัวหนังสือทุกตัวจะบั่นทอนอารมณ์
สงบของคุณ ให้เคลิ้มตาม หรือไม่ก็อ๊วก
ผมอยากหยุดทำลายเหลือเกินแต่ไม่รู้เมื่อไหร่
จะหยุดได้จากพฤติกรรมเหล่านี้
24 เมษายน 2545