เรื่องเล่าในวงเหล้า สายลมหนาวพัดหอบเอาความหนาวเหน็บมาเยือนในตอนเย็นหลังเลิกงานวันนี้ ข้าพเจ้ายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนเดินออกมายืนเด่นที่หน้าสำนักงาน แล้วหันไปทางภารโรงที่กำลังเก็บจอบในสนามหญ้า ข้าพเจ้าเรียกภารโรงเข้ามาหาแล้วยื่นแบงก์ห้าร้อยให้ พลางสั่งซื้อเหล้าพร้อมกับแกล้ม ลุงมา...ทองพูนดื่มเหล้าด้วยกันนะวันนี้ ข้าพเจ้าหันไปทางพนักงานประจำรถขนขยะ ครับปลัด โอ้วันนี้มีลาภปากอีกแล้ว ลุงมาพูดพลางยิ้มท่าทางดีใจ เดือนละครั้งสองครั้งที่ข้าพเจ้ามักจะหาโอกาสดื่มหลังเลิกงานอย่างนี้ เหล้าพร้อมกับแกล้มถูกยกมาวางที่ม้าหินอ่อนหลังสำนักงาน สายลมหนาวยังพัดดังหวีดหวิวทุกระยะ ต้นข้าวที่ออกรวงเหลืองอร่ามตามผืนนาริมรั้วโอนเอนอ่อนไหวไปตามแรงลมรอการเก็บเกี่ยว ชาวนาต่างทยอยกันกลับสู่บ้านเรือนของตนเมื่อความมืดเริ่มคืบคลานกลืนแสงสว่างสู่เวลาย่ำค่ำ เอ้า...ดื่มลุงดื่มเป็นไงทำงานเหนื่อยไหม ข้าพเจ้าชี้มือไปที่แก้วเหล้า แกยกขึ้นดื่มเหมือนกระหาย ไม่หรอกครับปลัด.. งานในไร่ในนาหนักกว่านี้เยอะ ลุงมาตอบหลังถอนแก้วออกจากปาก ทุกคนตักกับแกล้มเข้าปากคนละทีสองทีพร้อมจิบเหล้าทำให้การดื่มวันนี้มีรสชาติยิ่งขึ้น ปลัดครับ.. ผมขออนุญาตถามเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง ได้สิลุง ข้าพเจ้าพูดแบบกันเอง ปลัดไม่มีคุณนายหรือครับผมไม่เห็นมาอยู่ด้วยเลย ลุงมาถามแบบพาซื่อ ยังสิครับถามได้ คนขี้เหร่อย่างผมใครจะมาเอา ข้าพเจ้าพูดพลางหัวเราะ ก่อนพูดต่อ ถ้ามีผมก็ต้องเอามาอยู่ด้วยสิ ผมชี้มือไปที่บ้านพักที่อยู่ถัดไป แล้วลุงล่ะบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่ไหนหรือว่าเป็นคนที่นี่โดยกำเนิด ข้าพเจ้าถามเรื่องส่วนตัวแกบ้าง ผมย้ายมาจากจังหวัด......เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แกเอ่ยชื่อจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน แล้วไปไงมาไงถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะลุงข้าพเจ้าถามเรื่อยเปื่อยแบบไม่ค่อยใสใจนัก ที่จริงแล้วเรื่องของผมมันยาว แกหยุดถอนหายใจ ยาวแค่ไหนก็ไม่เป็นไรนี่ลุงเหล้าตั้งกลมกว่าจะหมด ค่อยๆ เล่าสู่กันฟังก็ได้ข้าพเจ้าประชดประชันพร้อมทำเป็นคะยั้นคะยออยากฟัง เอาเป็นว่าผมดื่มถูกคอกับปลัดผมจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน อืม... ข้าพเจ้าพยักหน้า สมัยเป็นหนุ่มก่อนที่จะแต่งงานกับยายสีเมียคนที่สองของผมแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ลุงมายกแก้วเหล้าก่อนพูดต่อ ช่วงนั้นผมมักจะไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ฟากแม่น้ำโขงฝั่งโน้น เหตุการณ์ครั้งนั้นผมยังจำได้ดีไม่มีวันลืม ลุงมาทำสีหน้าเคร่งขรึม เป็นไงลุง ข้าพเจ้าถาม วันนั้นผมข้ามฝั่งไปเยี่ยมญาติเช่นครั้งก่อนๆ ช่วงนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองของเขายังสงบร่มเย็น สัตว์ป่าชุกชุมของป่ามากมายหลายอย่าง แกเว้นระยะ แต่ละวันญาติมักจะพาผมไปล่าสัตว์ ได้เก้ง กวาง มาทำอาหารกินกัน หากเหลือเราก็จะทำเป็นเนื้อแห้งเก็บไว้กินในวันข้างหน้า ล่าสัตว์ก็สนุกดีนี่ครับ ทำไมลุงต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้น ข้าพเจ้าขัดคอเล่นๆ ครับ...ฟังต่อ ผมอยู่ครั้งนี้นานกว่าทุกครั้งจนลืมว่าตัวเองเป็นคนไทย และแล้ววันหนึ่งทางการมาเกณฑ์คนไปเป็นทหารผมก็โดนเกณฑ์ไปด้วย ผมไม่กล้าบอกว่าเป็นคนไทยกลัวโดนข้อหาหลบหนีเข้าเมือง แต่สมัยนั้นประเทศเขาก็ไม่มีใครมีบัตรประชาชนเลยนะ ผมจึงเลยตามเลย จนถูกฝึกเป็นทหารอยู่ประจำกองร้อยอารักขาท่านเจ้าแขวง น่าสนุกนะครับทหารประเทศนั้น ข้าพเจ้าเริ่มสนุกไปกับการเล่าเรื่องของแก แรกๆ ไม่ค่อยสนุกนักหรอก แต่บังเอิญวันนั้นทหารที่เป็นหัวหน้าสั่งให้ผมนำหนังสือไปเสนอท่านเจ้าแขวงที่จวน แต่พอผมย่างก้าวเข้ารั้วเท่านั้นหมาที่แกเลี้ยงไว้สี่-ห้าตัวก็โดดรุมกัดผมแบบไม่ได้ตั้งตัว กว่าจะมีคนมาไล่ออก ผมต้องลงไปนอนคลุกฝุ่นน่วมทั้งตัว แต่แปลกที่ว่าผมไม่มีแผลเลยสักแห่งทั้งๆ ที่โดนรุดกัดขนาดนั้น ท่านเจ้าแขวงรู้เข้าเลยทึ่งในตัวผมจึงเอาผมไปเป็นทหารรับใช้ที่จวนของแก พร้อมเลื่อนยศให้ผมเป็นนายสิบ ลุงมาหยุดพูดยกแก้วจิบ ทำไมหมากัดลุงไม่เข้าล่ะ มีของดีอะไรเหรอ ข้าพเจ้าสงสัย อาจเป็นเพราะผมห้อยหลวงพ่อที่คอตอนนั้นก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว เสียงลมหนาวยังพัดดังหวีดหวิวทุกระยะ แต่ความหนาวคลายลงบ้างแล้ว อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่พวกเราดื่มเข้าไปออกฤทธิ์แล้วก็เป็นได้ เล่าต่อครับลุง กำลังสนุก ข้าพเจ้าเร่ง เหตุการณ์บ้านเมืองสงบได้ไม่นาน ก็ต้องมีอันเปลี่ยนแปลง ช่วงนั้นรัฐบาลมีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองใหม่มีทหารจากประเทศทางตะวันออกมาเสริมกำลังขับไล่เข่นฆ่าและจับชาวบ้านไปกักขังหรือพวกเขาเรียกว่าสัมมนา บ้านเมืองเกิดระส่ำระส่าย เจ้าแขวงถูกเรียกตัวเข้าเมืองหลวงแล้วหายตัวไป ชาวบ้านหลายครอบครัวอพยพหนีเข้าไทยกันจ้าละหวั่น ลุงมาเว้นระยะ ผมกับทหารกลุ่มหนึ่งคิดจะปักหลักสู้ แต่ปืนใหญ่ยิงถล่มค่ายเราทุกระยะ พวกเรามีแต่ปืนเล็กเท่านั้นจึงไม่มีโอกาสต่อสู้กันจะจะ และแล้ว...ใกล้รุ่งของวันนั้นเองค่ายเราถูกยิงถล่มหนัก รถถังข้าศึกหลายคันบุกยิงทำลายค่ายเรายับเยินทุกคนหนีเอาตัวรอด ผมกระโดดข้ามรั้วค่ายวิ่งหนีเหมือนกัน ลุงมาหยุดยกแก้วขึ้นดื่มก่อนเล่าต่อ ผมวิ่งไปตามถนนในตัวเมืองที่มีสภาพไม่ต่างจากหมู่บ้านในเมืองเราเท่าใดนัก หมายมุ่งหน้ากลับบ้านเกิด ลูกปืนใหญ่ตกแต่ละครั้งดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ผมวิ่งมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่มีสภาพเป็นตึกเจ้าของบ้านมีพ่อ แม่ ลูกสาว และหลานชายตัวเล็กอีกคนพากันวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมห่อสัมภาระ พวกเขาเห็นผมรู้ว่าเป็นทหารเลยว่าจ้างให้ช่วยพาหนีเข้าไทย โดยจะให้ทองจำนวนหนึ่งเป็นรางวัล ผมตอบตกลงให้พวกเขาตามมา ตอนนั้นผมไม่ได้คิดหรอกว่าจะยุ่งยากลำบากในภายหน้า คิดแต่เพียงว่าอยากได้ทองเป็นทุนตั้งตัวเมื่อถึงเมืองไทยเท่านั้น ผู้เป็นพ่อขอให้ช่วยอุ้มหลานชายของแก เพราะตามลำพังตัวแกกับเมียก็เดินลำบากอยู่แล้วส่วนลูกสาวร่างบอบบางเกินไป ผมเอาหลานแกเกาะด้านหลังแล้วเอาผ้าขาวม้ารัดเอาไว้อีกทีหนึ่ง ผมดูก็รู้ว่าครอบครัวนี้มีเชื้อสายจีน อาชีพค้าขาย ฐานะดี เวลานั้นชาวบ้านวิ่งหนีกันขวักไขว่ รถจิ๊บติดปืนกลหลายคันแล่นตรวจการณ์ไปมาตามถนนพร้อมเสียงปืนกลดังรัวเป็นระยะ ๆ ผมพาพวกเขาวิ่งหลบไปทางสวนหลังบ้าน ลูกสาวแกสวยไหมลุง ข้าพเจ้าขัดขึ้นด้วยความอยากรู้ตามประสาหนุ่มๆ แกพยักหน้าเนิบ ๆ แล้วทำหน้าเศร้าขึ้นอีก ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าสงสัยและคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ นา ๆ ผมขอเสื้อผ้าจากพ่อเธอใส่แทนชุดทหารเพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตา การหนีของเราช้ามากเพราะผู้เป็นพ่อกับแม่ไม่เคยลำบาก เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างนี้แล้วได้แต่บ่นว่าเหนื่อยไปไม่ไหว และในที่สุดสองผัวก็ชุบซิบกันก่อนที่บอกให้ผมพาลูกสาวกับหลานชายแกหนีล่วงหน้าไปก่อน แต่ลูกสาวแกไม่ยอมท่าเดียว ได้แต่ร้องไห้กอดพ่อ กับแม่ไว้แน่น ผมส่ายหน้าเห็นใจแต่ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะแม้แต่ตัวเองยังจะเอาไม่รอด เรานั่งพักครู่ใหญ่ ๆ มีชาวบ้านมาสมทบอีกสาม-สี่คนผมสังเกตเห็นแต่ละคนมีห่อผ้าสัมภาระ แต่เมื่อผมมองห่อผ้าพวกเขา เขาจะกอดไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะแย่งเอา ผมคิดว่าต้องเป็นห่อทรัพย์สินเงินทองแน่ ๆ ลุงมายกเหล้าขึ้นจิบก่อนเล่าต่อ พวกเราเดินทางต่อ เสียงลูกปืนใหญ่ตกดังเป็นระยะ ๆ และแล้วเสียงปืนกลก็ดังขึ้นเป็นชุด ๆ ผมมองเห็นทหารข้าศึกวิ่งเข้ามา ด้วยสัญชาตญาณผมดึงเอาแขนลูกสาวแกกระโดดหลบลงท่องร่องแล้ววิ่งหนี เด็กที่อยู่บนหลังกอดคอผมไว้แน่น เธอร้องเรียกหาพ่อแม่ตลอดเวลา พอโผล่หน้าขึ้นแอบดูเห็นพ่อแม่ของเธอกลับกลุ่มชาวบ้านนอนจมกองเลือด เธอร้องไห้ ผมเอามือปิดปากไว้พลางส่ายหน้าว่าพวกมันจะได้ยินเดี๋ยวหนีไม่รอด พวกเขาไปดีแล้ว หมดทุกข์แล้ว ลุงมาพักดื่มเหล้าเหมือนกระหาย ลุงไม่มีปืนเหรอถึงไม่สู้ ข้าพเจ้าถามก่อนยื่นแก้วเปล่าที่แกยกจนหมดให้ภารโรงรินใหม่ แกทำหน้าย่นขมวดคิ้วเข้าหากัน ค่ายเราแตกทุกคนหนีเอาตัวรอดไม่มีใครกล้าถือมาด้วยหรอกครับ เราต้องหนีแบบชาวบ้าน จากนั้นผมพาเธอกับหลานเดินไปตามป่าเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก แต่การเดินทางของเราล่าช้าเพราะต้องคอยหลบหลีกพวกทหารขาศึกที่ตามล่า ทีแรกผมยังงงอยู่ว่าพวกเขาล่าชาวบ้านทำไม นั่นนะสิลุง มันตามล่าทำไมแค่ชาวบ้านอพยพ ข้าพเจ้าสอดขึ้นด้วยความอยากรู้ ผมมารู้ทีหลังว่าทหารพวกนั้นมันตามปล้นทองที่ชาวบ้านถือมา อืม ข้าพเจ้าพยักหน้า ต่อครับลุง ผมเร่งเร้าเมื่อเห็นแกเงียบไป เราต่างอ่อนหล้ากับการเดินทาง เย็นนั้นเราพักข้างลำธารหลานเธอร้องไห้หิว เธอแกะห่อผ้าเอาเนื้อแห้งยื่นให้ผม บอกให้ผมก่อไฟย่างกิน ตอนนั้นผมเริ่มจะสังเกตใบหน้าเธอชัด ๆ หลังจากที่เธอล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่แทนตัวเก่าที่มอมแมม เธอผิวขาว นัยน์ตาชั้นเดียว ผมถามว่าหลานเธอคนนี้เป็นลูกใคร เธอเล่าให้ฟังว่าเป็นลูกพี่สาวที่ตายไปแล้ว ส่วนพ่อของเด็กหนีไปเอาเมียใหม่ ค่ำคืนนั้น ท่ามกลางแสงจากกองไฟเธอสวยมาก สวยถูกใจผม เสียงปืนใหญ่และปืนเล็กดังแว่วอยู่ไกล ๆ ผมดับกองไฟกลัวเป็นที่สังเกต แล้วบอกให้เธอนอน คืนนั้นผมยอมรับว่าผมอดใจไม่ได้ ผมไม่ต่างจากไอ้หื่นกามดีๆนี่เอง แรก ๆ เธอขัดขืน แต่ปากผมพร่ำบ่นว่ารักเธอชอบเธอและจะพาเธอไปอยู่ด้วยที่บ้านเกิด ในที่สุดเธอก็ยอมตกเป็นเมียผม เธอบอกว่าอย่าทิ้งเธอกับหลาน ไปไหนเอาไปด้วยเพราะเธอยอมเป็นเมียผมแล้ว ในห่อผ้ามีทองจำนวนหนึ่งพอที่จะตั้งหลักปักฐานได้เมื่อถึงเมืองไทย ลุงมาจุดบุหรี่สูบพ่นควันขณะระบายลมหายใจก่อนที่จะเล่าต่อ ใช่ สถานการณ์เช่นนั้นเธอต้องหาที่พึ่ง เช้ามืดวันนั้นผมพาเธอเดินทางต่อผมเอาหลานเธอที่ยังไม่ตื่นไว้บนหลังแล้วเอาผ้าขาวม้ารัดไว้ตามเดิม ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปตามป่าเขา ผมบอกเธอว่าถ้าเดินทางได้ราบรื่นอย่างนี้พรุ่งนี้ตอนบ่าย ๆ หรือเย็นๆน่าจะถึงเขตชายแดนไทย และแล้ว...เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้น ลุงมาตีหน้าเศร้าอีกพร้อมส่ายหน้าไปมาช้า ๆ อย่างซึมเศร้า มันเกิดอะไรขึ้นครับลุง ข้าพเจ้าเร่งถามด้วยความอยากรู้แกยกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดแก้วก่อนยื่นให้ผู้รินราวกับว่ายังไม่พอเพียงกับความหิวโหย บ่ายวันนั้นพวกเราหยุดพักใต้ร่มไม้ ผมยอมรับว่าเหนื่อยมาก ลำคอแห้งเป็นผง เปลวแดดแผดแสงร้อนระอุ พวกเรานั่งพักยาวจนเย็น ขณะกำลังเคลิ้มหลับ ทันใดนั้นเสียงคนร้องตะโกนพร้อมเสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามา ผมสะดุ้งตื่นอุ้มเด็กพร้อมดึงแขนเธอออกวิ่ง เสียงปืนดังตามหลังเป็นชุดๆ หลานเธอร้องไห้จ้า ทีแรกผมนึกว่าแกตกใจกลัว แต่พอวิ่งมาได้สักพักมีความรู้สึกว่าขาผมเปียกชุ่ม พอเหลือบลงไปมอง เลือดสด ๆ ไหลอาบขาผม พร้อมหยดเป็นรายทาง ผมมองหาที่มาของเลือด ขาของเด็กถูกยิงเป็นแผลเหวอะหวะเลือดไหลทะลัก แกร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ผมฉีกเอาผ้าขาวม้าพันแผลเอาไว้ เธอได้แต่ร้องไห้สงสารหลาน ผมพาเธอวิ่งต่อพักใหญ่ๆ เลือดเด็กยังไหลไม่หยุด เวลานั้นแกแน่นิ่งไปคาดว่าสลบเพราะเสียเลือดมาก ผมเอาหูแนบที่ตรงอก หัวใจเต้นช้า ๆ และเสียงหายใจรวยริน ผมมองหน้าเธอขอความคิดเห็น เวลานั้นไม่รู้ว่าผีห่าซาตานที่ไหนมาดลใจผม และแล้วผมบอกเธอว่าถ้าขืนเป็นอย่างนี้เราไม่รอดแน่ ทิ้งเด็กเถอะเพราะถึงยังไงแกก็คงไม่รอด เธอตกใจร้องว่าไม่ ทิ้งไม่ได้ เธอรักหลานเธอมาก ลุงมาหยุดเล่าก่อนยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าขบกรามแน่นจนเห็นโหนกแก้มเป็นสันและเส้นเลือดที่ลำคอปูดโปน เมื่อแกเอามือออก ข้าพเจ้าเห็นน้ำตาแกเอ่อซึม และแล้วสันดานดิบของทาสแท้มนุษย์ที่จะเอาตัวรอดก็ฉายแววออกมา ผมยื่นหลานให้เธอพร้อมบอกว่าไม่เอาแล้วค่าจ้าง ก่อนวิ่งหลบหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวอย่างน่าละอายและขี้ขลาดที่สุด เสียงของเธอร้องตามหลังอย่างน่าสงสาร เสียงนั้นยังแว่วในโสตประสาทผมเท่าทุกวันนี้ว่า อย่าทิ้งฉันไป คอยด้วย อย่าทิ้งฉันไป ฮือๆ จากนั้นชั่วอึดใจผมได้ยินแต่เสียงปืนดังขึ้นเป็นชุด ๆ ผมกระโดดหลบ และวิ่งส่ายไปมาหลบวิถีกระสุน นานนับชั่วโมงจนมืดค่ำ ก่อนที่จะตัดสินใจขึ้นไปหลบบนต้นไม้ เวลานั้นตามเนื้อตามตัวผมถลอกไปหมด ผมนั่งอยู่บนต้นไม้ทั้งคืน เห็นทหารพวกนั้นลาดตระเวนผ่านมา หัวใจผมเต้นแรง ผมหวนคิดถึงการกระทำของตัวเอง ยอมรับว่าเสียใจมาก ผมภาวนาให้เธอรอดปลอดภัยที่เถอะ ผมจะได้กลับไปรับเธอ ขอโทษเธอ เช้ามืดวันนั้นผมตัดสินใจกลับไปหาเธออีกครั้ง ผมเดินหาจุดที่ทิ้งเธออยู่นานจนสาย และเมื่อมาถึงผมต้องตะลึงเข่าทรุด เธอกับหลาน ลุงมายกเหล้าดื่มอย่างกระหาย ก่อนยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เอ่อซึม ทุกคนนิ่งเงียบพลอยเศร้าไปกับแก เธอกับหลานนอนกอดกันร่างพรุน เลือดที่สาดกระเซ็นตามกอหญ้าแห้งเกรอะกรัง ห่อผ้าสัมภาระถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย ผมนั่งลงคุกเข่าปากพร่ำบ่นขอโทษเธอ เวลานั้นน้ำตาไหลอาบแก้มไม่รู้ตัว ผมนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน นาน โดยที่ผมไม่กลัวตายอีกแล้ว และอยากให้ทหารพวกนั้นกลับมาฆ่าผมอีกคนเสียด้วยซ้ำ เสียงลุงมาสั่นเครือ ผมหาฝืนมาทับร่างเธอกับหลานกองใหญ่ แล้วจุดไฟเผาร่างทั้งสอง ผมมองดูเปลวไฟครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินทางไปข้างหน้าอย่างโซซัดโซเซ โดยไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ผมเดินใจเหม่อลอยเหมือนคนบ้าตลอดทั้งคืนโดยไม่พัก จนรุ่งเช้าจึงเข้าเขตแดนไทยและกลับบ้านเกิด ต่อมาผมบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เธอ เพราะถึงยังไงเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียผม คืนนั้นข้าพเจ้าทิ้งตัวลงนอน เวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่ตาไม่ยอมหลับ มันช่างต่างจากการดื่มครั้งก่อน ๆ ที่หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย แต่ครานี้ไม่ เปลือกตาปิดลงครั้งคราใด เห็นแต่หญิงสาวหน้าตาหมวยพร้อมเด็กชายตัวเล็ก ร้องครวญครางโหยหวนอย่างเจ็บปวด เมื่อโดนกระสุนปืนเจาะร่าง ข้าพเจ้าเอามือก่ายหน้าผากคิดถึงเรื่องเล่าของลุงมาแล้ว ได้แต่สงสารเธอกับหลาน ....สงสารกระทั่งเหยื่อผู้บริสุทธิ์ของสงคราม.๐๐๐ & & & & & & &
3 พฤศจิกายน 2549 17:38 น. - comment id 93317
สงครามเป็นสิ่งเลวร้ายมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้สงครามมหดไปจากโลกนี้ได้เสียที ....
3 พฤศจิกายน 2549 23:45 น. - comment id 93325
เรื่องจริงหรือเปล่าค่ะ? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่า หรือแต่ง ก็ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีค่ะ ...เศร้า
5 พฤศจิกายน 2549 00:54 น. - comment id 93342
อ่านกี่ครั้งก็หดหู่..ทุกที..ถ่ายทอด..คำพูดออกมาได้..ดีมาก..เห็นภาพ.เลย..โดยเฉพาะคำพูดที่บอก เสียงของเธอร้องตามหลังอย่างน่าสงสาร เสียงนั้นยังแว่วในโสตประสาทผมเท่าทุกวันนี้ว่า อย่าทิ้งฉันไป คอยด้วย อ่านถึงตรงนี้..แล้วอิน..มากๆ .. และนึกถึงความโหดร้ายของสงคราม..ที่มีต่อมวลมนุษย์
6 พฤศจิกายน 2549 09:25 น. - comment id 93359
ได้ฟังจากการเล่าให้ฟังจากเจ้าตัวครับ แต่ไม่ทราบว่าแกเล่าจริงหรือไม่ ส่วนลีลาการเล่าอาจเสริมแต่งเพื่อให้ได้อรรถรสครับ
10 พฤศจิกายน 2549 21:25 น. - comment id 93526
ว่าจะลองอ่านบทความอื่นๆ แต่ไม่ค่อยไหว มันดูยาวมาก มาก @_^