เพื่อนผมคนหนึ่งชอบถามบ่อยๆ ว่า 'รู้ไหม เราเกิดมาเพื่ออะไร?' ผมไม่อยากเรียกมันว่าคำถามเท่าไหร่นักหรอกเพราะมันไม่มีคำตอบ หมายถึงผมไม่คิดว่ามันมีคำตอบสำหรับข้อสงสัยนี้ของเขา และผมเองก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญว่าเราจะเกิดมาเพื่ออะไร เพราะความจริงกว่านั้นคือเราได้เกิดมาแล้ว ดำรงอยู่บนความมีชีวิตและความสงสัย เราเฝ้าตั้งคำถามมากมายกับสิ่งต่างๆ รายรอบตัว กระนั้นก็ยังมีอีกหลายต่อหลายคำถามเช่นกันที่ไม่เคยได้รับคำตอบ แต่เราก็ยังดำรงอยู่ได้มันจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นนักหรอกว่าเราจะต้องรู้หรือเข้าใจอะไรๆ ไปเสียทั้งหมด ผมหมายรวมถึงข้อสงสัยที่ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรด้วย "นายไม่เข้าใจคำถามน่ะสิ" เพื่อนผมว่า "หรือไม่นายก็มัวแต่หลงระเริงกับการมีชีวิตอยู่จนไม่ได้นึกเอะใจเลยสักนิด" "เอะใจ?" ผมขมวดคิ้ว "ใช่! เอะใจ ยอมรับเถอะว่าที่ผ่านมายี่สิบเจ็ดปีนายไม่เคยนึกเอะใจเลยเพราะมัวแต่หลงระเริงกับเวลาที่ได้ใช้จ่ายไปวันแล้ววันเล่า ยี่สิบเจ็ดปี นายคิดว่ามันเป็นเพียงเวลาแค่น้อยนิด เมื่อเทียบกับเวลาที่เหลือที่ยังเดินทางมาไม่ถึง ความคิดแบบนั้นล่ะทำให้นายเลินเล่อจนลืมฉุกคิดว่าแท้จริงแล้ว นายเกิดมาเพื่ออะไร?" "สำคัญด้วยหรือที่เราจะต้องรู้ ทำไมเราไม่ปล่อยให้ชีวิตเราเป็นไปตามครรลองที่มันควรจะเป็น หรือเป็นอะไรก็ตามที่เราอยากจะเป็น" ผมพูดไปตามที่คิด "ที่นายพูดน่ะ ทั้งใช่และก็ไม่ใช่" เขาบอกเสียงทุ้มต่ำและรีบขยายความต่อเมื่อเห็นสีหน้าผมงุนงงยิ่งกว่าเดิม "หมายถึงว่านายเข้าใจถูกแล้วที่คิดว่า เราควรปล่อยให้ชีวิตเราเป็นไปตามครรลองที่มันควรจะเป็น แต่การปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามครรลองย่อมไม่ใช่ความหมายเดียวกับการใช้ชีวิตอย่างประมาทเลินเล่อแน่นอน เมื่อนายจะปล่อยชีวิตไปตามครรลองนายก็ควรจะทำความเข้าใจกับครรลองนั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรจะรู้จักสักเสี้ยวกระผีกของมันบ้างก็ยังดี ไม่เช่นนั้นแล้วนายจะเป็นแค่คนที่บังเอิญเกิดมา สูดหายใจรับเอาอากาศเข้าออกไปวันๆ ปราศจากคุณค่าและไม่มีวันเข้าใจถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่" ถึงตอนนี้ผมได้แต่นิ่งงัน ฟังเขาว่าต่อ "พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็นการจัดที่ทางสำหรับตัวเราเอง มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรู้ว่าเราควรจะยืนตรงไหนในโลกที่แออัดไปด้วยผู้คน ความเปลี่ยนแปลง และการแก่งแย่งทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด" ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าบทสนทนาของเราจบลงตรงไหน เราแยกกันในคืนนั้นหลังจากต่างคนต่างเมามายได้ที่ ผมเรียกแท็กซี่กลับแมนชั่นเพราะทานต่อน้ำหนักหัวอันหนักอึ้งไม่ไหวอีกต่อไป ส่วนเขาอาจจะไปหามุมสงบเงียบที่ไหนสักแห่งนั่งจิบเบียร์ต่อสักขวดสองขวดก่อนกลับบ้าน ทุกครั้งที่ดื่มด้วยกันเขาจะคอแข็งกว่าผมเสมอ หลังจากนั้นผมกับเขาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยเป็นเดือนๆ เราไม่ชอบคุยกันทางโทรศัพท์นอกจากจะใช้นัดหมายเพื่อพบปะ มันเป็นการสนทนาที่ฉาบฉวยเกินไป เราจะเชื่อใจคู่สนทนาที่ไม่เห็นหน้าค่าตาได้สักแค่ไหนกัน แต่แล้วในภาวะที่ผมวางใจว่าชีวิตกำลังเดินไปบนเส้นระนาบอันเรียบรื่น เช้าวันหนึ่งผมก็ได้รับข่าวร้ายทางโทรศัพท์ เขาตายแล้ว! เมื่อคืนนี้เอง ขณะยืนรอแท็กซี่หน้าร้านเหล้าที่ไหนสักแห่ง รถยนต์คันหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาชนร่างโซเซของเขาอย่างจังจนกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร ผมจับใจความได้เท่านั้น ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกกดหัวลงในของเหลวข้นหนืดสีดำ ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวจนบอดสนิทตามด้วยเสียงอื้ออึงของของเหลวประหลาดนั่นไหลทะลักอัดเข้ามาในรูหู จากนั้นทุกอย่างก็เบาหวิว..วูบหายไป ผมไปฟังสวดทุกวัน แม้เสร็จงานศพแล้วก็ยังแวะเวียนไปคุยกับแม่ของเขา เธอจะน้ำตาคลอทุกครั้งที่เห็นหน้าผม แม่ผมเองก็คงไม่ต่างจากนี้หากเปลี่ยนจากเขามาเป็นผมแทน ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอแม้จะอธิบายให้ใครฟังไม่ได้แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้ผมเชื่ออย่างนั้น ระยะหลังผมจึงไปที่บ้านนั้นเท่าที่จำเป็น กระทั่งไม่ย่างกรายไปอีกเลยเป็นเวลากว่าปีมาแล้ว กระนั้นคำถามของเขาก็ไม่เคยจางหายไปจากโสตสำนึกของผม 'เราเกิดมาเพื่ออะไรกัน?' สองปีให้หลังผมพบรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมไม่อาจบอกได้เต็มปากว่าเธอเป็นคนสะสวย ผมบอกได้แค่ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ผมรัก ความพิเศษ ในตัวเธอก็คือความไม่พิเศษใดๆ และถ้าเธอไม่เป็นอย่างที่เธอเป็นอยู่ผมก็ไม่แน่ใจอีกเช่นกันว่าผมจะรักเธอหรือเปล่า เราสองคนวางแผนจะใช้ชีวิต ถัดจากนี้ร่วมกัน มีกันและกันในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันร้ายกาจของกระแสสังคมบริโภคนิยม ขวบปีแรกเราไปกันได้ดีจนยากจะเชื่อว่ามันจะจบลงแค่ปีถัดมา ความแตกต่างหลายๆ อย่างเริ่มปรากฎชัดขึ้นระหว่างเรา กระทั่งมากพอจะแยก คนสองคนออกจากกันอย่างเด็ดขาด ผมไม่นึกโทษเธอหรือใครทั้งนั้นมันเป็นการลาจากที่เกิดจากความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย การดึงดันไม่ได้ช่วย รักษาความรู้สึกของใครเลย ผมได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง และพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในตัวผมที่เคยถูกละเลยไปนานแสนนานกำลังเรียกร้องที่จะได้รับความ สนใจ นอกจากนี้ในแต่ละนาทีของการหายใจเข้าออกก็เกิดคำถามต่างๆ นับแสนนับล้าน บางคำถามต้องการคำตอบอย่างจริงจัง บางคำถามก็เพียง แค่เกิดขึ้นเพื่อจะแสดงตนว่าเป็นคำถามเท่านั้นไม่สำคัญว่าจะต้องมีหรือไม่มีคำตอบ แม้จะเลือกอยู่กับตัวเองอย่างสงบแต่มันกลับเป็นเวลาที่รู้สึกสับสนมากที่สุดในชีวิต ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใส่ใจเลยสักนิดว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพราะในทุกวันของผมเกิดขึ้นและดำเนินไปตามสูตรสำเร็จของมัน วนเวียนซ้ำซากอยู่กับการเป็นมนุษย์เงินเดือนวันแล้ววันเล่า หมดวันนี้ก็นอนหลับ พักผ่อนเพื่อจะตื่นขึ้นมาเป็นอย่างเดิมอีกในวันรุ่งขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ผมจึงไม่เคยวิตกว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงแค่รอให้มันมาถึงและผ่านไป แทบไม่มีอะไร มีความหมายเลยสักนิดแม้แต่การมีชีวิตอยู่ของผมเอง จนเธอเดินเข้ามารับเอาความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของผมไปกอดกุมไว้ ผมถึงรู้สึกว่าชีวิตกำลัง ได้รับการทะนุถนอม อาการป่วยเรื้อรังยาวนานกำลังได้รับการบำบัดอย่างถูกวิธีโดยจิตแพทย์ฝีมือดี ผมใส่ใจต่อรายละเอียดต่างๆ ในชีวิตมากขึ้น ถามตัวเองบ่อยครั้งว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและมองการมาถึงของวันพรุ่งนี้อย่างมีความหมาย เวลานั้น ผมเชื่อมั่นว่าเดินมาถูกทางแล้ว ที่เหลือก็แค่เก็บเกี่ยวรายละเอียดตามรายทางให้ได้มากที่สุด ไม่เร่งร้อนดั้นด้นไปยังจุดหมายปลายทางในเวลาสั้นๆ เพราะเมื่อไรก็ตามที่ไปยืนอยู่บนจุดนั้น ผมไม่อยากไปมือเปล่า แต่ชีวิตไม่เคยยืนนิ่งบนความแน่นอน ในเช้าวันที่น่าวางใจที่สุดเธอคนนั้นกลับโยนความรู้สึกทั้งหมดคืนมาให้ และเลือกเดินจากไปเงียบๆ ปราศจาก ถ้อยคำร่ำลาใดๆ ผมอธิบายไม่ได้ว่ารู้สึกเจ็บปวดอย่างไร รู้แต่เพียงชีวิตกลับคืนเข้าสู่ภาวะว่างเปล่าอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะกิน เวลายาวนานเท่าใด ความจริงผมไม่คิดว่าในท่ามกลางความว่างเปล่านั้นจะมีเงื่อนของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ การดำรงอยู่และดำเนินไปของมัน ย่อมไม่แตกต่างอะไรกับการไม่ได้ดำรงอยู่ ไม่มีจุดเริ่มต้นและปราศจากจุดสิ้นสุด ผมเปลี่ยนไปจากเดิมจนตัวเองรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผมพูดคุยกับคนอื่นน้อยลง เชื่อใจต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง แน่นอนว่าชีวิตผมก็ เดินทางช้าลงด้วย แต่แม้อะไรหลายอย่างจะเปลี่ยนไปผมกลับพบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ยังดำรงอยู่ในสถานะเดิมที่มันเคยเป็นนั่นคือคำถามของเพื่อนผมคนนั้น และก็เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกอีกเหมือนกันที่ในเวลานี้ผมต้องการค้นหาความหมายของมันอย่างจริงจัง ผมเกิดมาเพื่ออะไรกัน เพื่อจะเป็นอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้หรือเพื่อจะเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ยังเดินทางมาไม่ถึง แล้วถ้าอย่างนั้นช่วงชีวิตที่ผ่านไปก่อนหน้านี้คืออะไรกัน เป็นแค่เรื่องคั่นเวลาหรือนั่นคือวิถีชีวิตแท้จริงของผม พ้นจากนี้ไปมันจะไม่เดินทางอีกต่อไปแล้วมันจะหยุดนิ่งล่องลอยไร้น้ำหนัก ในท่ามกลางภาวะว่างเปล่าอันไร้จุดสิ้นสุดอย่างนั้นหรือ ผมเฝ้าตั้งคำถามทั้งที่ไม่เคยมั่นใจว่าจะได้รับคำตอบ "นายไม่เข้าใจคำถาม" เขาพูดประโยคเดิมที่เคยพูดกับผมเมื่อนานมาแล้ว ผมเพ่งมองอย่างพินิจ ใช่เขาจริงๆ ทั้งใบหน้า รูปร่าง และแม้กระทั่งน้ำเสียงทุ้มต่ำไม่เหมือนใคร เขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันสีขาวถัดจากผมไปไม่กี่ก้าว ผมมองเห็นตัวเขาได้ชัดเจนแต่ไม่แน่ใจว่าสถานที่นั้นคือที่ไหนมันทั้งแปลกแยกและไม่คุ้นเคย ที่สำคัญคือผมมองไม่เห็นตัวเอง รู้สึกแค่เพียงว่ากำลังยืนอยู่ตรงนั้นเผชิญหน้าอยู่กับเขาเพียงลำพังในความมืดสลัวและท่ามกลางเวลา ที่หยุดนิ่ง "นายจะไม่มีวันได้คำตอบที่ต้องการหรอก ถ้าไม่ทำความเข้าใจต่อคำถามของตัวเองเสียตั้งแต่แรก" เขาพูดต่อ "เหมือนนายเดินไปบนถนนสายหนึ่งอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย นายจะไม่มีวันรู้ความหมายของการเดินนั้นเลยถ้าไม่ทำความรู้จักกับถนนที่ตัวเองกำลังเดินให้ดีพอเสียก่อน ผลก็คือต้องเสีย เวลาหลงอยู่ในนั้นเนิ่นนานบนความสูญเปล่าและวังวนของคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ" "พูดอย่างกับนายมีคำตอบสำหรับตัวเองแล้ว.." ผมเพิ่งพูดออกมาได้เป็นครั้งแรก "มีสิ ฉันมีคำตอบสำหรับตัวเองแล้ว เหลือแต่นายเท่านั้น" พูดได้เท่านั้น ตัวเขาก็จมหายไปในหมอกควันสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นมาราวมีรอยแยกบนพื้นดินตรงเท้าทั้งสองข้างของเขา ผมคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแหลมๆ เสียดเข้ามาในรูหู ความจริงเกือบจะพูดได้ว่ามันดังอยู่ในหัวผมนี่เอง เริ่มจากแว่วเบาแล้วกลายเป็นดังสนั่นหวั่นไหวจนต้องลืมตาโพลงขึ้น ฝันไป! ใช่ผมฝันไป แต่ก็นับว่าเป็นความฝันที่แปลกประหลาดเอาการ เพราะตั้งแต่เพื่อนคนนั้นตายไปไม่เคยมีสักครั้งเดียวเลยที่ผมจะฝันถึงเขาและมันยังชัดเจนจนแทบรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจของเขาเลยด้วยซ้ำ เหมือนตัวผมถูกเวลาดูดย้อนกลับไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขาในผับเล็กๆ คืนที่เราสองคนถกปัญหากัน ซึ่งเป็นคืนเดียวกับที่เขาถามคำถามนั้นกับผมแบบเค้นเอาคำตอบจริงจัง แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ผมก็ยังไม่มีคำตอบนั้น หลายปีต่อมา ผมพาตัวเองไปยืนยังจุดใหม่ ความจริงก็แค่ลาออกจากงานประจำที่ทำมายาวนานติดต่อกันถึงเจ็ดปี รายได้ผมเพิ่มขึ้นทุกปีก็จริง แต่ความเป็นตัวของตัวเองค่อยๆ ถูกดูดกลืนหายไปทีละน้อยๆ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ดูดกลืนไปนั้นคืออะไรและเกิดขึ้นเมื่อไหร่บ้าง รู้สึกเพียงว่าทนอยู่กับมันต่อไปอีกไม่ไหวแล้วและก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในเช้าที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ตอนแรกยอมรับว่ารู้สึกคว้างคิดอะไรไม่ออก ความกลัวก็ส่วนหนึ่ง มันคอยสะกิดถามผมว่าจะเอายังไงต่อ ผมตวาดกลับไปว่าเฉยเถอะคนตัดสินใจคือฉันไม่ใช่แก ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ถึงเวลาแกก็จะรู้เอง แต่ตอนนี้ฉันขอหยุดเดินก่อน ขอหย่อนกายลงพักกับพงหญ้านุ่มๆ ปล่อยตัวเองหลับไหลยาวนาน ปราศจากความวิตกกังวลใดๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง ความฝัน เพื่อละทิ้งโลกทั้งโลกเอาไว้เบื้องหลัง สัปดาห์ที่สองของการว่างงาน ผมตื่นขึ้นมาในเย็นวันหนึ่ง อากาศอันแจ่มใสดึงดูดให้ผุดลุกจากเตียงนอนเดินตรงไปยังระเบียงข้างนอก ยืนทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลเท่าที่เส้นขอบฟ้าพึงเปิดเผยให้ แสงสีส้มแดงของดวงอาทิตย์ชราแต่งแต้มท้องฟ้าให้ดูสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกฉาบด้วยด้วยลำแสงส้มแดงนั้นเต็มไปด้วยความงามอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกกับมันมาก่อน แม้แต่ตึกร้างเก่าแก่ หรือกองขยะที่อยู่ข้างกันก็ไม่ชวน ขยะแขยงอย่างเคยเป็น ผมสูดลมหายใจยาวลึกอย่างซาบซึ้ง ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกแผ่ซ่านไปทุกอณูขุมขน บางที.. บางทีคนเราอาจจะเกิดมาและมีชีวิตอยู่เพื่อจะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้ เสี้ยววินาทีที่รู้สึกซาบซึ้งกับบางสิ่งบางอย่าง สีสันสดใสของท้องฟ้า บทกวีหรือประโยคกินใจสั้นๆ ในหนังสือเล่มโปรด เสียงหัวเราะกังวานของคนพิเศษบางคน หรืออาจจะอะไรก็ตามที่เราพร้อมจะรู้สึกกับมัน และบางที การที่เราดำรงชีวิตมาอย่างยาวนานก็อาจจะเป็นเพียงบททดสอบให้เราได้ตระหนักถึงคุณค่าของการรอคอยเท่านั้น "เราเกิดมาเพื่ออะไร?" ผมไม่ได้บอกกับตัวเองว่าได้พบคำตอบสำหรับคำถามนั้นแล้ว มันอาจจะใช่หรือไม่ใช่เลยก็ได้ แต่ความจริงก็คือผมไม่รู้สึกกังวลกับคำตอบของมัน อีกต่อไป
20 ตุลาคม 2549 23:44 น. - comment id 93081
บางทีคนเราอาจจะเกิดมาและมีชีวิตอยู่เพื่อจะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้ เสี้ยววินาทีที่รู้สึกซาบซึ้งกับบางสิ่งบางอย่าง สีสันสดใสของท้องฟ้า บทกวีหรือประโยคกินใจสั้นๆ ในหนังสือเล่มโปรด เสียงหัวเราะกังวานของคนพิเศษบางคน หรืออาจจะอะไรก็ตามที่เราพร้อมจะรู้สึกกับมัน และบางที การที่เราดำรงชีวิตมาอย่างยาวนานก็อาจจะเป็นเพียงบททดสอบให้เราได้ตระหนักถึงคุณค่าของการรอคอยเท่านั้น .......................... พุดพัดชา ชื่นชมค่ะบทุกตัวอักษร จะตามอ่านและเป็นกำลังใจให้ค่ะ พุด พุดพัดชา สาวบ้านนา อีกนามปากกาค่ะ ดีใจจะยินดีต้อนรับค่ะ
21 ตุลาคม 2549 00:00 น. - comment id 93084
เกิดนักอยากจะเขียน ก่อนเป็นนักเขียนค่ะ หวังเช่นนั้น พุดจะตั้งนามปากกาให้นะ พรระพี...ค่ะ แปลว่าแสงสว่างอันเป็นนิรันดร์ จะเรียกเช่นนี้คนเดียวค่ะอิอิ
21 ตุลาคม 2549 12:34 น. - comment id 93090
ขอบคุณคับ
24 ตุลาคม 2549 12:38 น. - comment id 93141
มีคนบอกว่า "รู้เท่านี้ก็เพียงพอ" ใบไม้ในกำมือเดียว ของพระพุทธเจ้า น่ะ อย่าหาเหตุแห่งการเกิด พราะนั่นเป็นเหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งความสับสน ไม่เกิดประโยชน์ แต่จงหาเหตุแห่งการอยู่ อยู่อย่างเป็นคนเต็มคน เท่านี้ก็ตอบคำถามตัวเองได้แล้วว่า เราเกิดมาทำไม
21 พฤศจิกายน 2549 16:27 น. - comment id 93823
การมีชีวิตอยู่ใช่จะทำแค่ หายใจเข้า-ออก เท่านั้น อันนี้ถ้าใครที่คิดได้แล้วขอบอกว่า ถึงไม่หลุดพ้นก็เหมือนกับหลุดพ้นแล้วนั่นแหละ เมื่อก่อนเราก็เคยถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่าเกิดมาทำไม(อันนี้ต้องไปถาม พ่อกับ แม่ เหอๆ) พอเวลาผ่านไปก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ว่าเราเกิดมาเพื่อใคร...แล้วจะทำอะไร...การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น กับการมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองคิดให้ดีต่างกันนิดเดียวเอง...........การมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ความต้องการมันไม่มีที่สิ้นสุด แต่การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นความต้องการของตัวเองมันจะลดน้อยลง...