ณ จันทร์ ******* แม้เธอจะส่องสว่างได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของแสงตะวัน แม้ใคร...ใครจะเห็นค่าเธอเพียงความงามยามค่ำคืน หากไม่ว่าจะฟ้าไหน...คืนไหน... หรือต่อให้ประกายแสงจากเธอจะริบหรี่จนสู้แม้แต่แสงดาวไม่ได้ก็ตาม แต่ 'พระจันทร์' ก็ยังคงเป็น 'พระจันทร์' อยู่เสมอ... เธอยังคงต้องทำหน้าที่พระจันทร์ให้สุดกำลังทุกครั้งเมื่อถึงเวลาของเธอ อย่างน้อยก็เพื่อใคร...ใครที่ไม่เคยเห็นค่าเธอ ได้เข้านิทราอย่างปลอดภัยด้วยแสงสว่างจาก 'พระจันทร์' เคยแอบรักใครใช่ไหม ฉันก็เช่นกัน สำหรับฉันมันเริ่มมาจากมุขสนุกสนานระหว่างบรรดาสาวโสด ที่มักจะมีหนุ่มหน้าตาโดนต่อมสเป็คไว้คุยพอหอมปากหอมคอในวงสนทนา ช่วงแรกๆ ฉันก็แค่มองเธอจากระยะร้อยหลา ได้แค่เล็งอยู่อย่างนั้นหลายปีผ่านไป ฟ้าก็มอบโอกาสให้หน่วยกิจกรรมของเราได้ใช้ห้องสำนักงานเดียวกันและหลังจากนั้นไม่นานฟ้าก็ยังประทานบทสนทนาแรกระหว่างเราให้โดยที่ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความรู้สึกรุนแรงที่เกินกว่าคำว่า 'ปลื้ม' ได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาเป็นครั้งแรก หากนั่นก็ยังไม่มากพอที่ฉันจะบอกได้ว่าความรู้สึกทรมานข้างในหัวอกนี้มันคืออะไรกันแน่ 'ปลื้ม''หลง' หรือ 'รัก' หลังจากบทสนทนาแรกระหว่างเราเกิดขึ้น ความรู้สึกของฉันก็เริ่มพัฒนาไปพร้อมๆ กับระยะทางระหว่างเราที่หาความแน่นอนไม่ได้ เหมือนจะใกล้กันมากขึ้น แต่กลับไม่เคยแม้เพียงส่งยิ้มให้เธอยามเดินสวนกัน แม้ฉันไม่แน่ใจว่าตัวจริงของเธอมีมนุษยสัมพันธ์ดีเด่นเข้าขั้นเชื่องเหมือนฉันหรือเปล่า หากสำหรับฉันแล้วอาการแบบนี้มันผิดนิสัยของฉันมาก ฉันที่มักจะยิ้มให้ทุกคนที่รู้จักแม้เพียงครั้งเดียวที่ได้คุยกันกลับมองผ่านไปราวไม่เห็นเธอเสียอย่างนั้นแต่ฉันจะส่งยิ้มให้เธอได้อย่างไร ในเมื่อแค่การพยายามตั้งสติเพื่อบังคับท่อนขาแข็งทื่อของฉันให้เดินตรงไปตามเส้นทางโดยไม่เข่าอ่อนไปกองกับพื้นเพราะกำลังเดินสวนทางกับเธออยู่นี้ก็ยากเต็มทีแล้ว แล้วหลังจากนั้นเราก็เริ่มคุยกันอีกเป็นระยะๆ ด้วยบทสนทนาสั้นกระชับก่อนจะแยกจากกันไปตามวาระ ในขณะที่เสี้ยวส่วนหัวใจของฉันกลับลอยติดไปกับเธอทีละนิดๆ โดยที่ฉันก็รู้ตัวดีแต่ไม่เคยฉุกคิดสักนิด ฉันยังคงหลงระเริงอยู่กับระยะห่างที่เปลี่ยนจากสิบเป็นเก้าแต่ไม่เคยไปถึงแปดอย่างเพ้อเจ้อไปเองว่า กิโลใจที่เก้าครั้งที่สองนั้นคือแปด กิโลใจที่เก้าครั้งที่สามนั้นคือเจ็ด กระทั่งวันหนึ่งฉันเหลือบไปเห็นหลักกิโลใจที่เก้า โดยมีเธอเป็นผู้ชี้ทางอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าคนแปลกหน้าคนนี้คิดอย่างไรกับเธอ นั่นจึงทำให้ฉันได้รู้ว่าตัวเองยืนอยู่จุดไหน หากหัวใจที่หลงเริงร่ามาจนไกลก็ดันดื้อรั้นเกินกว่าที่เหตุผลนับร้อยพันประการจากสมองของฉันจะทัดทานได้ ฉันจึงปล่อยให้ตัวเองหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะเห็นระยะห่างระหว่างเราลดลงมากกว่านี้ หากคราวนี้ฉันไม่กล้าอีกแล้ว ฉันไม่กล้าเพ้อเจ้อจนเกินความจริง ฉันจึงได้แต่เฝ้ารอรอให้เธอเป็นฝ่ายเข้ามาก่อน และเธอก็เข้ามา เข้ามาด้วยความบังเอิญและไม่เกี่ยวกับโอกาสแรกที่ฟ้ามอบให้กับฉัน ร้ายเข้าไปใหญ่คือ คราวนี้มือของเธอสัมผัสมือของฉันโดยบังเอิญ หากแค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ฉันเก็บมาคิดวุ่นวายใจไปหลายวัน โชคดีที่ความเจ็บจากอุบัติเหตุ ณ หลักกิโลใจที่เก้ายังคงเรื้อรังมาจนทุกวันนี้ ฉันจึงไม่เคยลืมเตรียมตัวเจียมใจของตัวเองอยู่เสมอ แต่ถึงฉันจะเจียมตัวเองขนาดไหน หากลึกในใจก็ยังคงหวังถึงวันที่ฉันจะได้มีโอกาสเข้าใกล้เธอมากกว่านี้ ทว่าวันหนึ่งฉันก็เริ่มรู้ตัวว่าเป็นได้แค่ไหน เมื่อฉันเห็นเธอกับผู้หญิงคนนั้น คนที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้ว่ามีตัวตน ภาพเธอที่ยืนขึ้นทันทีราวกับรอคอยการมาของผู้หญิงคนนั้นอย่างใจจดใจจ่อทำเอาฉัน ฉันไม่แน่ใจตัวเองว่าตอนนั้นยังยิ้ม ยังคุยเล่น ยังแซวเรื่องเธอกับเพื่อนได้อย่างไร เพราะทันทีที่ฉันอยู่เพียงลำพัง น้ำตาก็เอ่อท้นล้นขอบตาอย่างง่ายดายและไม่คาดคิด ฉันเฝ้าแต่สงสัยและถามตัวเองว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับเธอตลอดเวลาที่สมองมีเวลาคิด สมเพชตัวเองนัก ฉันไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเธอมีอิทธิพลกับผู้หญิงอย่างฉันมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทั้งที่ฉันเตือนตัวเองอยู่เสมอ ฉันรู้ว่าฉันยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร ฉันรู้ว่าเราแทบไม่รู้จักกัน ฉันรู้ว่าเราต่างกันมากขนาดไหน ฉันรู้ว่าเราคิดเหมือนกันก็แค่ในความฝันของฉันเท่านั้น แต่ทำไมฉันต้องร้องไห้ด้วย ฉันไม่อยากร้องไห้เลย ฉันไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ มันไม่มีเหตุผล!!...หรือเพราะฉันกลัวความรัก เสี้ยวหนึ่งฉันคิดได้ว่า บางทีการที่ฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยรักใคร ไม่เคยเห็นผู้ชายเป็นสาระสำคัญของชีวิต ไม่เคยให้ใครมามีอิทธิพลกับความรู้สึก ไม่เคยให้ความรู้สึกมีอิทธิพลเหนือเหตุผล อาจเป็นเพราะฉันกลัวความรัก ฉันกลัวว่าความรักจะทำให้ฉันเป็นคนอ่อนแอ ไร้เหตุผล และร้องไห้เพราะเธอ ฉันจึงไม่กล้ายอมรับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกที่เริ่มจากมุขสนุกสนานระหว่างบรรดาสาวโสด ซึ่งถลำลึกทีนิดๆ จนฉันไม่ทันรู้ตัวเพราะอาการใจพองโตมันใหญ่คับหัวอกและเบียดบังความจริงไว้ในลืบหนึ่งของหัวใจ จนเมื่อวันหนึ่งที่ใจดวงนี้เหี่ยวลงความจริงเหล่านั้นจึงปรากฏออกมาย้ำเตือนอีกครั้ง แต่ถึงแม้ว่าฉันจะยอมรับความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าปลื้มแค่ไหนก็ตามที หากส่วนหนึ่งของฉันก็ยังย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่าฉันยังไม่อาจแน่ใจถึงความรู้สึกตัวเองได้เลยว่า ฉันคิดอย่างไรกับเธอ แล้วความคิดบ้าระห่ำก็บอกให้ฉันเดินเข้าไปบอกความในใจกับเธอ ฉันอยากเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเราซึ่งไม่เคยมีบทสนทนาหรือส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ที่มากไปกว่าธุระซ้ำยังไม่เคยเข้าใกล้โลกของอีกฝ่ายมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ฉันอยากเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเราที่เหมือนไม่มีตัวตน ราวกับว่าสักวันถ้าฉันหายไปจากชีวิตเธอก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น คงจะไม่มีการรับรู้เพราะเธอไม่เคยรู้สึกถึงตัวฉัน อยากเปลี่ยนให้ความสัมพันธ์เหล่านี้ขยับเข้ามาชิดกันมากกว่านี้ อย่างน้อยแค่เพื่อนก็ยังดี แต่มันคงไม่ดีถ้าฉันจะดึงเธอมาเสี่ยงกับความรู้สึกที่สุดแสนจะง่อนแง่นนี้ ความรู้สึกที่ฉันไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันคืออะไร ฉันกลัวว่าสักวันหนึ่งฉันอาจต้องจากเธอไปถ้าฉันรู้ว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรัก จนบางทีก็เผลอคิดไปว่าเราไม่น่าเข้าใกล้กันตั้งแต่แรกเลย และฉันก็ไม่น่าเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาในวันนั้นเลย ฉันจะได้ไม่ต้องเผลอใจไปอย่างนี้ อยู่สงบๆ คนเดียวมาได้ตั้งนาน ปลงตกเรื่องความรักกับตัวเองมาตลอด แต่กลับมาพลาดให้กับมุขสนุกสนานระหว่างบรรดาสาวโสดเสียได้ ฉันไม่น่าเลย สิ่งที่ฉันควรจะทำคือฉันน่าจะถอดใจตั้งแต่หลักกิโลใจที่เก้าแล้ว ฉันน่าจะรู้ตัวว่าฉันไม่เคยมีตัวตนในโลกของเธอ ฉันน่าจะรู้ตัวว่าฉันไม่เคยเป็นแม้แต่คนสุดท้ายที่เธอจะนึกถึงด้วยซ้ำ นั่นสิ ในเมื่อฉันไม่เคยมีตัวตน ไม่เคยเป็นแม้แต่คนสุดท้ายที่เธอจะนึกถึง แล้วฉันจะตีโพยตีพายไปทำเสม็ดเห็ดหอยอะไร แม้แต่การเข้าหาเธอก่อนหรือทำอะไรเพื่อตัวเองสักอย่างฉันก็ยังไม่เคยลงมืออย่างจริงจัง แล้วฉันจะมาร้องไห้หาพระแสงของ้าวไปเพื่ออะไร ยายนี่นี่โง่สิ้นดี อีกอย่าง ฉันจะสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับเธอไปทำไม รู้หรือไม่รู้ฉันก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อให้ฉันได้ใกล้เธอมากกว่านี้อยู่แล้ว ไม่ใช่สาระสำคัญสักนิดก็ฉันไม่เคยมีตัวตนในโลกของเธออยู่แล้ว และสำคัญที่สุดสำหรับฉันในตอนนี้คือ ถึงฉันจะไม่เคยมีตัวตนในโลกของเธอ แต่ฉันก็รู้ดีเสมอว่าเธออยู่ในโลกของฉัน ในโลกใบนี้โลกที่ฉันเห็นเธอสำคัญแต่ไม่อาจแสดงออกจนเกินงามได้ เธอยังคงสำคัญสำหรับฉัน ไม่ว่าฉันจะเป็นอะไรในโลกของเธอ ไม่ว่าฉันจะเป็นอะไรสักอย่างสำหรับเธอ แต่ฉันก็ยังเป็นฉันอยู่เสมอ ฉันก็ยังคงตัดใจจากเธอไม่ลง ถึงฉันจะสงสัยว่าทำไมฉันถึงตัดใจจากคนที่คุยกันนับครั้งได้ไม่ลงเสียที แต่ฉันก็ไม่จะคิดหาเหตุผลมาตอบตัวเองอีกแล้ว ฉันจะปล่อยให้ 'พระจันทร์' ได้ทำหน้าที่ของ 'พระจันทร์' ไปอย่างที่ควรจะทำอาจไม่สามารถทำได้อย่างพระอาทิตย์ แต่ฉันก็จะปล่อยให้ 'พระจันทร์' ทำหน้าที่ของตัวเองไปโดยไม่ต้องสนใจว่าคนที่เราทำให้จะเห็นความสำคัญของ 'พระจันทร์' หรือไม่ เพราะอย่างไรเสีย ตราบใดที่ 'พระจันทร์' ไม่เคยทำหน้าที่ หรือแม้แต่คิดจะสาดแสงแข่งกับพระอาทิตย์ 'พระจันทร์' ก็ไม่ควรจะเรียกร้องอะไรจากใครคนนั้นให้ตัวเองต้องเจ็บขนาดนี้และ 'พระจันทร์' ก็สมควรจะเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่เสมอว่าควรอยู่ตรงไหนและควรทำอะไรในมุมของตัวเอง ณ จันทร์
3 ตุลาคม 2549 23:10 น. - comment id 92900
ซึ้งและเศร้าค่า ฝ่า จดหมายรักของข้าพจ้าสาด้วนนะเจ้าคะ
5 ตุลาคม 2549 03:21 น. - comment id 92911
เอ่อ แอบแทงใจเบาเบา ผมก็คงเป็นได้เพียง หินก้อนหนึ่ง บนพระจันร์กระมังครับ ฮ่ะ ๆ อย่าลืมนะครับ ว่ามีอีกหลายคน ที่หลงรักดวงจันทร์
6 ตุลาคม 2549 16:30 น. - comment id 92946
ขอบคุณที่บอกว่าซึ้งและเศร้า ส่วนจดหมายรักนี่ ตอนนี้ยังยุ่งๆ อยู่ แต่ถ้าสอบเสร็จแล้วจะแวะไปอ่านจดหมายรักนะคะ เผื่อจะเขียนถึงตะนอยบ้าง ส่วนเมลโล่ ตอนนี้พระจันทร์ก็ยังมั่นคงเหมือนเดิม และถ้าพระจันทร์เปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้น มันก็คงไม่มีความหมายใช่ไหม