เรื่องสั้นอารมณ์ดี..."เธอคนนั้น"

ทิวสน

ในนามปากกา ::: เจ้า...ชายน์ติ๊ง
tewson7@hotmail.com
 "ใครจะไปร้านมนต์นมสด รสอร่อยบ้าง?"  ผมเอ่ยขึ้นหลังเรียนวิชาสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยความติดใจในรสชาติที่หอม มัน ใหม่สดเสมอของนมวัวสดร้านนี้ และเป็นปกติที่กลุ่มเพื่อนในคณะวารสารฯ หลายคนมักไปนั่งดื่มนมสด ร้อน-เย็น ทานขมมปังปิ้ง ที่ร้านชื่อดังริมถนนดินสอ ข้างสำนักงานกรุงเทพฯเสมอ...
            ผมทิ้งคำถามผ่านไป 5 วินาที ทว่าไม่มีเลยสักคนที่จะสนใจผม ยังคุยกันอย่างติดพันตามประสาคนชอบสนใจห่วงใยเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เรื่องที่ ฮ็อตฮิตที่สุดคือ ป้าเยลลี่ สาววัยร่วง(อายุราว 50) แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวหลอด กำลังจะตกลงปลงใจรับหมั้นหนุ่มใหญ่วัยไร่เรี่ยแถมยังเป็นผู้มีอันจะกิน อันนี้หมายถึง เป็นคนที่เจอ "อัน" ที่ไหน...เมื่อไหร่...เป็นต้องเปรี้ยวปากอยากจะกิน ("อัน" ที่ว่านี้เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง รูปร่างกลม-แบน มีหนามเป็นหย่อมๆ เมื่อแกะออกจะมีกลิ่นคล้ายทุเรียนลูกครึ่งผสม / ผู้เขียน) 
            จะว่าไปแล้วมันก็เรื่องของคนอื่น ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปสนใจห่วงใยแกจนออกนอกหน้าแบบนี้ คนเราโตๆ กันแล้ว ถ้าช่วยได้และเป็นประโยชน์ก็ว่าไปอย่าง อีกนัยหนึ่งก็อาจเป็นเพราะป้าเยลลี่เองนั่นแหละ เหตุเพราะขายก๋วยเตี๋ยวหลอดที่ท่าพระจันทร์มานานปี และเป็นขวัญใจของนักศึกษาที่นี่ ซึ่งเป็นลูกค้าทั้งแบบประจำและเผื่อเรียกจำนวนมาก แกจึงอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกรอกแบบสอบถามเสนอแนะการตัดสินใจครั้งนี้ โดยมีใบปลิวรายละเอียดและรูปว่าที่เจ้าบ่าวมาให้ดูด้วย (แต่ดูลำบากนิดนึงเพราะแกเล่นคาดดำไว้ที่ตา) พร้อมกันนี้ยังจะมีการแจกรางวัลสำหรับคำแนะนำที่แกชื่นชอบอีกด้วย....
            เป็นอันว่าหลายคนจึงสนใจเรื่องอันดูเหมือนจะไม่เป็นเรื่อง....จนลืมสิ่งอันน่าสนใจอื่นๆ...และลืมแม้กระทั่งผม เพื่อนคนดีที่หนึ่ง ที่มีหน้าตาอันหล่อพอประมาณ ที่กำลังยืนรอด้วยใจอันจดจ่อ (เฮ้อ...หลายอันจริงๆ)
            ผมเริ่มออกอาการหงุดหงิดกับความนิ่งเฉยของเพื่อนที่ต่างไปจากเดิม
          "ตกลงใครจะไป หนึ่งใครจะไปสอง....ใครจะไปสาม...." ผมพูดเสียงดัง เร่งให้เพื่อนรีบตัดสินใจ พอนับถึงพันจึงมั่นใจว่าคงไม่มีใครไปกับผมแน่แล้ว
            "โอเค....งั้นเราไปคนเดียวก็ได้" ถ้าใครสักคนได้ยินจะรู้ว่า น้ำเสียงผมเศร้ามาก น้ำตาเริ่มซึมออกมาที่มุมปาก..เอ๊ะ ไม่ใช่สิ น้ำตามันรื้นขึ้นมาด้วยความน้อยใจ... ผมหันหลังเดินจากมา...
          "เอิร์ธ นายจะไปร้านนม-มนต์เหรอ" ปั๊มเรียกถาม 
            ผมหันขวับใจชื้นขึ้นมาฉับพลัน ดุจหยดน้ำเพียงน้อยหยดย้อยทิ้งตัวลงผืนทรายอันแห้งผากให้ฉ่ำชุ่มจนกรุ้มกริ่ม ยิ้มออกมาได้ เฮ้อ ดีใจจัง...
         "ใช่..นายจะไปกับเราใช่มั้ย"  ผมถามอย่างมีความหวังพร้อมยักคิ้วขวาสลับซ้าย สามครั้งซ้อน
          "อ๋อ..เปล่า นายไปเหอะ" ว่าแล้วปั๊มก็หันกลับเข้าคลุกวงใน  เมาท์ต่อโดยไม่ได้สนใจว่าผมจะรู้สึกเช่นไร ผมเดินคอตก...  แต่หยิบยกขึ้นมาทัน มุ่งหน้าสู่ถนนดินสอ  ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านนมสดเลื่องชื่อระบือนามไปไกลถึงเจ็ดย่านน้ำ 
            ตอนนี้น้ำตาผมเริ่มซึมไม่หยุด ซึมมากจนเริ่มเอ่อ..เอ่อแล้วทำท่าจะไหล แต่ไม่ไหล น้องปี 2 คนหนึ่งแสนดี มีน้ำใจ คอยเดินซับให้จนถึงประตูมหาวิทยาลัย...
* * * * *
            ริมถนนดินสอ...หากใครผ่านไปมาคงทราบดีว่า มีร้านอาหารว่างร้านนี้ตั้งอยู่อย่างผิดสังเกต ในความที่มีลูกค้าวัย teen เช่นผม มาอุดหนุน-อุ่นหนาฝาคั่งตลอดเวลา ตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึง 3 ทุ่ม วันหยุดเพิ่มรอบ 8 โมงเช้า..อ้อ  ประการหลังนี่ไม่เกี่ยว...
            บ่ายวันนี้เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไป มีลูกค้าไม่มากนัก อาจเป็นเพราะเด็กมัธยมโรงเรียนสตรีชื่อดังยังไม่เลิกนั่นเอง 
            ผมผลักประตูเข้าไป แต่ โอพระเจ้า! ผลักอย่างไรประตูก็ไม่เปิด! มันอะไรกันนี่! ยิ่งทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก ผมเดินถอยออกมา 5 ก้าว แล้ววิ่งเอาไหล่กระแทกประตู
           ปัง..! คนในร้านหันมามองเป็นตาเดียว แต่ประตูยังไม่เปิด พนักงานชายในชุดหมีเดินมาที่ประตู มองผมตาขวางอย่างนาเกลียด ดูซิ ดู ดู... ช่างไม่เกรงใจลูกค้าหัวใจอ่อนไหวเช่นผมชายคนนั้นเอื้อมมือมาที่ประตูแล้วผลักเลื่อนไปด้านข้าง
            ผมหน้าชาวูบ...ชายคนนั้นมองผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าซ้าย....ผมข่มใจไม่ให้อายคนเรามันพลาดกันได้ ผมกลั้นหายใจ เชิดหน้า เดินหาที่นั่งอย่างรีบด่วนท่ามกลางสายตาอีกหลายคู่ที่มองมาด้วยความเอ็นดู(ผมคิดเช่นนั้น) แต่ความเศร้าภายในมันแซงหน้าความอายเสียแล้ว ผมไม่สนใจหรอกว่าใครจะมองอย่างไร... นั่นไง ผมเจอแล้วที่นั่งแถวที่สองติดกระจก ผมตรงรี่ไปทรุดตัวลงนั่ง แล้วถอนหายใจยาววว....
            "อย่าเพิ่งถอนหายใจยาว.ว.ว.ว...อย่างนั้นครับพี่ จะทานอะไรก็รีบสั่งซะก่อน" พนักงานคนหนึ่งหนวดยาวเฟิ้มกล้ามเป็นมัดๆ หน้าตาดุดันยืนถือสมุดเตรียมจดรายการอาหาร คงเป็นพนักงานใหม่ เพราะเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก...
            "เอาเหมือนเดิมครับ" ผมว่า
            "เอ่อไม่ทราบว่าเหมือนเดิมนี่ แบบฟื้นที่นี่หรือไปฟื้นที่โรงพยาบาลครับ" พี่เหี้ยมถาม
            ว่าแล้วก็เริ่มหักนิ้วมือตังกร๊อบแกร๊บ ผมฟังแล้วสะดุ้งสี่จังหวะ อืมม์...ลืมไปว่าพี่เหี้ยมคนนี้เป็นพนักงานใหม่คงไม่รู้แน่ว่าปกติผมสั่งอะไร ผมรีบขอสมุดรับรายการอาหารมาจดให้ พร้อมวาดภาพประกอบเพื่ออธิบายอย่างละเอียด พี่เหี้ยมรับรายการไป มองผมแว้บหนึ่งแล้วส่ายหน้าช้าๆ โดยไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เพราะไม่ใช่หมอดู ครั้นจะเรียกมาถามก็เกรงใจ ผมมองตามทั้งที่ตัวยังสั่นเล็กน้อย แต่สังเกตพบว่าพี่เหี้ยมมีรอยสักรูปหมีพูห์ที่ต้นแขนด้วย 
           ขณะรอเมนูโปรด นมสดร้อนกับขนมปังปิ้ง เนยนม-เนยน้ำตาล อย่างละแผ่น ผมคิดว่าน่าจะหาอะไรทำฆ่าเวลา นึกขึ้นได้ว่า ติดหนังสือการ์ตูนมาหนึ่งเล่ม(ติดมาตอนเดินผ่านเด็กนักเรียนหัวเกรียนไม่รู้ติดมือมาได้อย่างไร) ผมหยิบมันขึ้นมา 
           "ชินจังจอมขมังเวทย์" ว้า....เรื่องนี้ผมไม่ชอบเลย เรื่องไสยศาสตร์นี่ผมไม่สนใจเอาเสียเลย  รวมถึงรางสาดและวิทยาศาสตร์นี่ก็ไม่ชอบ...งั้นทำอะไรดีนะ...ผมคิด พร้อมสอดส่ายสายตาสำรวจร้านไปรอบๆ 
            ที่กลางร้านใกล้เสาต้นกลางยังตกน้ำมันเช่นเคย มิน่า...ไม่มีใครกล้านั่งใกล้ๆ ติดกับเสาต้นนั้นมีตู้ปลาขนาดใหญ่ เลี้ยงลูกปลาวาฬ ความที่เจ้าของร้านไม่ชอบเลี้ยงปลาเงินปลาทอง แต่กินเนื้อที่ไม่น้อย แถมเจ้าปลาตัวนี้ยังชอบงอนลูกค้าที่ไม่ทักด้วย ถ้าคุณเธอโมโหขึ้นมาล่ะก้อจะสะบัดหางตะวัดครีบจนน้ำกระจายเลยทีเดียว... 
            จะว่าไปแล้วร้านนี้ก็ตกแต่งได้ดีพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นภาพติดผนังก็เป็นภาพของ แวนโก๊ะตี๋ แจกันรูปจิงโจ้กระโดดผิดท่าขากะเผลก.... นั่นอีกรูป ติดผนังหลังเตาปิ้งขนมปังเป็นรูปขยายใหญ่(ราวฝาบ้าน) จากหนังสืออาชญากรรม ภาพชายหนุ่มถูกยิงขมับจนสมองกระจายเลือดท่วม...เห็นแล้วเจริญอาหารดี
            เวลาผ่านไปนานผิดปกติ ทั้งที่ความจริงผมควรจะได้อาหารแล้ว บังเอิญมีพนักงานชายคนหนึ่งเดินผ่านมา ผมจึงเหยียดขาออกไปข้างโต๊ะ... เป็นไปตามแผนชายคนนั้นสะดุดถลาคมำล้มไปข้างหน้า แต่เก็บคอม้วนหน้าแล้วลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม คนที่เห็นปรบมือกันกราว ชายคนนั้นค้อมศีรษะขอบคุณไปรอบๆ แล้วหันมาทางผม
            "มีอะไรให้รับใช้ครับ" เขาถามผ่านไรฟัน พร้อมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
"ไม่ทราบวัวป่วยหรือเปล่าครับน้อง...พี่สั่งนมสดกับขนมปัง 2 แผ่น ครึ่งชั่วโมงกับ 25 วินาทีแล้วยังไม่ได้เลยครับ"  ผมพยายามถามเสียงเรียบเก็บอารมณ์หงุดหงิด
          "ถ้าพี่อยากทานเร็วก็เชิญหลังร้านได้ครับ มีลูกค้าอีกเยอะครับ กำลังแข่งกันรีดนมอยู่ อยากทานเร็วก็ต้องรีดเองครับ" ว่าแล้วก็เดินสะบัดก้นจากไป
            ผมถึงบางอ้อและบางเก็ธ(เข้าใจ) เมื่อมองไปที่ประตูด้านหลังของร้านก็พบลูกค้าเข้าแถวยืน รอรีดนมอยู่ยาวเหยียด ผมตัดสินใจรอต่อ เพราะไม่รีบร้อนอะไร ยังมีเวลาอีกเยอะ 
            วันนี้ผมค่อนข้างว่างไม่มีนัดทานข้าวกับเจ้าคุณพ่อและเจ้าคุณแม่ (จริงๆ ผมไม่มีเชื้อเจ้าหรอก แต่ที่บ้านผมชอบอะไรที่เว่อร์ๆ ทุกคน  (แต่แถวบ้านเพื่อนผมบอกว่าอย่างนี้เขาเรียกว่า "ดัดจริต" ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่เกิดกับสตรีเพศและเพศที่ 3 ที่ไม่ค่อยจะสงวนท่าที พยายามสื่อหรือแสดงบางสิ่งให้คนรอบข้างสนใจ อาจฝึกเอง ฝึกเป็นทีม มีครูสอน หรือที่บ้านสอน แต่คนที่เอาดีทางนี้มักไม่เจริญ เพราะประสบภัยร้ายจากสิ่งของใกล้มือคนรอบข้าง บ้างก็เลือดอาบ ขาเคล็ด หัวหกก้นขวิด เป็นริดสีดวง ไซนัส ท้องผูก ไข้หวัดนก เป็นต้น / ขอจบคำอธิบายเพียงเท่านี้ เพราะวงเล็บชักจะยาว) 
            ผมกวาดสายตาไปเรื่อยๆ เพลงบรรเลงเย็นๆ ช่วยได้มากทีเดียว ลูกค้าวัยเรียนอีกหลายคนเริ่มทยอยเข้ามาจนหนาตาจนแทบไม่มีโต๊ะว่าง  ผมมองออกไปนอกกระจก รถเริ่มติดตามปกติ  เพราะเป็นเวลาโรงเรียนมัธยมเลิก
 
           ครั้นปรับโฟกัสสายตาเข้ามาใกล้ โดยไม่ตั้งใจ สายตาผมก็ไปสะดุดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งนั่งโต๊ะติดกระจกเยื้องผมไปเพียงเล็กน้อย เธอหันหน้ามาทางผม แต่ทอดสายตาออกไปนอกกระจกอย่างเหม่อลอย ผมแอบพินิจเธอคล้ายมีบางสิ่งดึงดูด ดวงตาข้างขวาของเธอคล้ายมีเนื้อเยื่อพิเศษ (แต่ไม่น่าใช่ น่าจะเป็นต้อกระจก ไม่ก็ต้อเนื้อ.../ ผู้เขียน) 
           เธอมานั่งทำหน้าสวยอยู่ในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีดำไม่มีแขน เผยให้เห็นเนื้อสาวเนียนขาวราวไข่เยี่ยวม้าปอก...  ผมยาวสลวยเป็นมันวาวปล่อยให้ทิ้งตัวไว้ที่กลางหลัง (พูดยังกะผมเห็น แต่ผมเดาว่าใช่) วงหน้านั้นสิ ช่างน่ามอง...ใต้ผมม้าที่ปรกลงมานั้นคือคิ้วโก่งคมเข้มคล้ายสะพานแขวน ดวงตากลมโตใสเป็นประกาย จมูกเชิด-รั้น น่าหยิก ปากบางได้รูปคล้ายกระจับ (ขอโทษไม่ใช่กระจับนักมวยนะอย่าเข้าใจผิดคิดไปไกลเชียว น่าเกลียด/ผู้เขียน) 
            โดยรวมแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่สวย...สวยจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่นๆ สวยกว่าผู้หญิงในคณะวาสารฯ อีกด้วย ผมกล้ารับรองจริงๆ นะเอ้า... 
            ผมรู้สึกเพลินกับการแอบมองเธออย่างบอกไม่ถูก...บางขณะเธอหันมาทางผม แต่ชั้นนี้มีหรือจะถูกจับได้ ผมรีบหลบตา ทำตากลอกไปมาคล้ายบริหารสายตา แบบที่ครูสุขศึกษาเคยสอน แต่เพื่อให้สมจริงจึงลุกขึ้นกระโดดตบ 20 ครั้ง ยึดพื้นอีก 2 ครั้ง หกกบอีก 3 นาที จนเธอตายใจจึงกลับไปนั่งแอบมองเธอต่อ และเมื่อเธอหันมามองก็จะทำเช่นเดียวกัน แต่เปลี่ยนมาเป็นกระโดดเชือก  ชกลม ซ้อมกระสอบทราย ชกมวยทะเล เธอคงทึ่งมองผมตะลึงเชียวแต่ผมแกล้งทำเป็นไม่เห็น 
            มองไปที่ประตูมีลูกค้าจำนวนมากเริ่มทยอยออกไป ครู่เดียวมีพนักงานคนหนึ่งมาสะกิดผม...พี่กล้ามใหญ่นั่นเอง
            "พี่...ถามจริงๆ เถอะ พี่มีปัญหาครอบครัวรึเปล่า เหงามากใช่มั้ย รึว่าเพื่อนๆไม่มีใครเขาคบแล้ว จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งถ้านั่งลงเหมือนเดิมด้วยความเกรงใจชาวบ้านร้านตลาดเขา" 
             พนักงานกล่าวเสียงเข้ม ผมไม่ว่าอะไร ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย ครั้นหันกลับไปมองที่เธอคนนั้น เธอยังคงนั่งเหงา มองเหม่อไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม ผมขอรับรองอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า เธอจัดเป็นคนสวยแบบอภิมหาสวยคนหนึ่งทีเดียว สวยระดับนางเอกละครทีวีไม่มีผิด นั่นไงใช่จริงๆ ด้วย ที่โต๊ะเธอผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีแก้วน้ำส้มตั้งอยู่ แต่มันละลายไปมากแล้ว เธอยกนาฬิกาข้อนิ้ว (ขนาดเล็กคล้ายแหวน) ขึ้นดู...คงกำลังรอใครสักคนเป็นแน่ ผมคิด...
            เวลาผ่านไปนาน.... เธอยังคงนั่งเหม่อ และหันมาทางผมเป็นบางครั้งแต่ก็จับไม่ได้อยู่ดีว่าผมก็แอบมองเธอ ระดับนี้แล้ว ทำอะไรไม่มีหรอกที่ไก่จะตื่น (เคยปลุกตั้งหลายหน นอนขี้เซาจริงๆ) ผมสังเกตพบว่าเริ่มมีหลายคนมองเธอเช่นเดียวกับผม โดยเฉพาะเพื่อนนักศึกษาต่างคณะกลุ่มหนึ่งที่นั่งโต๊ะซ้ายมือผม มองไม่มองเปล่าแต่ยังทำท่าซุบซิบด้วย อย่าให้รู้นะว่ากำลังนินทาว่าร้ายเธอของผมให้เสียหาย เอ๊ะ... เมื่อครู่ผมใช้คำพูดว่าอย่างไรนะ?... ผมว่า "เธอของผม" เหรอนี่... จริงสิ ไม่รู้อะไรทำให้ผมเกิดความรู้สึกหวงเธอขึ้นมาเอาซะดื้อๆ...
            ตอนนี้เวลาผ่านไปจนแดดร่ม ลมก็คงจะตกแล้ว ผมเห็นเธอค้นในกระเป๋าถือหนังปลากรายสีดำ หยิบกระดาษโน้ตขึ้นมา แล้วเริ่มจรดปลายปากกาเขียนบางสิ่งลงไป.... ผมเกิดความรู้สึกใคร่รู้ขึ้นมาเสียแล้วสิ ว่าเธอเขียนอะไรลงไป เอ...รึว่าเธอเป็นนักเขียน...อืมมมม... อาจเป็นไปได้ เพราะเคยรู้มาว่า นักเขียนต้องมีจินตนาการ และเอาดีทางเหม่อลอย 
           เธอเขียนอยู่พักหนึ่งแล้วหยุด หันมองนอกกระจกเช่นเดิม  และแอบชำเลืองมาทางผม  นั่นไงนึกแล้วเชียว ว่าเธอต้องมีบ้างที่แอบสนใจผม เพราะเป็นที่ทราบดีว่า ในคณะผมนี้ก็ใช่ย่อย ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนสาวๆ มักทักเสมอเช่น
            "พี่เอิร์ธไปห้องสมุดเหรอคะ" 
            "พี่เอิร์ธทานข้าวคนเดียวเหรอคะ" 
            "พี่เอิร์ธยิ้มหน่อยสิคะ หน้าบึ้งไม่เท่ห์เลย" 
            อะไรต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นคำทักทายจากสาวๆ หน้าใสที่สะท้อนว่า ผมนี่ก็หนึ่งไม่เป็นสองรองใครในด้านความหล่อ อุ๊ย..! ยอตัวเองเขิน
            อ้าวนั่น...เธอทำไมขย่ำกระดาษเสียล่ะ แล้วนั่นเธอกำลังจะลุกไปแล้วรึ? ผมเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้จะมีโอกาสพบเธออีกรึเปล่า แล้วเธอก็ลุกเดินไปจริงๆ เธอจ่ายค่าน้ำส้ม(ที่ยังไม่ได้ดื่ม)ที่เคาน์เตอร์ แล้วเดินออกจากร้านไป...
            หันไปมองที่โต๊ะผมพบว่ากระดาษก้อนนั้น (ที่เธอขยำจนเป็นก้อน) มันวางอยู่ที่โต๊ะ เธอไม่ได้หยิบไปด้วย ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเธอเขียนอะไร ขอเสียมารยาทสักครั้งเถอะ อีกทั้งคงไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าจะลุกเดินไปหยิบมาก็กลัวว่าคนจะมอง อืมม์...ทำยังไงดีนะ
            ครู่หนึ่งพนักงานคนหนึ่งเดินมาเก็บแก้วน้ำส้มพร้อมเช็ดโต๊ะ ปัดกระดาษก้อนนั้นตกลงพื้น มันกลิ้ง กลิ้ง กลิ้งมาใกล้ที่เท้าผมห่างราว 2 คืบ ผมหันซ้าย-ขวา ก้มลงกำลังจะเก็บก็มีเสียงร้องดังขึ้น
            "ว๊าย !" 
             ครั้นแหงนไปมองที่มาของเสียงซึ่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะผมเยื้องไปหลังโต๊ะเดิมของเธอคนนั้นของผม  เห็นนักศึกษาในชุดกระโปรงสั้นเหนือเข่า ทำท่าปกป้องปกปิดพลันวัน อะพิโธ่ อะพิถัง  อะไรกันนี่... คงคิดว่าผมจะก้มลงแอบมองอย่างคนอื่นๆ ที่ชอบล่วงละเมิดล่ะสิ ไร้สาระ ผมเป็นสุภาพบุรุษนะจะบอกให้ ไม่เคยสักครั้งที่จะทำแบบนั้น ไม่เคยแม้จะคิด 
            เธอมองผมตาเขียว แต่ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะแก้ตัว ผมเปลี่ยนแผน ค่อยๆ ถัดตัวให้ต่ำลง ต่ำลง อาาาา ใกล้ถึงแล้วอีกนิด 
            พลันมีพนักงานคนหนึ่งเดินผ่านไป ไม่เพียงเท่านั้นปลายเท้าเตะเอากระดาษก้อนนั้นกลิ้งหลุนๆ แล้วไปซบแทบเท้าของนักศึกษาตาเขียวคนนั้น... ทำอย่างไรดีล่ะผมคราวนี้ และดูเหมือนเธอจะรู้ด้วยว่าผมกำลังมอง 
            เธอหันซ้ายขวาคล้ายหาอะไรสักอย่าง ครั้นก้มลงที่พื้นพบกระดาษก้อนนั้นจึงก้มลงหยิบ ผมได้แต่ภาวนาขออย่าให้เธอเอามันไปทิ้งเลย 
            เร็วเท่าความคิดผมก็สัมผัสว่า มีบางสิ่งลอยละลิ่วปลิวมาชนหัวผมแล้วตกลงบนโต๊ะ กระดาษก้อนนั้น "อุ๊ย..! แม่หล่น" ผมโดนเธอปาหัวหรือนี่... ช่างมันเถอะ   ผมมีสิ่งที่น่าสนใจรออยู่ตรงหน้าแล้ว
            ผมค่อยๆ คลี่กระดาษออก รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก จะได้รู้เสียทีว่าเธอเขียนอะไร ครั้นกระดาษคลี่ออก ก็พบกับข้อความเขียนไว้ตรงกลาง 2 บรรทัด และถัดลงมาตอนใต้มีอีกหนึ่งบรรทัด 
ผมหายใจลึกเข้าเต็มปอดแล้วจดจ่ออ่านอย่างตั้งใจ...
            "หน้าไม่อาย..คนอาไร้....ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี นัดยืมเงินเค้า แต่ปล่อยให้รอ-เบี้ยวนัดเฉย คงกลัวตัวเองจะไม่มีเงินจ่ายค่าดอกร้อยละ 40 ล่ะสิ"
            แล้วผมก็เลื่อนสายตาลงมาอ่านอีกประโยคหนึ่งตอนใต้ เธอเขียนว่า
            "รำคาญไอ้แว่นหน้าตี๋หัวหลิมโต๊ะข้างๆ จริ๊ง... มองอยู่ได้ เกิดมาคงไม่เคยเห็นกระเทยสวยขนาดนี้มาก่อนล่ะสิ"
* * * * * * * * * *
หมายเหตุ ::: วาระตีพิมพ์ครั้งแรก 
ในหนังสือรวมเรื่องสั้นอารมณ์ดี "เราจะยิ้มให้กัน" ร่วมกับ 12 นักเขียน 
บรรณาธิการโดย "กุดจี่" พรชัย แสนยะมูล 
สำนักพิมพ์ไม้ยมก ในนามปากกา : เจ้าชายน์ติ๊ง
tewson7@hotmail.com				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน