พัทยา... ไม่อยากลา ระหว่างวันอันยุ่งเหยิงเรื่องงานเรื่องการ ส่วนตัว บ้าง ที่บ้านบ้าง เกี่ยวกับหน่วยราชการบ้าง เหล่านั้น การ์ดใบหนึ่งก็ส่งมาในจำนวนหลายใบ ถึงแม้จะระบุสถานที่ ค่อนข้าง ลำบากยากใจที่จะต้องไป แต่เป็นที่หนึ่งในใจว่า ไม่ไปไม่ได้ ด้วยเป็นงานอันเป็นมงคลแห่ง ชีวิตก้าวใหม่ของหลานชาย...ฉันจึง จัดกระเป๋าคร่าวๆทิ้งไว้ ที่คอนโดกลางเมืองแห่งนั้น พร้อมเพื่อเย็นวันศุกร์นั้นจะ ไปเมื่อไหร่ ก็ไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าที่จัดไว้ไปได้เลย ..(แม้นรองเท้าสำหรับใส่ในงานยังผูกถุงติดหูกระเป่าไว้เลย) ..........เพราะรู้นิสัยตัวเองดีว่า ทำอะไรพร้อมกันหลาย อย่างในเวลาเดียวกัน สิ่งใดที่ทำเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อวันนั้นวันนี้ ก็ต้องทำเตรียมไว้ เมื่อถึงเวลาอันฉุกละหุก ก็หันมาคว้าไปผลุบผลับได้เลย...สิ่งเหล่านี้ ก็ต้องมีการจัดการ ล่วงหน้า พร้อมเพื่ออนาคตเสมอ...(เป็นนิสัยที่ต้องฝึกไว้ แต่ภพภูมินี้ เผื่อเกิดยุคหน้า ต้องโดยสารยานอวกาศระหว่าง ดาวจะไม่ต้องกังวลอะไร คว้าสิ่งที่เตรียมไว้พวกแคปซูลต่างๆ ก็แว้บไปทันใดได้...ว่าไปโน่น) .........และแล้ว ก็ถึงเวลาไปรวมกันที่คอนโดในค่ำวันศุกร์ เพื่อขึ้นรถเก๋งคันเล็กๆคันใหม่ของลูกสาวเพื่อเดินทาง ไปสู่จุดหมายปลายทาง...พัทยา.. http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4203556/W4203556.html
......เส้นทางสายบางนา-ชลบุรีวันนี้ ทางด่วนสายใหม่เปิด ให้เดินทางแล้ว ท่านมัณฑนากรที่บ้านท่านเป็นผู้ชี้เส้นทาง ให้ไปว่าเดินทางเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อดูงานตกแต่ง โรงแรมลูกค้าพัทยา ถ้าไม่ไปรถนั่งธรรมดา ก็เดินทางกับ รถโค้ชปรับอากาศ กรุงเทพฯ-พัทยา วิ่งบนฟ้าถนนสี่เลน ไปเรื่อยๆ เหมือนนั่งเครื่องบิน..ท่านว่าอย่างนั้น.. สะดวกสบายไม่ต้องเหนื่อยขับเอง ขึ้นได้ที่บขส ทั้งหมอชิต และ เอกมัย ราคาแค่ หนึ่งร้อยกว่าบาท ถูกกว่าค่าทางด่วน หรือมอเตอร์เวย์เสียด้วยซ้ำ ประหยัดน้ำมัน ประหยัดแรงกาย สบายใจ นั่งไป เสียบหูฟังเพลงร็อคเพลงแจ๊ซซไปตลอดทาง ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว เย็นสบายจะตายไป ยุคใหม่ปรับชีวิต ใหม่ให้พอเพียง ประหยัด เป็นสุขดี .........ท่านว่าอย่างนั้น เราจึงวิ่งรถบนถนนวิภาวดีรังสิต ขึ้นทางด่วนไปลง บางนา แล้วก็ต่อถนนตรงไป สู่ ทางด่วน กรุงเทพฯ-พัทยา ขนาดสี่เลนกว้างวิ่งสบายไม่ต้องแซงซ้ายป่ายขวาดังว่า .....ประมาณ สี่ห้าทุ่ม รถก็ถึง จอมเทียนเลยไปอีกไม่กี่ กิโลสู่หาดตะวันรอน ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารไทยพาณิชย์ ท่านพี่ชายให้หลานสาวจองห้องไว้ให้ญาติสนิททั้งหมด อยู่ที่นั่น เนื่องจากบ้านหลานชายที่จะแต่งงานวันรุ่งขึ้น อยู่ย้อนกลับไปไม่เกิน5 กิโล แต่แขกและ ญาติชั้นพิเศษที่ตกลงจะไปงานเลี้ยง ตอนค่ำที่ดุสิตรีสอร์ทนั้น พี่ชายจองพวกโรงแรม รีสอร์ต ในตัวหาดพัทยาให้ไว้แทน เพื่อให้แขกไปงานเลี้ยง ตอนค่ำแล้วไม่ต้องกระหืดกระหอบกลับบ้านตัวเอง ให้พักกันตาม โรงแรมรีสอร์ตที่จองไว้ให้ ทั้งหมด ยกเว้นหลายท่านที่มีพนักงานขับรถมาให้ ก็ปฏิเสธ ไม่พัก ยินดีจะกลับไปคฤหาสน์ของท่านกัน
ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารไทยพาณิชย์ อยู่ในมุม สงบของหาดตะวันรอน เป็นตึกสี่ชั้น) .เป็นสถานที่สงบสงัดเงียบเหมาะแก่การฝึกอบรมเป้นอย่าง ยิ่ง แต่ถ้าเทียบความหรูหราก็คงเทียบได้สักโรงแรมสอง ดาว หรือ สามดาวไม่เกินนั้นแต่กระนั้นก็นับว่าเป็นสถานที่ อันเหมาะสม ราคาปานกลาง น่าพักดียิ่งแห่งหนี่งในกรณี ที่มีงานหมู่กลุ่มที่จะสังสรรค์ปาร์ตี้ เทียบกับซีแซนด์หรือ วิลล่านาวิน เจ้าเก่าพวกนั้น ก็สูสีกันพอไปไหว โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสำหรับการฝึกอบรมป้อนข้อมูลสาระ นับว่าดีที เดียว(ไม่ได้สตางค์ค่าประชาสัมพันธ์ โฆษณาแต่อย่างใด แจ้งไว้ล่วงหน้าก่อน เดี๋ยวจะถูกหาว่ารับเงินโฆษณามา หรือไร) เจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลความเรียบร้อยออกมาต้อนรับ พร้อมด้วยสายตาประเมินสถานะภาพแขกได้อย่างทะลุ ปรุโปร่ง (ไม่ปิดบังความรู้สึกทางสายตาเลย) เพราะคุณลูก สาวเผอิญนุ่งกางเกงชาวเลกับเสื้อยืดไปหนึ่งตัวลากรองเท้า แตะ ไป พอพอกับนายผมยาวลูกชายก็กระเซอะกระเซิง ส่วนฉัน ในชุดผ้าถุง เสื้อยืด ดีที่มีเสื้อคลุมชุดเดียวกับถุง ทับไปตัวหนึ่งพอดูได้กับเขาเหมือนกัน กะว่าไปถึงก็เข้า ห้องนอนนอนเลย เพราะเห็นว่าฤกษ์งานเขา เจ็ดโมงเช้า เจ้าหน้าที่ตามหาห้องให้แล้วก่อนลาไปโดย ทำท่าเป็นบ๊อสสสส์ แสดงฝากฝังกับพนักงานต้อนรับแล้ว ก็หันมาพูดท่าทางดีขึ้นอีกหน่อยหนึ่งเมื่อรู้ว่าแขกที่มา คนนี้เป็นน้องสาวแท้แท้ของเจ้าภาพเอง (แหะ แหะ) "พรุ่งนี้เช้าหกโมง เชิญลงมาทานข้าวต้มที่ ห้องอาหารนะครับ" ฉันกล่าวขออภัยที่มาดึกดื่น อ้างเรื่องรถติด (ก็ติดจริงๆก่อนทางเส้นก๋วยเตี๋ยวไทยพาณิชย์เอสซีบีพาร์ค โน่นแน่ะ) อันที่จริงก็ไม่น่าจะต้องไปขอโทษขอโพยท่าน ผู้นั้นเลย เพราะแขกที่จองห้องกันไว้จะมาเวลาไหน สถานที่ ก็จะต้องชาร์จตามเวลาไปแล้วแน่นอน ท่าทางเขาดูอาการดี ขึ้นที่แขกมีปฏิสันถาร ดูสีหน้าสีตาดีกว่าตอนเข้ามาถึง ยกกระเป่ากันเองขึ้นลิฟท์ตัวกระจิ๊ดริด ไปยังชั้น ที่สามห้องที่พักเป็นห้อง 301 เคาะประตูกันอยู่นานญาติ ทางฝ่ายพี่สะไภ้ พักอยู่ห้องหนึ่งแล้ว ก็ออกมาเปิดให้ เห็น สภาพห้องก็ใช้ได้เป็นห้องแบบเดอลุกซ์ คือมีสองห้องนอน ในห้องเดียว มีห้องน้ำหนึ่งห้องใช้ร่วมกัน ระหว่างสองห้อง ก็ยังดี ท่าทางจะเป็นห้องประหยัดมากกว่าจะเดอลุกข์ เพราะ ตู้เย็นก็ใช้ตู้เดียวร่วมกัน ห้องน้ำก็ใช้ร่วมกันก็น่าจะ ราคาประหยัดเหมาะแก่พนักงานธนาคารจะมาฝึกอบรมกันจริงๆ... คุณหลานชาย อีกหนึ่งหน่อ ลูกของน้องชายคนสุดท้อง โทรศัพท์แจ้งกันมาว่า ห้องข้างบนว่างอีกห้องเพราะ คุณพ่อคุณแม่ตนเอง(น้องชายฉัน)มีอันต้องกลับกรุงเทพฯ ด่วนเพื่อดูแลป้องกันเหตุร้ายม็อบสนามหลวงในวันนั้น คุณ ลูกชายและ คุณมัณฑนากร(หย่ายยย) เลยหิ้วกระเป๋าขึ้น ไปห้องชั้นที่สี่แทน ..แล้วก็ลงกันมาทั้งหมด มาบอกให้คุณ ลูกสาวไปขับรถพาไปหาซื้ออะไรมากินรอบดึกกัน ....มีโอกาสอยู่คนเดียวฉันก็หยิบเสื้อผ้าข้าวของที่เตรียม ไว้ออกมา แล้วก็เข้าห้องน้ำ เมื่อเปิดน้ำฝักบัว น้ำแรงจัด ทำ ให้เกรงใจ๊ เกรงใจ ท่านเจ้าของงานเจ้าของเงินที่จองให้พัก (เป็นพระเดชพระคุณอย่างสูงที่มีที่ให้นอน) พยายามจะเปิด ให้น้อยๆให้ประหยัดเงินของเขา (ด้วยความเกรงใจตามประสา) แต่ก็ยอมแพ้เพราะน้ำแรงจริงๆ อาบทั้งอ่นน้อยอุ่นจัด จนสบาย ได้ที่ ก็ออกมาแต่งตัวไปยืนดูฟ้ามืดๆที่ระเบียง ที่ดูไม่ออก ว่าเป็นอะไรกันบ้าง แต่ได้กลิ่นลมทะเลและเสียงคลื่นทะเลอยู่แว่วๆ
จัดเลือกเสื้อผ้าสำหรับงานลำบากลำบน เพราะ ขนาด จัดเตรียมมาแล้ว ชุดเช้าซึ่ง คุณพี่สะไภัสั่งว่าให้แต่งแบบชาวเหนือ นะ ทำให้ ต้องจัดเตรียมเสื้อตัวใน ผ้าซิ่น คว้าได้ซิ่นลาวมาหนึ่งผืน เสื้อตัวในก็ยืดไร้แขนธรรมดาใส่บ่อยๆ และ ตัวนอก ผ้าไหมสีขาว นวล จัดชุดมุกสร้อยคอที่ร้อยเอง คู่กับ ต่างหูมุกสีอมส้มของจังหวัด กระบี่ แล้วเรียบร้อย เปลี่ยนกระเป๋าสำหรับใส่ไปงาน แล้วก็ เตรียม ตัวเข้านอนแต่ก็ไม่ลืมเขียนโน้ตบนกระดาษในแฟ้มที่เขาเตรียมไว้ ให้ในห้อง ...แอร์เย็นฉ่ำ...เปิดแต่โคมไฟหัวเตียงริมประตู แล้วก็ได้ฤกษ์นอน หลับเสียที.... เช้าขึ้นมา รูดม่านระเบียง มองออกไปเพิ่งรู้ว่า ตนเองอยู่ ห้องริมทะเลเห็นทะเลอยู่ใกล้ๆ ถัดเข้ามาเป็นสระว่ายน้ำ คลับคล้าย คลับคลาว่าเคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่งแต่ยังนึกไม่ออก มีเสียง โทรศัพท์จากห้องชั้นบนให้ลงไปรับประทานข้าวต้มเช้าด้านล่าง แต่งตัวชุดที่เตรียมไว้เสร็จก็ลงไป พบ คุณแม่ของฉันนั่งอยู่กับคนดูแล (รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ไม่ได้ขึ้นไปดูคุณแม่ตอนดึก) ก็เลยนั่งอยู่กับท่าน จนได้เวลาเดินทางไปบ้านงานที่จัด
ไปถึงบ้านงานตามขบวนเขาล่าไปจึงอยู่หางๆแถว ไปเดินถ่ายรูปบ้านงาน ฟังเถ้าแก่เขาพูดจาหมั้นหมาย บอกเรื่อง สินสอดทองหมั้นอะไร แล้วก็ แวะออกมาคุยกับญาติพี่น้อง ชาวเหนือทั้งหมดฝ่ายพี่สะไภัที่มากันจากทั้ง เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ฯลฯ เลยยึดโต๊ะในสนามเป็นที่นั่งคุยกัน สารพัดเรื่องเท่าที่จะสรรหามาคุยฆ่าเวลาไปกันได้...
จากนั้น พระสงฆ์ ก็มาสวดพระพุทธมนต์กันในตัวบ้านก่อน เพลเล็กน้อย และ ก็ได้เวลาเหล่าญาติด้านนอก เปิดคิวรับประทานอาหาร เพลพร้อมพระสงฆ์ ฉันก็เดินแวะเวียน ชิมอาหารหลายอย่างที่จัดไว้เป็น ที่เอร็ดอร่อยน่ารับประทานดี...~
มีโอกาสขณะหนึ่งก็ ถ่ายรูปคุณหลานชาย หลานสะไภ้เก็บ ไว้ดูงดงามสบายตาสบายใจดี
....หลังอาหารกลางวัน จัดให้คุณผู้หลักผู้ใหญ่เข้างีบในห้อง บ้านงานพวกเราก็ออกมานั่งชิ้ตแช้ทกันเต๊นท์นอกบ้าน ประสาน้องสาวกลางวงพี่ชายทั้งหลาย ก็เว้น ไม่ได้เรื่องการเมือง เรื่องแซวกันต่างๆนาๆ ตัวเด่นตัวนำ จากเชียงใหม่ที่มีคำอะไรสนุกสนานเรียกเสียงฮาไม่ขาด ระยะ...ญาติทางฝ่ายพี่สะไภ้นี้ สนิทสนมกันเสียยิ่งกว่า ญาติฝ่ายตัวเองเสียด้วยซ้ำ ลูกหลานเขาก็เหมือนลูกหลาน เราเป็นชั้นญาติที่เข้านอกออกไนกันทุกจังหวัดได้ทุกเมื่อ เลี้ยงดูปูเสื่อกันอยู่ประจำไม่ขาดสาย.สายใยแห่งญาติจึง ผูกพันกันแน่นแฟ้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตลอดมา
จากนั้น ก็ได้เวลา ขอลาไปกลับไปที่พัก เพื่อจะออมแรง ไว้ไปงานเลี้ยงตอนค่ำอีกงานหนึ่ง(เฮิ้วววว-หาวกันยกใหญ่)
หากย้อนไปไม่นานมานี้ วันที่ไปพักที่ข้างแอมบาสเดอร์จอมเทียนบ้าง พักบ้านพักทหารเรือสัตหีบบ้าง พักบ้านเพื่อนพี่ชายใหญ่ แถวไร่สัตหีบบ้าง พักบ้านเพื่อนที่จัดให้พัก ทั้งจอมเทียน ทั้งหาดต่างๆ แถบนั้นมีที่ให้พักกันเป็นตลอดเวลา เรามักจะมาพักผ่อนกันจริงๆ คือ มาพัก เช้าตื่นไปว่ายน้ำชายหาด คลุกทรายคลุกน้ำทะเลกัน แต่มาคราวนี้ ฉันมาในฐานะ อาของหลานเจ้าบ่าวแต่งงาน เป็นคุณแม่ผู้สูงอายุคุมลูกวัยโตสองคนมางานเลี้ยงงาน แต่งงานมีระยะเวลาพิธีการที่จะต้องเข้าไปประดับงาน หรือว่า ไปสังเกตูการณ์งานเห็นจะเหมาะกว่า จึงไม่สามารถปลีกตัวไปลงเล่นน้ำเล่นท่าอย่างที่ อยากทำ(ก็เตรียมชุดว่ายน้ำไปแล้วนี่นา...!) เอ้า ว่าแล้วก็เข้าไปนอนกันในห้องช่วงบ่าย เปิดแอร์ เย็นเจี๊ยบนอนกันสบายใจ (ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ แน่นอน )
ตอนค่ำ เปลี่ยนแปลง...กว่าจะเลือกเสื้อผ้าออกมาได้ ต้องไปขอเตารีดแม่บ้านยืนรีดอยู่ทางเข้าออกลิฟท์ เพราะชุดผ้าไหมที่เตรียมมาสีน้ำตาลแก่นั้นลูกบ่นว่า สีเข้มแก่เกินไป จึงต้องดึงผ้าไหมแพรวาสีส้มมารีด ใหม่ด้วยมันยับยู่ยี่ เอ้า เปลี่ยนตำแหน่งไปเป็นพนักงาน รีดผ้าหน้าลิฟท์เสียแล้ว(ขนาดว่าเตรียมพร้อมแล้วยังลืม เตารีดไอน้ำระหว่างเดินทางไปได้ ) กว่าจะแต่งกายงามลงมาได้ มันก็หกโมงกว่าเข้าไปแล้ว หลานทางฝ่ายพี่สะไภ้ รอคอยอยู่ด้านล่างเพื่อกวาดต้อน ทุกคนขึ้นรถไปกันจนได้ (เฮ้อ ทุลักทุเลพอประมาณนะ)
คราวนี้ก็ถึงเวลาฝ่ายสังเกตุการณ์ ไปถึงก็ถ่ายรูปมุมโน้น มุมนี้ ตามสบายละ (ดีจังที่ไม่ต้องทำงานในงานฝ่ายเจ้าภาพฝ่ายชาย ฮิ ฮิ)
ความที่ไปถึงงานสายหน่อย ไปถึงก็ได้แต่ขอ พนักงานคุมโต๊ะข้าวมันไก่มาได้จานเล้กๆ แล้วจากนั้น ก็ดื่มแต่น้ำแข็งโค้กไปตลอดงาน รับรองได้(วรรคนี้สำคัญมาก
จากนั้นก็เป็นเรื่องเม้าๆแช้ทๆ กันระหว่างญาติที่ไม่เจอกันมา นานแรมปีๆๆๆ (แบบนับปีไม่ถ้วน) แล้วก็ร่ำลาจากไปพักกัน ตามสถานที่ต่างๆที่เจ้าภาพจองไว้ให้ แขกบางท่านก็ไปพัก ที่เดียวกัน ทางฝ่ายเราก็นั่งรถกลับไปกันห้าคนโดยมี คุณหลานชายลูกคนเดียวคุณน้องชายติดมาด้วยแล้วคราวนี้ (นายคนขวาที่ดื่มแก้วอยู่นั่นแหละค่ะ)
กลับมาถึงที่พัก เข้าอาบน้ำแล้ว ก็เตรียมชุดไว้ จะลงไปเดินทะเลตอนเช้าสักทีละ ให้สมกับที่มาทะเล นอนฝันหวานด้วยความสบายใจ หลับไปกับแอร์เย็นฉ่ำ .....~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ตีสอง ตีสาม ตีสี่ ตีห้า หกโมงเช้า เจ็ดโมงเช้า ........สิ่งที่ไม่คาดคิดทุกชั่วโมงก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดการขับถ่ายแบบท่อรั่ว บิดไปหมดทั้งท้อง ทั้งอาเจียร ตลอดห้าหกรอบ...อาหารเป็นพิษ !! ลำไส้อักเสบ !!! อะไรสักอย่างที่ทำให้คืนนั้น ห้องแอร์ เป็นห้องที่ทรมาณเหลือแสน...ภาพทะเลพัทยาไม่อยู่ ในสายตาเสียแล้ว... จะให้โทษว่าอาหารกลางวันในงานเลี้ยงที่บ้าน หรือ น้ำแข็ง หรือ ข้าวมันไก่จากงานเลี้ยงดุสิตรีสอร์ท กันแน่ ไม่ทราบเลย...
กระนั้นก็ดี ยามเช้า พี่ชายยังโทรฯเรียกให้คนที่บ้าน เช็คว่าจะให้ฉันขับรถเซฟีโร่อีกคันพาคุณแม่กลับ บ้านที่กรุงเทพฯให้หน่อย ฉันรับสายด้วยความเกรงใจอย่างที่สุด เขาก็โทรฯเรียกให้ลงไปทานข้าวข้างล่างอีก ตัดใจแต่งตัวอย่างทุลักทุเล แล้วก็ปรากฏว่า อาการเดียวกันก็เกิดขึ้นกับคุณลูกสาวในยามเช้านั่นเอง แต่ฉันก็ยอมเดินลงไปข้างล่างตามคำเรียกร้อง
.....ตอนที่ล้มฟุบไปกับพื้นเมื่อจะเดินกลับมาที่ลิฟท์นั้น เพิ่งคิดออกว่า เคยฝันเห็นที่นี่มานานแล้วครั้งหนึ่งปีที่ แล้ว...ไง...ที่ฝันเห็นตึกชายทะเลนั้น..กับภาพพี่สะไภ้ ชี้นิ้วเป็นแม่งานยังติดตา... .....ฉันพยายามเบิกตาขึ้นเพื่อจะหายใจ ฤาที่นี่จะเป็นที่ตายอย่างนั้นหรือ ? ไม่ ไม่นะ เรียกสติสัมปชัญญะคืนมา...
" เป็นที่อาหารมื้อสุดท้ายครับ " นายแพทย์ที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯพัทยา กล่าวชี้แจง เมื่อรายงานว่า คนไข้คนนี้ นอกจากจะถ่ายเป็นน้ำมาแปด หนเองก่อนมาโรงพยาบาลและ ฟุบไปแล้วด้วยน่ะ "ตอนนี้คุณก็ต้องฉีดยาสักสองเข็ม และ รับประทาน ยาฆ่าเชื้อสักสามวัน รับยาแก้ปวดท้อง และ ดื่มน้ำเกลือ แร่นี้ให้มากที่สุด ที่คุณฟุบไป เพราะร่างกายขาดน้ำอย่าง หนัก เลือดจึงเหนียวเลี้ยงสมองไม่พอ คุณจึงฟุบไปอย่างนั้นเลย.. ..ผมขอสั่งว่าต้องฉีดยาฆ่าเชื้อ และ กันอาเจียรสองเข็มร่วมกันครับ และ พักสักครู่ก็เดินทางกลับได้"
.......เสียงเพลงของคุณรุ่งฤดี แพ่งผ่องใส นักร้องรุ่นเก๋ากึ้ก ดังมาเอื่อยๆ ในความทรงจำ "ลาแล้วลา ขอลา โอ้ พั่ทยา ลาก่อน ชีวิตคือ ละคร..ฉันมันอ่อนโลกเอย..." ......ระหว่างหลับสลึมสลือกลับกรุงเทพฯ เสียงคลื่นสาดซ่าเข้ามาในหู หาดทรายขาวที่เรารู้จัก มาแต่เด็ก ที่วิ่งเล่นไปมากับคุณแม่คุณพ่อ ซึ่งพามา พักบ้านเจ้านายท่านทุกฤดูร้อน ยังแว่บเข้ามาในความ ทรงจำ พัทยา กับแดดร้อนจ้า ยังเป็นแค่ในความทรงจำ ที่ฉันไม่ได้ร่ำลาอย่างแท้จริงเลย เขียนบันทึกไว้ ระหว่างงาน๑๑-๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ ณ วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๙ คนเราจะไปวันไหนเมื่อไหร่ที่ไหน ไม่มีใครรู้จริงๆ
19 มีนาคม 2549 04:56 น. - comment id 90108
มีที่ปล่อยวาง ใครๆไม่อยากลา.... แต่ต้องถามเงินในกระเป๋าด้วย ว่าไหม .... ไปบ่อยนะ หลายปีก่อน พักหลังมีงาน...คงได้แต่วาดหวัง...ไม่แน่วันดีคืนดีอาจได้ไปย่ำทรายแถวนั้นอีก .......
23 มีนาคม 2549 18:46 น. - comment id 90169
ตื่นเต้น ขนลุกเลยเนี่ย
9 เมษายน 2549 14:29 น. - comment id 90362
ขอบคุณที่แวะเยี่ยมกระทู้เรื่อยค่ะ คุณ เพลงผิว คุณ ลิลลี่เพ็น ขอยคุณเช๊นกันค่ะ