สภาพของพวกเราก่อนที่จะเดินทางไป ช่างแตกต่างจากสภาพหัวใจตอนขากลับอย่างสิ้นเชิง ความอ่อนล้าทั้งมวล ที่นับวันจะยิ่งแทรกซึมไปทุกอนูหัวใจ ทั้งหมดถูกปลดเปลื้อง...
จะให้พี่ไปรอตรงไหน บอกด้วยนะ เอาอย่างนี้ดีมั๊ยคะพี่ รอที่เชิงบันไดสถานีรถไฟฟ้า อนุสาวรีย์ ด้าน รพ. ราชวิถี อืม ! กี่โมง ซักเจ็ดโมงครึ่ง เราจะได้ออกเดินทางตั้งแต่เช้า เผื่อแวะเที่ยวรายทางไปด้วย ได้ ได้ แล้วเจอกัน วันเสาร์..ก่อนวันเดินทาง เราแวะไปซุปเปอร์มาเก็ตละแวกบ้าน เพื่อซื้อของบางอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ทำอาหารไม่ค่อยเป็น แต่ต้องรับหน้าที่จัดเตรียม เอาล่ะ ซื้ออย่างละขวดเล็ก ๆ ละกัน ขาดเหลือยังไง ก็เซเว่นข้างทาง เราคิดในใจ ต้องไม่ลืมน้ำส้มสายชู หมอบอกว่าจะทำข้าวต้มปลาให้ทาน เรายิ้ม เมื่อนึกถึง ก่อนเดินไปชำระเงินที่แคชเชียร์ ก็ไม่ลืมที่จะหยิบมาม่าแพคใหญ่.. ไม่อดตายแน่นอน ค่ำวันนั้น เราจัดกระเป๋าเดินทางอย่างสบาย ๆ โดยไม่ลืมที่จะเอาเสื้อตัวที่มีคนส่งพัสดุมาให้ พร้อมกับหนังสือเรื่องเท่าดวงอาทิตย์ ใส่ลงไปด้วย เราเข้านอนหลังจากที่คอนเฟริมท์กันอย่างเป็นมั่นเหมาะกับเพื่อน ๆ อีกครั้ง ..เราฝันอย่างเป็นสุข เช้าวันอาทิตย์..เราต้องไปจ่ายตลาดก่อนไปรับเพื่อนที่อนุสาวรีย์ แวะซื้อไข่ไก่มาหนึ่งแพ๊ค ทำอะไรกินอะไรดีว๊า..ผัดผักละกัน ง่ายดี เออใช่ ! ซื้อปีกบนไก่ด้วยดีกว่า คิดแล้วก็เดินพึ่บ ๆ ไปทำเก๊กหน้าร้านผักแล้วบอกแม่ค้าว่า จัดเครื่องต้มยำให้ชุดนึงสิ แม่ค้าบอกว่า เอาเลย หยิบได้เลย . .. โธ่ถัง ! มันต้องมีอะไรบ้างเนี่ย เอาเป็นว่า ตอนเดินปุเลงปุเลงมาขึ้นรถ เราก็หอบหิ้วมาเต็มสองไม้สองมือเช่นกัน ยังพอมีเวลาที่จะไปยังจุดนั้น เช้าวันนี้การจราจรยังไม่ติดขัดสักเท่าไหร่ เราเหลือบมองผ้าห่มและหมอนที่หอบมาด้วย .. ก็นึกขันในใจว่า เพื่อนจะล้อมั๊ยนะ ว่าเราติดผ้าห่ม
เราวนรถมาจอดด้านหน้าของรพ.ราชวิถี จากนั้นก็โทรหากัน ปรากฏว่าเพื่อนมาพร้อมแล้ว พี่ช่วยเดินมาอีกนิดนะคะ ตรงอื่นไม่มีที่จอดรถค่ะ ฤกษ์ดี เวลา 07.39น. เป๊ง ... รถก็เคลื่อนผ่านเส้นถนนพระบรมราชชนนีไปยังเส้นตะวันตก หิวมั๊ย ทานข้าวเช้ามาหรือยัง เราหันมาถาม ตอนนี้ยังไม่หิว แต่เดี๋ยวต้องกิน เพราะต้องกินยาด้วย พี่พระจันทร์เศร้าตอบ งั้นจะแวะพัก และให้ทานอาหารที่โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือนะ ห้องน้ำที่นั่นสะอาดด้วย ทะเลใจ เคยไปเที่ยวที่เมืองกาญจน์มั๊ย เราหันมาถามน้องอีกคน ที่นั่งเบาะหลัง ไม่เคยค่ะพี่ ถ้างั้น จะเข้าเมืองก่อน แล้วแวะเที่ยวที่สุสานพันธมิตร สะพานข้ามแม่น้ำแคว ได้ค่ะ จากนั้น ก็จะแวะสันเขื่อน,น้ำตกเอราวัณ นี่ก็ต้องดูเวลาก่อนนะ ว่าจะทานมื้อเที่ยงที่ไหนระหว่างสันเขื่อนกับน้ำตก พี่น่ะ ยังไงก็ได้ พี่มาบ่อยแล้ว เมืองกาญจน์นี่ จ๊ะพี่ น้องเขายังไม่เคยมา ก็จะได้พาไปดูสะพานข้ามแม่น้ำแควด้วยค่ะ ถ้าหิว ก็บอกให้แวะทานก่อนได้นะคะ แต่ที่โรงงานวุ้นเส้น ห้องน้ำสะอาดน๊า เออ ย้ำจัง รู้แล้ว ห้องน้ำสะอาด ๕ ๕ ๕ ... ก็จริงนี่นา ห้องน้ำสะอาด เรื่องห้องน้ำนี่ เรื่องใหญ่เลยนะพี่
ฮัลโหล ตอนนี้เป็นไงบ้าง อยู่ไหนกันแล้วครับ หมอโทรมาเช็ค นครปฐมแล้วค่ะเราตอบ โอ้ ถึงนครปฐมแล้วเหรอ เพิ่งจะแปดโมงนิด ๆ เอง อื้อ ! ก็ครบคนแล้ว ส่วนหมอ อย่าลืมเหน็บคุณครูใหญ่ ฯ มาด้วยนะคะ ครับ ๆ ได้ครับ เสียงหัวเราะเล็ดลอดมาตามสาย ประมาณเกือบเก้าโมง พวกเราก็มาถึงจุดพักแรก คือโรงงานวุ้นเส้น (ห้องน้ำสะอาด) พวกเราลงไปยืดเส้นยืดสายและทานข้าว อาหารที่นี่ไม่แพง มีผลไม้และผักสดจำหน่ายอีกด้วย เรามองมะละกอทรงแตงโม ด้วยความประหลาดใจ มะละกอมันกลมดิ๊กขนาดนั้น รสชาติจะเป็นไงนะ พี่พระจันทร์เศร้าสนใจผักไร้สาร พอเราเดินไปดูด้วย พี่จิ๋งก็อธิบายยืดยาวราวกับนักโภชนาการ และซื้อติดรถไปด้วยหลายกำ ส่วนเราก็ซื้อขนมไปเพิ่มแคลอรี่ หนำซ้ำ ช่วงที่เราเผลอ พี่จิ๋งย่องไปซื้อมะละกอกลม มาลองให้ชิมเสียด้วย เอาล่ะ .. อิ่มท้องแล้ว ก็เดินทางต่อ จุดแรกที่พาไปเที่ยวชมคือสุสานทหารพันธมิตร นี่ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาเยือน และไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกัน ที่เรารู้สึกสลดหดหู่ต่อชะตากรรมของพวกเขา ภาพของเชลยศึกผุดขึ้นมาในสมอง ยิ่งทำให้เรายิ่งเศร้าเข้าไปอีก พวกเขาต้องจากดินแดนถิ่นเกิดและต้องมาทอดร่าง ณ ถิ่นนี้ .. เรายืนไว้อาลัยแด่พวกเขา ในความหวังที่ดูเหมือนจะริบหรี่ .. เราหวังว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้อีก โลกที่ไร้สงคราม โลกที่สงบสุข ... เราได้แต่ปรารถนา
ไม่มีใครจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่เช่นบุรุษผู้นี้อีกแล้ว ซึ่งเขายอมได้แม้กระทั่งพลีชีพ
ในขณะที่เราเดินอ่านคำไว้อาลัยของแต่ละป้าย ซึ่งบางป้ายก็สะกิดใจเราจนน้ำตาคลอ เราเห็นพี่พระจันทร์เศร้ากำลังแปลแต่ละชุดให้ทะเลใจฟัง ..พลันสายตาของเราไปหยุดอยู่ตรงที่เด็กน้อยคนหนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าเธอจะอ่านได้หรือยัง แล้วเธอจะรู้ความหมายของความตายไหม .. เราเห็นเธอยืนเพ่งอย่างพิจารณา ในความคิดของเรา .. เธออาจจะค้นหาผู้ร่วมสกุลของเธออยู่ ก็เป็นได้
เห็นสองแม่ลูกนี้เดินท่อม ๆ ดูเกือบทุกป้ายในแถว เราก็ใจแป้ว.. !! ตกลงว่า เขาจะเดินดูจนครบทุกป้ายหรือเปล่าหนอ จะได้ปูเสื่อนอนรอน่ะ .. ไม่ใช่ไรหรอก
พี่พระจันทร์เศร้ากำลังอธิบายถึงความหมายของคำว่า perpetual ..
ส่วนเรา .. มายืนยันอีกทีว่า พี่พระจันทร์เศร้าแปลได้ถูกเผง
ไม่ไกลสักเท่าไหร่ ก็เป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคว ในขณะที่เราจอดรถและยืนอ้อยอิ่ง ก็มีสาวสวยคนหนึ่งซึ่งมากับคนรัก เธอพยายามจะเปิดประตูรถของเรา..เรามองแล้วมองอีก.. ดีที่ประตูล๊อคเรียบร้อย แต่เธอก็ยังพยายามเปิดให้ได้ ขอโทษค่ะ แน่ใจนะคะว่านี่คือรถของคุณ เราเดินเข้าไปใกล้อีกนิด และถาม..จากประโยคดังกล่าว ทำให้เธอตกใจ และเขินทันที เมื่อรู้ว่า เธอจำรถผิดคัน เธอและคนรักของเธอ จอดรถถัดจากเราไปสองคัน รถไม่คล้ายกันสักเท่าไหร่ สงสัยว่า เธอคงใจลอย .. เฉพาะคุณ ไปกับเราได้นะ ฮา... เราไม่ซีเรียสนัก เพราะเรารู้ว่า เธอจำรถผิด จึงแซวให้บรรยากาศสนุกสนาน เธอส่งยิ้มหวานมาให้ ส่วนคนรักของเธอ คงล้อเธอไปตลอดทาง พี่พระจันทร์เศร้าของเราต้องมนตร์ร้านขายของที่ระลึกเสียแล้ว เห็นไปตีซี้กับหนุ่มเจ้าของร้าน ซึ่งก็มีการนัดแนะเรียบร้อยว่า ขากลับจากเดินชมสะพานแล้วจะแวะมาดูของที่ระลึกอีกที อั่นแน่ !! มือวางอันดับหนึ่งแห่งบ้านกลอนไทย ตัวจริง เสียจริง .. พี่พระจันทร์เศร้านี่เอง เดินดี ๆ นะพี่ เราเตือนพี่พระจันทร์เศร้า ส่วนทะเลใจก็เดินตามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ (แอบบ่นว่าเสียว) ยิ้มหน่อย พี่ นั่นแหล่ะ เดินตรงกลางนะคะพี่ กันพลาด ข้ามไปอีกฝั่งจะมีร้านขายของที่ระลึก ต้องเช็คราคาดี ๆ นะพี่ ไปดูช้างกัน นั่น ดูนั่นสิ นกยูง อูย สวยจัง เออนี่ มาถ่ายรูปตรงนี้ด้วย โห นี่เนี่ยนะ ที่จะให้ถ่าย นั่นล่ะ เอาไว้ไปตั้งคำถามเล่นๆว่า ไอ้ที่อยู่ในถุง มันคืออะไร ก๊าก .. ก่อนขึ้นรถกลับ พี่พระจันทร์เศร้าก็ได้โมบายแขวนเป็นรูปพระจันทร์หนึ่งชุด เราเองก็มองโมบายนก อยากซื้อเหมือนกัน แต่นกที่เป็นแก้ว ปากยาว จนเราคิดว่า เราหอบของตั้งแยะ เผลอๆ ได้โมบายนกปากหักไปล่ะ แย่เลย..
เขาบอกว่า เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด จริงนะ เห็นด้วย .. เพราะไม่เห็นมีหมาสักตัวบนสะพานนี้เลย
ภาพขวาสุด..ตลกจัง เหมือนภาพสามมิติเลย กลัวหัวจะยื่นออกนอกจอ อ่ะ ส่วนสองสาวที่เดินแจกยิ้ม นั่นเป็นแค่แบล็คกราวน์
พี่จิ๋ง หันมาหน่อยสิ อะไร หันทำไม จะถ่ายรูปคู่กับหนุ่ม ๆ ให้ แหม๊ เลือกหนุ่มทั้งที ทำไมกระหร่องอย่างนี้ โห พี่จิ๋ง เดี๋ยวเขาได้ยินนะ
ถึงตอนนี้ .. พวกเราเดินมายังอีกฝั่งของสะพานข้ามแม่น้ำแคว ทะเลใจยืนอ้อยอิ่งอยู่ที่นั่น นัยว่า มุมนี้แหล่ะพี่ ช่วยถ่ายรูปให้ที
ถ้ากล้องดูดกลิ่นได้ก็ดีสินะ จะได้มีกลิ่นมาแบ่งๆกันดม
น้องช้างเพิ่งอายุ ๖ ขวบเอง พี่เอม อย่ารังแกน้องช้างนะคะ
แยกออกกันมั๊ย ว่าไหนคน ไหนช้าง ??
เจ้านกยูงตัวนี้ มันอวดรำแพนหางด้วยนะ แต่เราคิดว่า รูปนี้สวยกว่า หางที่มันรำแพน มันแผ่แล้วลายไม่เต็มแผงน่ะ
มายืนจองคิวตั้งนาน กว่าจะได้ถ่ายกับตอร์ปิโด ไม่ได้นา .. นานแค่ไหนก็รอ นี่เป็นจุดขายของสะพานข้ามแม่น้ำแคว
ต้องเร่งทำเวลาสักนิด นี่ก็เที่ยง .. จุดต่อไปของพวกเราก็คือ สันเขื่อนศรีนครินทร์ พามาสันเขื่อนทำไมเนี่ย ดูเขื่อน ยังไง มันก็เป็นเขื่อน ทิวทัศน์สวยนะพี่ พี่ทำงานเกี่ยวกับกรมน้ำ ดูเขื่อนมาไม่รู้จะกี่เขื่อนต่อกี่เขื่อนแล้ว เอาน่า ทะเลใจยังไม่เคยเห็นนะพี่ เดี๋ยวขับรถเข้าไปวนดู ตกลงว่าจะทานมื้อเที่ยงที่นี่เลยมั๊ย อืม ก็ดี แวะไปดู เผื่อว่า ทางน้ำตกเอราวัณที่ทางไม่สะดวกเท่า
มีอะไรให้ดู เขื่อนนี่ เอาน่า พี่ ในหนังสือเขาบอกว่าทิวทัศน์สวยงามนะ โอ๊ย เห็นมาสารพัดเขื่อน มันก็เหมือน ๆ กัน แต่ตรงนั้นไม่มีเรา นะ พี่
**ปลาทับทิมทอดกระเทียม ยำเห็ดหูหนูขาว ผัดผักคะน้า+ปลาเค็ม ต้มยำปลายี่สก ข้าว 1 โถ เป๊บซี่**..ตอนสั่งอาหาร กำลังหิวได้ที่พอดี ผัดผักมาถึงก่อน พร้อมข้าว จากนั้นก็ต้มยำ ท้ายสุดที่ต้องตะลึง..ปลาทับทิม.. อุแม่เจ้า ปลาตัวนี้คงเกือบสองกิโลกระมัง .. พวกเรานั่งมองหน้ากันเลิกลั่ก แต่เรารู้ว่า สิ่งที่อยู่ในใจของทุกคนก็คือ จะกินหมดมั๊ยเนี่ย.. ใช่แล้ว มันเกินกำลังและพื้นที่ในกระเพาะ และด้วยความประหยัด (งกมั๊ง) อาหารที่พอจะเก็บเป็นเสบียงมื้อถัดไป (ไม่อยากบอกเลยว่า ของเหลือ) พวกเราให้เขาจัดใส่ห่อ ปลาทับทิมทอดตัวเบ้อเร่อ เหลือครึ่งตัว ผัดผักก็เหลือ ส่วนอีกสองอย่าง ก็พยายามวิดเข้าท้องจนหมด ...ไม่ไหว ไม่ไหว .. แน่นไปหมด มองหาอีโน ก็ไม่มี พวกเราเดินชมสวนดอกไม้โดยรอบ ...ก่อนจากมา ก็สั่งอาหารเพิ่มใส่กล่องไว้เผื่อสำหรับมื้อเย็น ( กลัวอด... ได้แต่อยาก)
เฮ้ .. อยู่ไหนกันแล้วจ๊ะ เสียงสาวสวยลอยมาตามสาย ตอนนี้เหรอ ทานข้าวเที่ยงอยู่ที่สันเขื่อนน่ะ กี้อยู่ไหนแล้วเอ่ย เข้าเมืองมาแล้วล่ะ ดีจัง งั้นเดี๋ยวเราไปเจอกันที่น้ำตกเอราวัณนะ จะไปถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ยากเลย มีป้ายบอก เดี๋ยวเจอกันนะ จ้า ... เที่ยวถึงไหนกันแล้วครับ เสียงทุ้มนุ่มจากอีกปลายสายโทรศัพท์ กำลังจะไปน้ำตกเอราวัณค่ะ เมื่อตะกี้ เดินเที่ยวสันเขื่อนและสวนดอกแถวนี้ หมออยู่ไหนแล้วคะ ผมอยู่ท่ามะกาแล้วครับ ดีเลย งั้นก็ประมาณเวลาเดิมที่ท่าสนุ่น นะคะ จะไปรอที่นั่น ตะกี้ กี้ก็เพิ่งโทรมาเข้าตัวเมืองกาญจน์มาแล้วค่ะ ไม่ต้องกังวลนะครับ เที่ยวรายทางไปก่อน ค่ะหมอ เดี๋ยวเจอกัน
ด้านหลังเป็นนาฬิกาแดด ค่อนข้างเที่ยงตรงทีเดียว ทั้งที่มันเป็นเวลาบ่าย
ผู้จิ๋ง เอ๊ย ผู้หญิง กับดอกไม้งาม เป็นของคู่กัน
ภาพมุมไกล จากร้านอาหาร
สะพานเล็ก ๆ พาไปสู่สวยหย่อมบริเวณสันเขื่อน
ซูมภาพมาอีกนิด ก็สวยไปอีกแบบ
ล ะ ล า น ต า
ดารดาษแดงประทับประดับช่อ ลานลออชมพูพราวและขาวสด เลื่อมลดาค่าพอชะลอพจน์ พเยียยศยั่วพยางค์ให้วางมา ร้อนรุ่มสุมไล่หัวใจจี้ อาจดับด้วยมาลีอันมีค่า เพื่อเยือกเย็นเหยาะลงตรงอุรา ทุกดอกแห่งบุปผาล้วนสมบูรณ์ ชบาไพรไร้กระถางกลางกระท่อม อาจมิหอมเช่นกุหลาบใช่สาบสูญ ค่าแจกันกุก่องอาจกองกูณฑ์ หากจรูญกลับจรายหัวใจเรา กลิ่นจรุงฟุ้งหอมดอมด้วยจิต หากแค่พิศเพียงผาดประกาศเขลา ด้วยคุณค่าน้อยใหญ่ใช่ยิ่ง-เยาว์ มากแง่เงางดงามควรตามดู
บนกองดิน ยังมีดอกไม้สีขาวพราวตา .. เราคิดถึงเรื่องบางอย่าง
รูปนี้เราชอบนะ .. มองเห็นเป็นมุมลึกได้ดี
เราเห็นทะเลใจ เดินเก็บรูปดอกไม้ เขาว่ากันว่า คนที่ชอบดอกไม้ หัวใจจะละเอียดอ่อน .. จริงหรือไม่ คงต้องถามเจ้าตัวกันเอง
ศาลาที่เห็นในด้านขวา มีเชือกไว้สำหรับดึงเข้าหาฝั่ง ก็ว่าจะ ว่าจะ .. ทว่ากลัวเชือกขาด ลอยเท้งเต้ง ล่ะ คงยุ่งพิลึก
เห็นเรือนแถวบ้านพักของ กฟผ. แต่ไกล.. บรรยากาศดี ๆ อย่างนี้ .. น่าสนนะ ไม่แน่นา .. วันดีคืนดี อัลมิตราจะย่องมาอีก
ภาพนี้ ภาพที่ท้องฟ้าเหมือนริ้วทราย มองอีกที ก็เหมือนระลอกคลื่นทะเล
รูปนี้ เพื่อนร่วมทางคนหนึ่งกล่าวกับอัลมิตราว่า .. "ชอบ"
ร้านอาหารนี้ อยู่ในบริเวณของสันเขื่อน .. นี่ก็ยังงง กับราคาอาหารไม่หาย ปลาทับทิมทอดยักษ์ตัวนั้น เพียง 150 บาท รวมมื้อเที่ยงทั้งหมด ก็เพียง 573 บาทเท่านั้น ทานตั้งหลายคน อิ่มขนาดที่เรียกว่า .. "ช่วยใส่ถุงให้ด้วยค่ะพี่ น้ำจิ้มขอแยะ ๆ นะคะ"
วันนั้นอากาศดีนะ ตั้งแต่เช้ามารู้สึกว่าแดดจะไม่มี เอ..แดดไปไหนหว่า ( คิดในใจ ) ใครล่ะจะไปคาดว่า จะมีฝนตกปรอยตอนที่เราไปถึงน้ำตกเอราวัณ ตอนที่ชำระค่าผ่านด่านนั้น เจ้าหน้าที่ก็แจ้งให้ทราบว่า จะปิดทำการห้าโมงเย็น ตอนนั้นก็บ่ายสามแล้ว แต่เอาเถอะ นัดกับกีกี้ไว้ที่น้ำตก ลงไปเดินโต๋เต๋หน่อยจะเป็นไรอย่างดีก็กินข้าวลิงที่นั่นสักคืน เสบียงเราก็ขนมาตั้งแยะนี่นา .. ฮา
พวกเรานั่งคอยให้ฝนซา ไม่นานนักฝนก็ซา จากนั้นพวกเราก็ลงเดินไปที่น้ำตก เห็นป่าไผ่อยู่ข้างทาง ได้กลิ่นหอมๆของดินด้วยนะ ดีจัง อากาศหลังฝนตกนี่ เยี่ยมไปเลย..ที่น้ำตกนี่ คนแยะ แอ่งน้ำตกยังมีฝูงปลาว่ายไปมาให้เห็น ราวกับว่า มันไม่สนใจคนสักเท่าไหร่..ช่วงนั้นสัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยจะมี สักพักกีกี้โทรมาบอกว่า มาถึงแล้ว จอดรถเรียบร้อย แต่คงไม่เดินเข้า..เราก็เลยนัดว่า เจอกันที่ป้ายน้ำตกละกัน เดี๋ยวบันทึกภาพเป็นที่ระลึกสักหน่อย
ในขณะที่พวกเรายืนเต๊ะจุ๊ยเป็นนางแบบ นายแบบกันนั้น หมอก็ยิ่งใกล้พวกเราขึ้นมาทุกที..พวกเราจำต้องเคลื่อนพล ไปยังท่าสนุ่น หมอโทรมาบอกว่า หากเจอที่ขายปลา ให้ซื้อปลาด้วย..ปลาอะไรของหมอนะ เราคิดว่าจะเจอตลาด ไม่เจอแฮะ .. ที่ไหนได้ เขาขายปลากันให้รึ่ม แต่เราไม่รู้..เขาจะมีถังแช่ไว้ที่หน้าบ้าน ในความคิดของเรา เราคิดว่าต้องวางปลาอวดสลอนบนแผงน่ะ .. เซ่อจังแฮะ
แต่ที่ท่าลงแพมีร้านขายของชำ และทางร้านเขาก็มีขายปลาด้วย ดีนะ ..ที่ไปถามเขาว่า ถังอะไร เขาก็บอกว่าปลา...เขาขายปลา .. เราดีใจมาก อย่างน้อย เราก็จะมีปลาแล้วเฟ้ย ..จากนั้น ก็รีบโทรไปบอกหมอ ตอนนั้นหมอขึ้นเส้นศรีสวัสดิ์มาแล้ว ไม่ไกลจากเราสักเท่าไหร่..หมอบอกให้ซื้อปลา .. เอาล่ะสิ ปลาอะไรดี ? แหม๊ หมอนี่ น่าตีจัง ปล่อยให้เราคิดเอง..สุดท้ายก็ซื้อปลากด(ยักษ์) มาสองตัว ปลาที่นี่ สงสัยจะพันธุ์ยักษ์ ตัวโตนักเชียว
พวกเรารอหมอที่นั่นประมาณสิบห้านาที ช่วงที่รอ ก็ชมวิวไปเรื่อย บางคนก็ทานไอศกรีม..นี่ ยังไม่นับอีกบางคนนะ ที่นั่งจิบเบียร์รอไปเรื่อย ระยะทางไกลแค่ไหนก็ไม่ใช่อุปสรรค ๕๕๕..รถอันกะติ๊ดของหมอสีแดงแปร๊ด พอเลี้ยวโค้งเข้ามา จึงเป็นจุดให้สังเกตุง่าย พวกเราเดินไปหา พร้อมกับทักทายไปยังคุณครูใหญ่ด้วย ตื่นกี่โมงเนี่ย ครูใหญ่ฯ ผมตื่นเช้านะครับ อั่นแน่ อั่นแน่ .. ตื่นมาแล้วนอนต่อเหรอ โทรมเชียว เสียงของคนที่จิบเบียร์ตะกี้ ทักครูใหญ่ สวัสดีครับพี่ แหม ผมมาไกลนะครับ พอหอมปากหอมคอ .. (เอ๊ะ ! ใครกะใครหอมกัน) จากนั้นพวกเราก็ลงแพข้ามฟาก ..ไม่อยากบอกเล้ย ช่วงกลางวันเราโม้ไว้แยะ อยากรู้มั๊ยล่ะว่า โม้อะไรบ้าง ที่ท่าสนุ่น เราจะไปถึงนั่นช่วงเย็น พระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ เลื่อนลง มองเห็นจากซอกภูเขาจะสวยมาก ท้องน้ำจะเป็นสีทอง คิดดูนะพี่ พระอาทิตย์ค่อย ๆ เลื่อนลง สลับกับพระจันทร์ที่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้น สุดยอดเลย เคยเห็นมาเหรอ มีเสียงลอย ๆ ถามมาในตอนนั้น เปล่าค่ะ หมอเคยเล่าให้ฟัง ที่เหลือ โม้เพิ่มอ่ะ ๕๕๕
เส้นขอบฟ้าสิ้นสุดตรงจุดไหน เหมือนหัวใจร้องถามนิยามนั่น น้ำกับฟ้าประหนึ่งซึ่งผูกพัน แต่กรอบกั้นทำให้ห่างอย่างเคยเป็น
แล้วไงล่ะ วันทั้งวันก็ไม่เห็นพระอาทิตย์ แล้วจะเอาพระอาทิตย์ที่ไหนมาค่อย ๆ หล่นปุ๊ ลงทะเลสาป นี่ ๆๆๆ แล้วคืนนี้จะเห็นดวงจันทร์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ฟ้าออกจะครึ้มขนาดนั้น เสียราคาคุยหมดเลย .. เฮ้อ !!
พวกเราอยู่บนแพขนานยนต์ ใช้เวลาในการข้ามฟากประมาณ 20 นาที ทะเลสาปแห่งนี้ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาสลับ เท่าที่สอบถามมา แพขนานยนต์เปิด 24 ชั่วโมง มีรถข้ามฟากตลอดทั้งวันทั้งคืน เหมือนกัน สำหรับพวกเรา ไม่ได้ใช้เวลานานเลยในการรอข้ามฟาก
บนแพขนานยนต์ เราพบสิ่งนี้อยู่มุมซ้ายด้านหน้า เขาเรียกว่าแม่ย่านางเรือ หรือเปล่าก็ไม่รู้ เหมือนศาลเล็ก ๆ ไว้เป็นที่สักการะของชาวเรือ เท่าที่มองด้วยสายตา เรารู้สึกถึงความขรึมความขลัง
ภาพท้องน้ำ ที่ อ.ศรีสวัสดิ์ มองเห็นเกาะเล็ก เกาะน้อย โดยมีเทือกเขาอยู่ด้านหลัง เราสงบใจอย่างประหลาด
ถึงแม้ว่าเราจะไม่เห็นพระอาทิตย์ตกน้ำ .. แต่ภาพที่เห็น ทำให้เรารู้ว่า .. ยังมีความงามของสนธยาที่ซ่อนอยู่
อ่า !!! ... ถึงแล้ว แพAmezon พวกเราช่วยกันขนสัมภาระลงแพ ที่สำคัญผ้าห่มเหม็นๆของเรา เราก็หนีบลงแพด้วย ..จากนั้นก็เดินสำรวจแพ แพเป็นแพสองชั้น ชั้นบนแบ่งส่วนเป็นห้องนอนได้สองห้อง ..แต่ละห้องมีเบาะใหญ่วางเรียงไว้ ทั้งหมอนและผ้าห่ม ก็เตรียมให้พร้อม ที่สำคัญ สะอาดมาก..หน้าต่าง ที่เรา ๆ เคยคุ้นตาว่าเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ในห้องนอน หน้าต่างเป็นวงกลม..เรามองแล้วคล้ายกับเขาเอาส่วนของถังใบใหญ่มาทำเป็นกรอบหน้าต่าง ส่วนบานหน้าต่าง ยิ่งทำให้ขำไปใหญ่ .. เรานึกถึงผีกระหังทันที ก็กระด้งฝัดข้าวไง ที่เขาทำเป็นหน้าต่าง
มีระเบียงอยู่ทั้งสองด้าน พร้อมกับมีเก้าอี้ผ้าใบกางเตรียม ลองนึกภาพตามละกัน ส่วนชั้นล่าง ก็เป็นแบบนี้นะ เอางี้ละกัน ขอแบ่งส่วนเป็นสามส่วน ... ส่วนหน้า จะเป็นโต๊ะอาหารใหญ่ สองโต๊ะ มีพื้นที่เหลืออีกกว้าง มีถังแช่ใหญ่ พร้อมสรรพ ถังแช่ที่ว่าใหญ่แล้ว เมื่อพวกเราบรรจุอาหารสดลงไป ดูแล้ว มันก็ไม่ใหญ่.. เราคิดว่า มันน่าจะเป็นอาหารสำหรับสักสามวันมากกว่า ไม่น่าจะแค่สามมื้อ .. ส่วนกลาง เหมือนเป็นส่วนของบ้าน มีเครื่องเสียงคาราโอเกะ อั่นแน่ ไม่เบา .. มีโน๊ตบุ๊ค มีส่วนของเครื่องยนต์บังคับเรือ(แพ) ตรงนี้ เขาก็เตรียมที่นอนให้ด้วย แจ๋วแฮะ ดนตรีมีพร้อม เรามองเห็นเบ็ดตกปลาวางอยู่ที่มุมห้อง .. โอ้โห .. นี่นะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นวันพระ คงได้สนุกกัน เสื้อชูชีพและห่วงยาง เขาแขวนไว้เป็นจุด ๆ ให้เห็นได้ชัด เราเล็งไว้แล้ว คาดว่า ไม่พลาดแน่ หากเกิดกรณีฉุกเฉิน ส่วนท้ายของเรือ ก็จะเป็นส่วนของครัว ห้องน้ำ และบริเวณซักล้าง ...อุปกรณ์ครัว เตาถ่านใหญ่ สองเตา เตาแก๊สอีกหนึ่งเตา หม้อ กะทะ จาน ชาม ช้อน ....เพียบ จุดสำคัญที่สุดคือห้องน้ำ .. เราย่องไปสำรวจเป็นจุดแรกเลย ตอนที่ลงแพมา สะอาดมาก ๆ เราคิดว่า เราตัดสินใจถูกนะ ที่เลือกแพลำนี้ .. ทุกอย่างดูครบครัน และที่สำคัญ เจ้าของอัธยาศัยดี ตรงนี้ พี่พระจันทร์เศร้าคงการันตีให้ .. ใช่ป่ะ พี่ ๕๕๕ ... ยังไม่เท่านั้นนะ ยังมีสปีดโบ๊ตและเรือพาย ผูกติดมากับแพด้วย .. สนุกล่ะ ทีนี้
คนละไม้ คนละมือ ..เตรียมโน่น จัดนี่ .. หันมาอีกที แทบตกใจ โต๊ะอาหารที่ว่าใหญ่แล้ว ดูเหมือนพื้นที่จะไม่พอให้เราวางอาหาร มื้อนี้ต้องบอกว่า ทานกันแทบแย่ เราน่ะ..ทานจนกระทั่งก๊อกสองก็แล้ว ยังจุกเลย เดี๋ยวนึกก่อนว่ามีอะไรบ้าง ... อด ๆ อยาก ๆ เต็มทน .. ต้มยำปลายี่สก (2) ปลารากกล้วยทอด (2) ปลาคังลวกจิ้ม (2) ปลาทับทิมยักษ์ (ที่เหลือ) คะน้าปลาเค็ม(ที่เหลือ) แกงคั่ว (2) แจ่วบอง น้ำพริกหนุ่ม + แคปหมู น้ำพริก+ปลาทู+ผักลวก+ผักสด+เครื่องเคียง หมี่กรอบ แกงจืด ... เอ ครบหรือยังหว่า ที่รู้ ๆ คือ เราทานไม่ครบ ... แพก็เลื่อนล่องไปเรื่อย เราเห็นหนุ่มน้อยเอาไฟฉาย ฉายพื้นน้ำ ฉายทำไมหว่า ดูอะไรกัน ได้คำตอบมาว่า ดูตอน้ำ ตรงนี้เมื่อก่อนมันเป็นภูเขา เป็นป่า มันมีต้นไม้ในน้ำ มืดอย่างนี้ เดี๋ยวแพจะชน ..อืมม.. ก็ได้ความรู้มาอีกอย่าง ฝนเริ่มตกปรอยอีกหน เราเคยฟังเสียงฝนที่บ้านสวน มาคราวนี้ ได้ฟังเสียงฝนบนเรือนแพ .. มันเป็นความรู้สึกที่ยากบรรยายนะ เราเอง มีโอกาสน้อยมาก ที่จะอยู่ในภาวะเหตุการณ์นั้น .. ความสุขมีอยู่โดยรอบ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หาได้จากเพื่อน ๆ ที่ไปด้วย ความสุขเช่นนี้.. ความสุขที่ทำให้ความเหนื่อยล้าที่สะสม ถูกปลดเปลื้องไป
พี่พระจันทร์เศร้าเปรยว่า ทุกมื้อ .. ไอ้อิม มันต้องอิ่มเป็นคนสุดท้าย โธ่พี่ ก็มันยังเหลือนี่นา เสียดายของ .. แกงนี่ก็เหมือนกัน พี่จิ๋งซื้อมาแล้วไม่กิน ก็ซื้อให้พวกเอ็งกินไง ป๊าดธ่อ พี่ .. ก็ดูสิ คนอยากซื้อ ก็ซื้อจัง คนกินก็ไม่มี .. ต้มยำก็อีก บางอย่างที่เก็บได้ ก็เก็บ บางอย่างที่มันจะบูด ก็ให้มันบูดในท้องละกัน ถ้าไม่หมด .. ไม่ลุกหรอกพี่
ตอนนี้คาราโอเกะ ก็เริ่มบรรเลงแล้ว หันไปดูก็เห็นทะเลใจกำลังทำซึ้งกับไมโครโฟน สักพัก พี่พระจันทร์เศร้าก็เข้าไปร่วมร้อง แต่เพลงที่ร้อง ไม่ยักจะร่วมสมัยสักเท่าไหร่ .. ครูใหญ่ฯของเรา ก็ใช่เบา ร้องเพลงรักแท้ในคืนหลอกลวง และ ใจสารภาพ ทำเอาหัวใจของคนวัย 24 -25 ละลาย .. ๕๕๕
คนร้องเพลงก็ร้องไป คนทานก็ทานไป นี่ยังมีขนมอีกเยอะ ที่ไม่รู้ว่าจะซุกตรงไหนของพุง บางคนเริ่มจิบน้ำผลไม้ บางคนเมามายรัก .... เฮ้ย .. ไม่ใช่ บางคนเมามายบรรยากาศต่างหาก หมอคะ ครับ ฝนตกอ่ะ ครับผม ฝนตก ว้า !! .. ทำไมล่ะครับ คืนนี้ไม่มีจันทร์ ๕๕๕ นึกว่าจะชวนคุยอะไร ฟ้าปิดออกอย่างนี้ ดีไม่ดี ฝนตกยันเช้าครับ แย่เลยเนี่ย อุตส่าห์โม้ไปแยะ ก็ไม่เป็นไรนี่ เขียนเติมเองได้ ดูนั่นสิ พระจันทร์เศร้าร้องเพลง จันทร์ไม่หายหรอกครับ
สักพักเมื่อเรารู้สึกว่า เราไม่สามารถลำเลียงอาหารสู่กระเพาะได้อีกแล้ว เราจึงตามไปสมทบกับดาราคาราโอเกะ ให้ตายเหอะ .. ทำไมไม่เขินกันนะ สงสัยฉีดวัคซีนกันโรคกลัวไมค์กันเรียบร้อยแล้ว ...ฮา ค่ำคืนที่ยาวนาน.. รัตติกาลที่มีแต่เรา.. ความเหงาที่ผ่อนคลาย.. สหายร่วมชะตา.. เรามีความสุขมาก คืนนั้นนอนฟังเสียงฝนเปาะแปะกระทบหลังคาจนผล็อยหลับไป อากาศเย็นสบาย หัวใจอบอุ่น .. รุ่งเช้า เราตื่นขึ้นมา ฟ้าแจ้งแล้ว ทั้งที่เป็นเวลาแค่หกโมง เราได้ยินเสียงนกพูดคุยกัน เราได้กลิ่นป่าชื้น .. เสียงก๊อกแก๊กจากด้านล่าง แสดงว่ามีคนตื่นบ้างแล้ว เราลงไปชั้นล่าง ไปล้างหน้าแปรงฟัน ( คิดเหรอ ว่าจะอาบน้ำ)
อรุณสวัสดิ์ค่ะ หมอ ทำอะไรเอ่ย ข้าวต้มปลาไงครับ ปลากดที่ซื้อเมื่อวานเหรอ ม่ายช่าย ข้าวต้มปลากระพง ยี้ !! มีปลากระพงมาแล้ว ยังมาบอกให้ซื้อปลาเพิ่มอีก ก็เคยสัญญาไงครับ ว่าจะทำข้าวต้มปลากระพงให้ทาน ปลาเตรียมนี้ผมเตรียมมา น่าตี น่าตี แล้วก็เพี๊ยะนึงไปที่ต้นแขน เดี๋ยวปลากดเอามาผัดเผ็ดก็ได้น่า .. ตอบเสร็จ หมอก็หัวเราะ เราเดินไปด้านหน้า จัดการเก็บถ้วยชามมาทยอยล้าง ครูใหญ่ก็แปลงกลายเป็นภารโรงทันที ช่วยกันกับเราล้างจานชาม น่ารักจัง.. เพื่อนคนอื่น ๆ เริ่มทยอยกันตื่น จะว่าไปแล้ว ขนาดไปจัดเก็บมาบ้างแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่า บนโต๊ะอาหาร ยังมีอาหารแออัดอยู่เลย
หมอกำลังจัดการกับปลากระพง ท่าทางที่ถือมีดแล่ ทำให้อัลมิตรานึกภาพถึง ตอนที่หมอกำลังจะผ่าตัดคนไข้ .. บรื๋อส์ !! ไม่เอานา .. เราไม่อยากเจอกับหมอ ที่ห้องผ่าตัดน่ะ
อ้อ ! ลืมบอกไป จุดที่ผูกแพไว้เมื่อคืน เป็นเกาะร้าง ชื่อเกาะม้านอน ประมาณเจ็ดโมงกว่า ๆ แพก็ล่องไปยังน้ำตกแม่ห้วยขมิ้น .. ขณะที่เรือล่องอยู่นั่น พวกเราก็เสวยพระกระยาหารเช้า .. ฮา แพจอดอยู่ห่างจากท่า แล้วทุกคนก็ลงเรือสปีดโบ๊ต เพื่อเข้าเทียบท่าของน้ำตกแม่ห้วยขมิ้น ไอหมอกยังคงอ้อยอิ่งอยู่ทั่วไป เราส่งเสื้อชูชีพให้พี่พระจันทร์เศร้าและทะเลใจ ..เตือนกันว่า อยู่ใกล้น้ำ อย่าประมาท !! น้ำใสมาก จนมองเห็นต้นไม้ที่อยู่ในน้ำ บางจุดก็มองเห็นโขดหินใต้น้ำ เจ้าของแพพาพวกเราไปส่งขึ้นท่า แล้วบอกว่า อีกสามชั่วโมงจะมารับ ถึงตอนนี้ พวกเราไม่แต่ขนมติดตัวกันคนละนิดละหน่อย เงินไม่ได้พกมา พากันเดินเกาะแม่เลี้ยงพระจันทร์เศร้าขนาบหน้า ขนาบหลัง หอมจัง ผลอะไร รู้จักไหมคะ ครูใหญ่ เราถามครูใหญ่ซึ่งเดินอยู่ข้าง ๆ มะเดื่อครับ ผลแดง ๆ ที่ร่วงจะหอม อื้อ .. หอมจัง
ตรงนี้ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นชั้น 3 ของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เบื้องหลัง น้ำเย็นเฉียบ .. แค่แช่น้ำครึ่งตัว ยังแทบแย่เลย สิบอกให้
เราเดินไต่ขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ แวะหยุดพักตามทาง ความตั้งใจแรก ก็คือ จะไปให้ถึงชั้นบนสุด ซึ่งมีอยู่ ๗ ชั้น พอถึงชั้นที่ ๕ ก็มีบางคนเริ่มโยเย น่านะพี่ อีกสองชั้นเอง ไหน ๆ มาทั้งทีแล้ว ก็ให้สุด ๆ ไปเลย พวกเอ็งจะไปก็ไป ข้าจะนั่งตรงนี้แหล่ะ มีปัญญาก็แซะข้าไป ว่าแล้วก็นั่งปุ๊กตรงโคนต้นไม้ งั้นเราเดินลงไปชั้น ๓ กัน ตรงนั้นมุมสวย มีแอ่งให้เล่นน้ำ ทุกคนเห็นด้วย ความจริง เราน่ะ เมื่อยแสนเมื่อย แต่ก็ทำฟอร์มชวนเดินต่อไปซะงั้น น้ำค่อนข้างเย็น เราลงไปแช่อยู่นานสองนาน ก็ยังทำใจไม่ได้เลย ท่อนล่างแช่น้ำ ท่อนบนยังไม่เปียก ขนก็ลุกซู่เป็นระยะด้วยความหนาว พอขนลุก ก็เอาน้ำลูบ สักพักพอแขนแห้ง ขนก็ลุกอีกล่ะ ... บ้าตาย ขากลับเราเดินล้าหลัง เพราะรองเท้าเปียก จึงเดินไม่ค่อยถนัด
เอ ... สงสัยจะเป็นชั้น 4 เอาน่า .. ผิดนิดผิดหน่อย ก็คงไม่เกิน 5 หรอก
ขากลับ เราขับสปี๊ดโบ๊ต ( เชื่อกันได้ เป็นตุเป็นตะ) หมอซึ่งขอเฝ้าแพ (สงสัยแอบงีบต่อ) ก็บอกว่าอย่าเพิ่งขับมาเร็ว จะถ่ายรูปให้ ..เออแน่ะ !! ความคิดเข้าท่าแฮะ
เอาอีกล่ะ มื้อกลางวัน.. ปีกไก่บนสองกิโลที่หมักเครื่องไว้ ก็เริ่มลงสรงในกะทะ ส่วนปลากดก็จัดการผัดฉ่า ผัดผักกวางตุ้งน้ำมันหอย น้ำพริกกะปิ แจ่วบอง น้ำพริกหนุ่ม พร้อมเครื่องเคียงยังพร้อมอยู่ คราวนี้มีแกงจืดหม้อใหญ่ด้วย มีทั้งลูกชิ้น และปลา เราแอบแบ่งมาบางส่วน มาเพิ่มไข่ต๊อกลงไป มาเขื่อน แต่ก็มีซีฟู๊ดให้กิน .. ครูใหญ่กล่าวเหน็บได้อย่างน่ารัก กีกี้จัดการกับปลาหมึก ล้างผึ่งรอย่าง ส่วนเราก็ย่างกุ้ง ชุดแรกในถาด เราถือวิสาสะ เอามาชิมน้ำจิ้ม หมอก็ร่วมด้วยนะ ไม่รู้ล่ะ ต้องหาตัวหาร ปรากฏว่า ถาดแรก แค่ชิม ก็หมดตั้งแต่ในครัวเสียแล้ว หน่วยคิวซีชุดนี้ ถนัดชิมเสียจริง ทำไมมีพริกไทยสดล่ะ เราถามหมอ ผมเตรียมมาครับ หอมจังเลย น่าทานด้วย เวลาที่หมอยิ้ม ถ้าสังเกตุให้ดี จะเห็นลักยิ้มนิด ๆ และถ้าสังเกตุมากกว่านั้น จะรู้ว่า หมอชอบปิดตายิ้ม ..ฮา หมอคะ ครับผม หมอขานรับ ทั้งที่มือยังถือตะหลิว เสื้อตัวใหม่ อ๋อ ที่มีคนส่งมาให้หรือครับ อื้อ นั่นล่ะ .. แกะห่อจากพัสดุ ก็เอาลงแพ๊คกระเป๋าเลย ไม่ได้ซักด้วยค่ะ สวยครับ อาหารก็อร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะ
ถาดนี้ถูกหน่วย QC พิสูจน์รสชาติของน้ำจิ้ม
ปลากดผัดฉ่า .. ฝีมือหมอ เห็นแล้วหิวข้าวจังวุ๊ย
ปีกบนไก่ทอด .. น่ากินชะมัดเลย .. วู้ ยั่วพยาธิจังเรา
แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ผัดผักกวางตุ้งอยู่มุมบนติดภาพมาหน่อยเดียว ผัดผักนี้ พี่พระจันทร์เศร้าบอกว่า .. ผัดไฟฉ่าลุกเกือบติดเพดานเรือเชียวนั่น
ไม่ว่าจะเป็นผักลวก ผักสด ปลาทูตัวย่อม กับน้ำพริกกะปิ ที่เจ้าของแพจัดเตรียมไว้ต้อนรับพวกเรา มื้อนี้ ทั้งอิ่มและตื้นตันใจ .. แอบกระซิบบอกหน่อยว่า ปลาทูน่ะ ความจริงเขานับไว้แล้ว คนละตัว ทำไมเหลือสามตัว ใครที่ยังไม่ได้หม่ำ .. ต้องโดนปรับซะให้เข็ด.. ฮา ..
ถ้าคุณพ่อเทพมาเห็นเราหม่ำปลาหมึกแยะขนาดนี้ มีหวังโดนมะเหงกมาเขกกระโหลกแน่ ว่าแต่ว่า .. ห้ามปากโป้งบอกคุณพ่อเทพละกัน ฟามลับ ฟามลับ นะเฟ้ย
ยั่วน้ำลายให้ชัด ๆ อีกสักที
ของน่ากิน...อดอยาก..จังเยย.. ซ่อนจันทร์ริมสันเขื่อน..เพื่อนยามยาก มาร่วมกันอดอยาก..และหิวโหย กับข้าวมีต้องแบ่งปัน..กันร่วงโรย ร้องโอดโอยไม่อุ่นอิ่ม..ยามลิ้มลอง / ท่องเมฆา
หนึ่งในร้อยรอยทุกข์ที่ซุกอยู่ แทรกฝนพรูพรมไผทอันไพศาล ฟ้าจะสวยสดใสอีกไม่นาน หวังหัวใจเราจะผ่านความมืดมน
เราอ้อยอิ่งไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่แพค่อย ๆ เคลื่อนตัวกลับมายังท่าลงแพ เพื่อส่งพวกเรากลับถิ่น ..เหมือนเดิม .. คือทั้งวันนี้ เราก็ยังไม่เห็นดวงอาทิตย์ ท่าสนุ่น ท่าน้ำที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา ..ภาพเบื้องหน้าที่เห็นโทนสีฟ้าเทา เราเห็นเงาของภูเขาบนผืนน้ำ เป็นภาพสวยแบบเศร้า ๆ ..แต่เราก็ได้แต่หวังว่า .. สิ่งที่เราพกกลับมาเต็มหัวใจ คือความชื่นมื่น คือรักที่งดงามของเพื่อน พี่พระจันทร์เศร้าเริ่มโยเยอีกครั้ง พี่เขาบอกว่า .. ไม่รู้ล่ะ ก่อนแยกจากกัน ต้องกอดทีละคนด้วย โอย งั้นเชียวหรือพี่ เราอายหากต้องโดนปฏิบัติเช่นนั้น ดังนั้น เราจึงสำรวจทางหนีทีไล่ เผ่นดีกว่า ..กลัวติดใจอ่ะ
เก็บตกภาพหลังฝนปรอย ที่น้ำตกเอราวัณ .. ตกลงว่า ยังไม่ทันเห็นหัวช้างเลย ก็ต้องรีบเผ่น .. เวลาของวนอุทยานใกล้จะปิด .. กลิ่นหอมของใบไม้ และกลิ่นดินชื้น ๆ อบอวลไปทั่ว รูปนี้ พี่พระจันทร์เศร้า ยืนตรงแหน่ว ... พี่พี่ .. ยังไม่ถึงเวลาเคารพธงชาตินะพี่
มาจากแดนไกล หัวใจก็ยังไกล (อยู่ดีนั่นแหล่ะ) ภาพนี้อาศัยความครึ้มสักนิด .. เดากันสักหน่อยว่า หนุ่มเนื้อหอมคนนี้เป็นใคร หอมไม่หอมไม่รู้แฮะ ไม่ได้ดมผ้าขาวม้า ต้องถามคนดมสิ
ประมาณว่า .. เหมือนตูจะหลงทาง ๕๕๕
แบบนี้ใช่ไหม ที่เขาเรียกว่า เ บื้ อ ง ห ลั ง
เกือบลืม แกงจืดไข่ต๊อก ฝีมือของเรา
อ๊ะ ... แบ่งกัน
รูปนี้ไง ที่ทะเลใจ ... เรียกร้อง
ที่ ๆ หัวใจเราเป็นสุข ... ที่ ๆ เราควรจารึกไว้ ในความทรงจำ มิตรภาพตราบสิ้นฟ้า
15 กุมภาพันธ์ 2549 15:36 น. - comment id 89518
:)
15 กุมภาพันธ์ 2549 15:47 น. - comment id 89521
ไม่น่าอุ่นน้าเห็นว่าฝนตกด้วย
15 กุมภาพันธ์ 2549 15:57 น. - comment id 89525
กับข้าวน่ากินจัง มีคนกินกี่คนเนี่ย คงเหลือเยอะ บินเดี่ยวเอ๋ยไม่ต้องห่วงหรอกนะ ขนาดจะซื้อโมบายยังจะซื้อนกเลย สบายใจได้
15 กุมภาพันธ์ 2549 16:04 น. - comment id 89526
ก็มันไปบ่ได้ แต่เห็นบรรยากาศแล้วน่าสนุกแฮะ
15 กุมภาพันธ์ 2549 16:07 น. - comment id 89527
อุ่นไม่อุ่นไม่รู้...รู้แต่อิ่ม.......
15 กุมภาพันธ์ 2549 19:53 น. - comment id 89537
เครื่องพังเลยจ้ะ พอกับคน ก็พังกลับมาเหมือนกัน เหนื่อยนะ แต่สนุกมาก มีความสุขมาก ๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณตาเฒ่านะที่มาซ่อมเครื่องให้ ไม่งั้นคงไม่ได้มาเห็นตัวเองตรงนี้ ขอบคุณทุกคนที่ร่วมทริปจ้ะ อัลมิตรา หมอหมอก(มือแข็งชิบเป๋ง) ทะเลใจ ครูใหญ่(ถึงบ้านแล้ว โทรไปเช็ค) กีกี้ จ๊ะโอ๋ (สองขาโจ๋ว) กับอีกคนที่บอกไม่ได้ อ้อและเจ้าของแพที่ยังโสด กับเจ้าตัวเล็กที่ว่ายน้ำเก่งเหมือนปลา แล้วงานเลี้ยงเด็กที่ตกลงกัน เอาไงว่ามาอีกทีนะน้องเอ๊ย เจ๊ป่วย ปวดหัวตัวร้อน โดนเด็กลากไปปู้ยี่ปู้ยำ เฮ้อ ขอหยอดน้ำข้าวต้มอีกสองสามวันนะ แล้วจะมาแจมใหม่
15 กุมภาพันธ์ 2549 23:00 น. - comment id 89539
น่ารักที่สุดในโลกเลย น้องเอมอ่ะ อยากเป็นแฟนจัง จากโอ๊ค รักนะเด็กโง่ จุ๊บๆ
16 กุมภาพันธ์ 2549 00:46 น. - comment id 89540
จำรัยไม่ค่อยได้ .. พอกลับบ้านมา กระเป๋ากางเกงข้างขวามันหนักๆ พิกล .. ทั้งแบงค์ ทั้งเหรียญไม่รู้มาจากไหน? .. เพื่อนร่วมทริปช่วยบอกที .. ฮี่ๆๆๆ ..
16 กุมภาพันธ์ 2549 02:30 น. - comment id 89543
อาหารน่ากินมาก ม๊าก... แบ่งมาทางนี้บ้างนะค่ะ ทีนี้หากินยากค่ะ ..อิอิอิอิอิ..
16 กุมภาพันธ์ 2549 08:47 น. - comment id 89550
แบบว่า...อิจฉาอะ !!!!
16 กุมภาพันธ์ 2549 13:04 น. - comment id 89554
ได้ชมภาพก็มีความสุขด้วยครับ
16 กุมภาพันธ์ 2549 14:33 น. - comment id 89562
ทำไม..รูปนางเอกไม่ค่อยมีเลยอะ..มัวเป็นยายกล้องอยู่ใช่มะ..ทีหลังบอกนะจะเป็นตากล้องให้....
16 กุมภาพันธ์ 2549 16:34 น. - comment id 89572
เหนื่อยนักก็พักเสียบ้าง .. หัวใจของอัลมิตราเองเหตุใดเล่าจึงปล่อยให้ทุรนทุราย .. เงื่อนไขบางอย่างที่ไม่อาจยอมรับได้ .. ก็ไม่จำเป็นเสมอไปที่ต้องอดทน .. อะไรที่ไม่จำเป็น .. ควรตัดออกจากความรู้สึก .. ตัวแปรที่ไม่มีความสำคัญ .. ย่อมไม่ใช่ตัวแปร .. บางเรื่อง รู้ หรือ ไม่รู้ .. ก็ค่าเท่ากัน .. พูด หรือ ไม่พูด .. ก็ใช่ว่าจะทำให้บางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี .. ปล่อยให้บางอย่างมันดำเนินไปตามกลไกของมัน .. อัลมิตราเหนื่อยมามากพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาระหน้าที่การงานและความรู้สึก .. ทุก ๆ กรณี อาจไม่ใช่สิ่งที่อัลมิตราจะสามารถถ่ายทอดให้รับรู้กันได้ง่าย .. ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นปัญหา อัลมิตราคิดว่า อัลมิตราไม่ควรแบก กด ให้จมอยู่กับปัญหานั้นต่อไป .. ฤๅจะมีสิ่งใดที่ดีไปกว่า การปล่อยวาง .. อัลมิตราเตือนตนเองเสมอว่า .. อย่ารอคอยความหวังที่ริบหรี่ และอย่าไว้ใจผู้ที่ทำให้อัลมิตราสูญศรัทธา .. หลายวันมานี้ อัลมิตรารู้สึกสบายใจอย่างเป็นที่สุด เมื่องานเริ่มซา อัลมิตราก็พาหัวใจของตนเองไปพักผ่อน การเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้มีตระเตรียมอะไรให้เป็นที่วุ่นวาย วันที่กำหนดไว้ ก็เลือกวันที่คิดว่า เพื่อนบางคนจะได้ไม่ต้องลางาน เพราะทราบว่า เพื่อนบางคนต้องทำงานในวันเสาร์ แต่แน่นอนว่า วันพระใหญ่หยุด แรกเริ่มเดิมที อัลมิตราก็ไม่ได้คิดจะประกาศให้ครึกโครมอะไรบนหน้าเวปบอร์ด เนื่องจาก ต้องการไปพักผ่อน ไม่ใช่ไปจัดกิจกรรมมิตติ้ง อาจจะมีเพิ่มเติมบ้างในส่วนของการไปปรึกษาหารือกับคุณครูใหญ่ฯ แต่เนื่องด้วยจากกระทู้กลอนของคุณแก้วประเสริฐ ซึ่งอัลมิตรามีคำเชิญไปส่วนตัว คุณแก้วประเสริฐได้นำข่าวนี้ เขียนเสนอเป็นผลงานกลอน ด้วยเจตนาที่ดี ตรงนี้อัลมิตราเข้าใจ .. และแล้ว ..หลังจากนั้น.. อัลมิตราก็พบว่า ความรู้สึกของบางใคร เริ่มมีปฏิกิริยาแปลก ๆ เริ่มมีการต่อรอง มีข้อแม้ มีเงื่อนไข .. หากจะถามอัลมิตราว่าหนักใจไหม .. ? อัลมิตราก็สามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ไม่หนักใจเลย อัลมิตราไม่ได้เซ้าซี้แต่ประการใด อัลมิตราถือว่า อัลมิตราเคารพในการตัดสินใจของทุก ๆ คน ส่วนความตั้งใจเดิมของอัลมิตรานั้นยังมีอยู่ ดั่งว่าไม่ได้รับผลกระทบแต่งอย่างใด เพราะบางใครนั้น..ยังไม่สำคัญพอที่จะเป็นตัวแปร ให้ความรู้สึกเป็นสุขนั้น ..เปลี่ยนไป อัลมิตรายังคงที่จะวาดฝันวันที่จะไปเที่ยวอย่างมีความสุข และก็เฝ้านับวันรอ รอที่จะได้ไปเที่ยว รอที่จะได้พบคนที่อยากพบ จะว่าไปแล้ว อัลมิตรามิได้ตระเตรียมอะไรมากไปกว่า จองแพ และ เตรียมรถ ซึ่งก็ไม่ติดขัดปัญหาแต่อย่างไร .. ส่วนเรื่องของอาหารการกินนั้น อัลมิตราก็ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียด รู้แต่เพียงว่า .. อัลมิตราและเพื่อน ๆ คงไม่อด กว่าจะถึงปลายทาง อัลมิตราแวะผ่านตามจุดต่าง ๆ ซึ่งตรงนั้น พาหาเสบียงได้ ดังนั้นอัลมิตราจะไม่คิดเล็กคิดน้อยให้รกสมองและเพราะดูเป็นการวุ่นวายเสียเปล่า ๆ จากคอนเซปที่เรียบง่าย อัลมิตราตัดความกังวลอื่น ๆ ออกจนสิ้น ถ้าจะพูดไปแล้ว .. อัลมิตราเป็นห่วงอยู่ที่ key man คนเดียวเท่านั้น คือคุณครูใหญ่ฯ เพราะเขาต้องเดินทางไกลจากศรีสะเกษตามคำเชื้อเชิญของอัลมิตรา ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะไม่สำคัญเท่า แต่อัลมิตราหมายถึงว่าเขามีธุระสำคัญกับอัลมิตราด้วย ส่วนธุระนั้น รอให้ได้ผลสรุปจนแน่ชัดอีกสักนิด อัลมิตราจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ขอบคุณเพื่อน ๆ ร่วมทริปทุกคน ที่ร่วมกันสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นมิตรที่ดี อัลมิตรามีความสุขมากค่ะ และขอขอบคุณในทุก ๆ น้ำใจที่ส่งผ่านตัวอักษรมายังเวปบอร์ดแห่งนี้ สุดท้ายนี้อัลมิตราก็ต้องขออภัยเพื่อนสมาชิกท่านอื่นด้วย ที่อัลมิตราเปิดกระทู้ชวนอย่างกระชั้น ทำให้บางท่านที่มีความประสงค์จะไป อาจเตรียมตัวไม่ทัน หรือทำให้บางท่านรับทราบไม่ทั่วถึง มิตรภาพตราบสิ้นฟ้า ..
16 กุมภาพันธ์ 2549 18:55 น. - comment id 89573
คุณกุ้งหนามแดง .. มาแบ่งปันความรู้สึกดี ๆ เล่าสู่ให้ฟังถึงความสุขที่ได้รับ อัลมิตราทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว โดยเขียนเป็นเรื่องเล่าให้อ่าน ยังมีโอกาสอีกมากนัก ที่เราจะได้แชร์ความสุขร่วมกันอีก แล้ววันนั้นจะมาถึงค่ะ ไอซ์ .. อืมม ฝนตก จันทร์เลยซ่อนที่ริมสันเขื่อน แต่ก็เป็นอีกบรรยากาศนะ ที่ไม่จำเจ นอนฟังเสียงฝนกระทบหลังคาแพ ไอดินหอม ๆ กลิ่นต้นไม้ชื้น หมอกที่ลอยอ้อยอิ่งไปทั่ว อยากให้ไอซ์มาเห็นภาพตอนนั้น ภาพที่ฉากทั้งหมดเป็นสีฟ้าเทา ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า ภูเขาและเงาสะท้อนบนผืนน้ำ .. ทั้งหมด ดูสวยงามเหลือเกิน อากาศที่นั่นดีนะ บรรยากาศในช่วงวันนั้น.. ราบรื่นไปเสียทั้งหมด ไม่มีเรื่องกวนใจ ไม่มีปัญหาใดที่ต้องนำไปขบคิด ไม่มีเรื่องวุ่นวาย .. และที่สำคัญ .. ที่นั่น ไม่มีจริตปลอมปนใด ๆ ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง .. คุณฤกษ์ .. โมบาย ที่ว่านั้น พี่พระจันทร์เศร้า เธอจะชอบนะคะ ตอนนี้ที่ชายคาบ้านของเธอ ก็มีโมบายแขวนเต็มไปหมด ชุดที่เป็นนกนั้นทำมาจากแก้วใส ส่วนปากจะเป็นสีทอง อัลมิตราน่ะ ความจริงอยากได้ชิ้นที่พี่พระจันทร์เศร้าซื้อไป คือ ชุดที่เป็นจันทร์เสี้ยว .. ทีนี้เมื่อมามองดูชุดนกแล้ว มันก็สวยไปอีกแบบ แต่อัลมิตราคงลำบากในการหอบหิ้วกลับบ้านค่ะ เสียดาย หากทำชุดนั้นแตกหักเสียหาย .. ส่วนเรื่องอาหารเยอะจริง ๆค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่า .. อวดว่าเป็นทัวร์ไฮโซนะคะ ไม่รู้จะอวดทำไม เพียงแต่ว่า อยากทาน ก็ช่วยกันจัดหากันไป ต่างคนต่างห่วงซึ่งกันและกัน ก็เลยกลายเป็นว่า เหมือนกันจัดงานปาร์ตี้ อาหารแทบจะล้นโต๊ะค่ะ อัลมิตราอยากให้คุณไปด้วยนะ แต่ก็ไม่รู้ว่า ตอนที่ชวนในเวป คุณได้อ่านหรือเปล่า อัลมิตราชวนแค่หนเดียว และก็ชวนในกระทู้กลอนค่ะ สรุปว่า หัวใจของอัลมิตรา..สุขอย่างพองโตเชียวนะ เห็นรอยยิ้มมั๊ย .. นั่นล่ะ ความสุขที่แท้ :) คุณร้อยฝัน .. อย่ากังวลสิ เราเข้าใจนะ เรื่องการเรียนการสอบ เป็นเรื่องที่สำคัญ อัลมิตราเอง ก็เคยมีเหตุผลที่ดูเหมือนว่า จะกลายเป็นข้ออ้างสำหรับคนอื่น ดังนั้น อัลมิตราเชื่อใจนะ ว่าอ้อยอยากไป .. เอาน่า ..ไม่เป็นไร ยังมีโอกาสอีกแยะ เรายังไม่รีบตายจากกันสักหน่อย คุณท่องเมฆา .. ขอบคุณนะคะ ที่คุณหมอดูแลอัลมิตราเป็นอย่างดี บางอย่างคงไม่ต้องบรรยายให้ตกเป็นข้อครหา เอาเป็นว่า อัลมิตรารับรู้ความรู้สึกที่ดี ที่คุณมีให้ค่ะ คุณพระจันทร์เศร้า .. ความจริงแล้ว อัลมิตราต้องขอขอบคุณพี่เป็นอย่างมาก สำหรับข้อคิดที่ดี ที่พี่จิ๋งมอบให้ก่อนจะถึงวันกำหนดเดินทาง วันนั้น ..พี่จิ๋งโทรหาอัลมิตราเพื่อคอนเฟิร์มว่า ไปแน่นอน และขอเวลานัด,สถานที่ พร้อมกับคำมั่นว่า .. เรื่องอาหารไม่ต้องห่วง เดี๋ยวทำให้กินเอง ทั้งที่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งดูเหมือนว่าจะส่อเค้าให้รำคาญใจ แต่ อัลมิตราก็ได้รับรู้ว่า พี่จิ๋งเป็นคนรักษาสัญญาอย่างที่สุด อัลมิตราซาบซึ้งใจมาก กับคำที่ว่า \" ความสุขอยู่ที่เรา .. ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่าปล่อยให้กลายเป็นตัวแปรขวางความสุขนั้น\" คุณโอ๊ค .. อันนี้ คงต้องไประบุหมายเลขที่บ้านโดยตรงนะคะ คุณกีกี้ .. แรกเริ่ม อัลมิตราเองก็คาดไม่ถึงว่าคุณจะร่วมเดินทางด้วย เพราะทราบมาว่าคุณติดภาระกิจ แต่ก็ดีใจมาก ที่คุณติดต่อมา และแจ้งความประสงค์ว่าจะไปแพกับอัลมิตรา ถึงแม้ว่าเราพูดจะคุยกันไม่กี่ประโยค ไม่ใช้ถ้อยคำฟุ่มเฟือยในการนัดแนะ ทว่า.. อัลมิตราพบว่า .. คุณเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง และมีความรับผิดชอบสูง เมื่อบอกว่าไป .. ก็คือ ไป .. ทั้งหมดอยู่ในความเรียบง่าย หัวใจของคุณหนักแน่นจังค่ะ ส่วนเงินเชลย หากทำให้คุณเดินเอียงข้างอย่างนั้น น่าจะตกแพนะนั่น รอดมาได้ไงเนี่ย ฮา.. คราวหน้า เห็นทีจะต้องรวมหัวกันปล้นแล้วล่ะ ฮา .. คุณแสงไร้เงา .. เชิญเลยค่ะ รูปอาหาร เป็นฝีมือถ่ายรูปของคุณท่องเมฆา เป็นอาหารชุดมื้อกลางวัน ส่วนมื้อแรกที่เป็นมื้อเย็นนั้น ไม่ได้เก็บภาพไว้ .. อัลมิตราบอกได้ว่า โต๊ะไม่พอวางอาหาร ตอนนี้..อัลมิตราแก้มป่องไปกว่าเดิมแยะเชียวค่ะ ไม่อ้วนคราวนี้ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วเนี่ย แต่ละอย่าง...น่าหม่ำไปเสียทังนั้น คุณร้อยแปดพันเก้า .. อั่นแน่ ..ก็เก็บรูปมาฝาก และหอบความคิดถึงมาให้แล้วไงคะ มาอิจฉากันได้ไงหนอ .. อย่าอิจฉาเลย .. ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ หรือความสุขที่ได้รับมา อัลมิตรามาแบ่งปัน คุณก่อพงษ์ .. :) มีเรื่องมากมาย อยากคุยกับคุณนะ ตอนนี้ลงเรื่องลงรูปที่มีแต่ความสุขให้รับรู้ไปก่อน ส่วนอีกเรื่อง คงต้องรอให้คุณครูใหญ่ฯกับอัลมิตราสรุปเนื้องานให้แน่ชัดอีกทีค่ะ เราอาจได้พบกันในเร็ว ๆ ที่ ศรีสะเกษ .. นะคะ คุณบินเดี่ยวหมื่นลี้ .. ชื่อกระทู้ก็บอกว่า ซ่อนจันทร์ที่สันเขื่อน ไม่ได้โชว์จันทร์ที่สันเขื่อนนี่นา ... กิ้ว กิ้ว ใครเหรอ นางเอก ... อ๋อ !! หมอนั่นเอง ป๊าดธ่อ .. ขำ
16 กุมภาพันธ์ 2549 18:57 น. - comment id 89576
กับข้าวน่าหม่ำจังเยย ชักหิวๆ แล้วค่ะ คุณอัลมิตรา น้ำยายไหย
16 กุมภาพันธ์ 2549 22:25 น. - comment id 89587
ข้างล่างถูกข้างบนค่อนแคะ หวยอย่างจัง ฮ่า
16 กุมภาพันธ์ 2549 23:05 น. - comment id 89593
คุณยังเยาว์ .. นั่นสิ อัลมิตราท้องร้องกร๊วก ๆ อีกแล้วสินั่น เมื่อเช้า เพื่อนร่วมงานทักว่า อ้วนขึ้นหรือเปล่า เล่นเอา อัลมิตราต้องเบรคขนมมื้อเที่ยงเลย ฮา .. คุณทนายจอมจุ้น .. ไม่คิดจะซื้อหวยค่ะ และไม่สนใจว่ามันจะออกเลขอะไร คุณมีความสุขหรือคะ ในการทำเช่นนี้ หากมีความสุข อัลมิตราก็ยินดีด้วยค่ะ
17 กุมภาพันธ์ 2549 09:23 น. - comment id 89601
กับแกล้มเยอะจัง...............
17 กุมภาพันธ์ 2549 17:01 น. - comment id 89620
สวัสดีจ๊ะ นายเมา .. ขากลับบ้าน ต้องหอบสัมภาระกลับตั้งแยะ จะบอกให้ ตลอดสัปดาห์นี้ .. ยังเคลียร์ของในตู้เย็นไม่หมดเลยนะเนี่ย เยอะจริง ๆ ต่างคนก็ต่างห่วงใยกัน คนนั้นหอบไอ้นี่ติดมือ คนนี้หอบไอ้นั่นติดมือ จากคนละเล็กคนละน้อย .. ก็เลยกลายเป็นกองโต ที่ทานไป ประมาณว่า .. ยังไม่ถึงครึ่งของที่เตรียมไปเลยนะ เพื่อนร่วมงานทักอัลมิตราว่า หมู่นี้แก้มดูป่อง ๆ .. แหม๊ .. น่าตีนัก ..
18 กุมภาพันธ์ 2549 07:24 น. - comment id 89654
... ขอบคุณแม่จิ๋ง พระจันทร์เศร้าที่ชวนไปเที่ยวจ้า .. รอบนี้แบบว่าถูกใจอ่ะนะ แถมทำผัดพักให้เรากินอีก ติดใจ ๆ ๆ ๆ ๆ ... ขอบคุณอาหมอที่เอื้อเฟื้ออาหารในหลาย ๆ มื้อจ๊ะ ติดใจอ่ะนะ อาหร่อยมั๊ก ๆ ๆ ขอบคุณพี่อิม อัลมิตรา ที่พาทัวร์สถานที่ต่าง ๆ เพราะปกติแล้วจะโปรดปานทะเลมากกว่าที่อื่น ๆ แต่ไปคราวนี้มุมมองเปลี่ยนไปเยอะกั๊บป๋ม .. แห่ะ แห่ะ ตอนไปที่สุสานอ่ะอ่านเองก็ไม่ซึ้งเท่าแม่จิ๋งอ่านให้ฟัง ฟังแล้วก็ใจหายแว๊ป ๆ ยิ่งไปเห็นสะพานแล้วก็ยิ่งรู้สึกเศร้ากว่าเดิมเข้าไปอีก แต่พี่ก็พาไปเปลี่ยนบรรยากาศที่สันเขื่อน วิวสวยดีค่ะ ปกติแล้วเจอแต่เขื่อนป่าสักที่อยู่แถบจะติดบ้านเลยนึกภาพเขื่อนที่นั้นไม่ออก พอไปเห็นแล้วก็ อื่ม สวยแหะ .. อ่อ ดอกอโศกสปันที่พี่อิมเก็บภาพมาสวยดีค่ะเอมชอบมั๊ก ๆ อ่ะ เอ่ ว่าแต่ว่าไมไม่เอารูปที่พี่อิมอยู่กะดอกเฟื้องฟ้าสีขาวมาโพสต์ม้างอ่ะคะ คนก็สวย วิวก็สวย นะเอมว่าหน่ะ และขอบคุณสำหรับรูปท้องฟ้าเพราะเห็นภาพนั้นแล้วทำให้คิดถึงคนบางคนที่เค้า ชอบมองฟ้ามาก ๆ ก็ขอเก็บรูปนี้ส่งไปให้คน ๆ นั้นหน่อยนะคะ อ่อ แห่ะ แห่ะ ที่ว่า คนที่ชอบดอกไม้ หัวใจจะละเอียดอ่อนอ่ะ หุ หุ หุ ของเอมเป็นอ่อนไหวมากกว่าค่ะ แต่ว่าความละเอียดอ่อนอ่ะ ม่ายค่อยจามี เพราะบางทีมานก็ดื้อไม่ฟังใคร ( ยกเว้นพระจันทร์เศร้า ) แต่ก็มีบางกับคนบางคน นิด ๆ หน่อย ๆ อ่ะน๊า ขอบคุณครูใหญ่ที่ทนเอมเซ้าซี้ให้เล่นนับเลขเป็นเพื่อนไม่ได้นะเจ้าคะ ... หะ หะ หะ งานหน้าสงกะสัยจะหามุมหลบหรือเอาเครื่องมือนับเลขไปซ่อนแน่ ๆ เลยอ่ะนะ คริ คริ ขอบคุณพี่กีกี้ .. ที่ขู่ว่าจะโยนเอมลงแพอ่ะนะ อิ อิ แม๋ม ๆ ก็เด็กมานเรียนรู้ไวนี่คะทำไงได้ล่ะเนอะ หะ หะ หะ ขอบคุณพี่จ๊ะโอ๋คนสวยที่สอนเอมนับเลข ลูกศิษย์คนนี้หัวไวเนอะพี่ว่าไม๊ อิ อิ ... ชอบรอยยิ้มของพี่จ๊ะโอ๋จังค่ะน่ารักอ่ะ คนไรไม่รู้น่ารักชะมัด ขอบคุณเพื่อนพี่อิม อัลมิตรา ... ที่ขับรถพาทัวร์ไปที่ต่าง ๆ นะเจ้าคะ ... คอมเม้นท์ 7 หลังฉากดีกว่านะพี่ เซอร์ไพรส์แบบนี้มะอาวอ่ะ นะ ๆ
18 กุมภาพันธ์ 2549 22:19 น. - comment id 89670
คุณทะเลใจ .. ขอบคุณที่เดินทางไปแพด้วยกัน และขอบคุณในน้ำใจที่มอบให้มา สำหรับการไปเมืองกาญจน์ในครั้งนี้ เท่าที่สอบถามกันขณะเดินทาง จึงทราบว่า คุณทะเลใจยังไม่เคยมาเที่ยวกาญจบุรี .. อย่างที่เราให้เหตุผลในเรื่องสั้น สุสานพันธมิตรและสะพานข้ามแม่น้ำแคว ถือว่า เป็นสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ครั้นจะบอกว่าเป็นสัญลักษณ์เลยก็ได้ เราเคยไปกาญจน์บ่อยครั้ง และยังเคยมีโอกาสไปเยือนพิพิธภัณฑ์รวมถึงค่ายเชลย เราได้เห็นภาพที่โหดร้าย หัวใจของเราสลดไปด้วย .. สะพานมรณะหน้าถ้ำกระแซก็เคยไป เคยตั้งใจไว้ว่าจะเขียน ..\"หนึ่งหมอนรถไฟ - หนึ่งชีวิต\" .. เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียนหลายรอบ จนแล้วจนรอด ก็เขียนไม่ได้สักที .. เนื่องจากความเศร้าที่เกาะกุม คราวที่คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต เราเคยแต่งเพลง \"ทานตะวัน\" โดยใช้ทำนองเพลงขลุ่ยของ อ.ธนิสร์ สีกลิ่นดี เลียนเพลงที่ อ.เนาว์ ประพันธ์ เราเคยตื่นตาตื่นใจกับ party flowers .. ที่ทาง บ.ยูโนแคล เชิญไป และเราก็ได้ดูหุ่นละครเล็กเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นลำน้ำงู ที่น้ำใสมากจนสะท้อนภาพของเราตอนพายเรือเล่น เมื่อหลายปีก่อน และเราจะไม่บอกก็ไม่ได้ ...เราคิดถึงพี่ชายของเรา .. ที่ตอนนี้อยู่แดนไกลคนละซีกโลก เราเรียกเขาว่า \"คุณหนังสือ\" เขาเคยเล่าเรื่องวัยเยาว์เมื่อเขายังอยู่ในประเทศไทย ที่เมืองกาญจน์ ความสุขของเราผุดพรายมาตั้งแต่เราคิดที่จะไปแพ ซึ่งเมื่อปีกลายเราก็คิด ทว่าเวลาของเราไม่อำนวย การที่เรามีแผนที่จะไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่ง เราตื่นเต้นและนับวันรอให้ถึงวันนั้น เราเชื่อว่า หลายคนคงเข้าใจความรู้สึกนี้ ... มันมีความสุขออก .. จริงมั๊ย สำหรับเรา .. เราถือว่าชีวิตของเราไปอยู่ที่แพ ตั้งแต่วันที่คิดว่าจะไปแล้ว หลายคนที่อยากไป แต่ติดภาระกิจ ต่างก็ส่งใจไปแพ ซึ่งบางคน เรารับปากว่า เราจะถ่ายทอดให้อย่างละเอียด เราได้ทำตามสัญญาแล้ว โดยปราศจากความเกี่ยงงอนใด เนื่องจาก เราบรรจุความทรงจำที่มีแต่สุขนั้นไว้เยอะ ..เยอะมาก เราเขียนเป็นเรื่องเล่า บรรยายความเป็นไปเป็นตัวอักษร และรูป เรารู้สึกเสมอว่า ทุกครั้งที่เราได้อ่านทวน หรือดูรูป ชีวิตของเราก็เหมือนเข้าไปอยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย เหตุการณ์ที่อยู่ในความทรงจำที่ดี .. เรามีความสุข .. กระทั่งขณะนี้ ขณะที่เราตอบคอมเม้นท์ เราก็ยังมีความสุข มิตรภาพตราบสิ้นฟ้า ..
19 กุมภาพันธ์ 2549 19:18 น. - comment id 89685
นางแบบสวยจัง สวยทั้งคู่เลย ********* เป็นมิตรภาพที่อบอุ่นจัง
19 กุมภาพันธ์ 2549 20:30 น. - comment id 89689
ขอบคุณค่ะ คุณผู้หญิงไร้เงา ที่แวะมาอ่านเรื่องสั้น บรรยากาศที่ดี ไม่มีเรื่องใดให้กังวล ทั้งก่อนและหลังเดินทาง ความทรงจำที่งดงาม ปราศจากภาพปรุงแต่ง ซ่อนจันทร์ริมสันเขื่อน แม้ไม่มีจันทร์ให้เห็น .. แต่ความรู้สึกของพวกเรา อิ่มเอิบกับสุข นั้น
22 กุมภาพันธ์ 2549 17:17 น. - comment id 89732
อ๊ะ!!.......หลงเข้ามาแล้ว ทำไงดี กับข้าวน่ากินดีเนอะ แต่ว่าดอกไม้นั่นน่ากินกว่าอ่ะ...หุหุ
22 กุมภาพันธ์ 2549 21:26 น. - comment id 89734
คุณตัวงง ... .. เต็มที่เลยค่ะ :)