ตอนที่ 11 รักของเขา พล! นายคบกับใครอยู่ตอนนี้ ตุลย์เพื่อนสนิทถามผมขณะที่ผมกำลังยกเหล้าขึ้นดื่ม ตุลย์มาสัมมนาที่เชียงใหม่เลยมาพักกับผม เราถือโอกาสนั้นมาดื่มและฟังเพลงที่ร้านคอทเทจ ร้านโปรดของตุลย์ คนเดิม คนเดิมไหนวะ!?! ตุลย์ถามย้ำ ก็พี่อรรณพ คนที่เคยมานั่งแล้วเลี้ยงเหล้าพวกนาย ตอนที่เรารับปริญญาไง ผมทวนความจำ โอ้โห ! นานแล้วนะเว้ย 5-6 ปีได้แล้วนี่หว่า พี่เค้ายังมีชีวิตอยู่อีกเหรอวะ ตุลย์ดูท่าประหลาดใจ แต่ก็ไม่วายตบคำถามสุดท้ายด้วยคำถามที่ฟังดูทะแม่งๆ เอ๊ะ! ไอ้นี่! พูดยังไง 7 ปีกว่าใกล้จะครบ 8 ปีเต็มแล้วโว้ย...เดือนมกรานี่แหละ เรื่องของเราอายไปเลย ตุลย์ตัดพ้อ เฮ้ย! พูดอย่างนี้หมายความว่า... ผมยิ้มเหมือนจะรู้ทันตุลย์ เออ! เรามีแฟนแล้ว ปีกว่าๆแล้วล่ะ ตุลย์ตอบยิ้มๆเขินๆ สองปีก่อนผมกับเพื่อนๆยังช่วยให้กำลังใจตุลย์จากการอกหักเพราะผู้หญิงมาหลอกใช้ตุลย์ แต่วันนี้ดูตุลย์มีความสุขจริงๆเพราะสายตาที่เปล่งประกายของตุลย์มันเก็บความสุขไม่อยู่จริงๆเมื่อเวลาเอ่ยปากถึงความรักที่กำลังผลิบาน ปิดเงียบไม่บอกเพื่อนฝูงเลยนะ ผมเย้า อืม เราบอกนายเป็นคนแรก คิดว่าคนนี้คงใช่แล้วล่ะ ดีใจด้วยเพื่อน! มิน่า...ดูกรุ้มกริ่มมีความสุขเหลือเกิน ผมแซวอีก แต่คงจะสู้นายไม่ได้ อะไรวะ! ผู้ชายอยู่กับผู้ชายตั้ง 7-8 ปี อยู่ด้วยกันยืดนี่หว่า ทั้งที่เราเห็นนายเป็นคนเบื่ออะไรง่ายๆนี่นา หลงมนต์เสน่ห์พี่เค้าขนาดนั้นเลยเหรอ จริงสินะ นี่ถ้าตุลย์ไม่ถามผมก็คงแทบจะไม่รู้สึกว่า นานแล้วเหมือนกันสำหรับความรักของผมที่แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่เชื่อว่าจะมาถึงวันนี้ ผมคบกับพี่อรรณพจนลืมไปเลยว่านานแค่ไหนแล้วสำหรับความรักของเรา งั้นมั้ง ผมตอบตุลย์พร้อมยิ้มๆ ถามจริงๆนะ นายรักเค้าตรงไหนวะ? อยากรู้ไปทำไม ผมชักเขินเพราะจู่ๆตุลย์ก็ถามเรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัว บอกมาเถอะน่า เราก็เป็นเพื่อนมากันตั้งหลายปี มันก็มีเรื่องอยากรู้บ้างเป็นธรรมดา ตุลย์บอกเหตุผล เรารักเค้าตรงที่...เค้ามีสายตาเหมือนพ่อของเราเวลามองแม่น่ะ... น้ำเสียงผมอ่อนละมุนเมื่อตอบคำถามนี่พร้อมกับยิ้มตาลอยขณะตอบ ยังไงว่ะ ? ตุลย์ถามแทรก ผมมองหน้าตุลย์หยุดหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะบอกว่า เวลาที่เค้ามองเรา สายตาเค้าเหมือนกับบอกว่า...ปรารถนาเราคนเดียวบนโลกใบนี้...ไม่ต้องการใครอีกแล้ว เมาหรือเปล่าวะนี่ พูดซะหวานโรแมนติกซะ ถ้าไม่เมานะ นายก็เป็นอย่างที่ไอ้เอกเคยว่าไว้ไม่มีผิด ! ตุลย์ขัดคอ มันว่าไงเหรอ ผมอยากรู้ มันเคยพูดว่า รู้สึกดีใจที่นายเป็นเกย์ เพราะถ้านายชอบผู้หญิงนะ มันคงสู้ความโรแมนติกของนายไม่ได้จริงๆ ตลาดผู้หญิงต้องโดนนายแย่งไปจนมันเฉาแน่ พอนายบอกว่าเป็นเกย์นะ มันดีใจจะตาย หมดคู่แข่งไปคน พอถึงวันนี้ เราชักเห็นด้วยกับมันแล้วว่ะ ตุลย์เล่าถึงคำพูดที่ไอ้เอก นินทาผมลับหลัง นี่ก็พูดเกินเหตุ !! จริงๆนอกจากเหตุผลนี้ ยังมีเหตุผลอื่นอีกนะ เหตุผลอีกอย่างคือ...นอกจากพี่เขาจะชื่ออรรณพแล้ว เค้ายัง อันโต อีกด้วยนะ ผมทำหน้าพูดสองแง่สองง่าม ฮ้า !! ตุลย์อุทานกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ไอ้อันโตน่ะ มันย่อมาจาก อันโตนิโอ เค้ามีชื่อเล่นที่เก๋น่ารักไหมล่ะ ผมขยายความทำหน้าเป็นขณะพูด แล้วไป ตุลย์รู้สึกโล่งใจที่ คาดว่าคงโล่งใจที่ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องขนาดอย่างว่า พร้อมกับพูดเสริมขึ้น ยังไงก็เถอะ ในบรรดาเพื่อนๆพวกเรา นายมีความรักที่มั่นคงที่สุดนะ ยังหรอก ยังเรียกว่ามั่นคงไม่ได้ มีอีกตั้งหลายคู่ที่คบกันยาวนานกว่าคู่ของเราถมเถไป ผมให้ความเห็น เรายังไม่เห็นคู่เกย์คู่ไหนคบกันนานเท่าคู่ของนายแล้วนะ น้ำเสียงตุลย์จริงจัง นั้นเพราะว่านายมีเพื่อนเกย์ไม่เยอะพอต่างหาก แต่เราไม่ได้หมายถึงคู่เกย์อย่างเดียว เราหมายถึงคู่รักทั่วไปต่างหาก ถึงคู่เราคบกันมาเจ็ดแปดปี แต่มันยังไม่ได้ขี้เล็บของพ่อแม่พวกเราเลยนะ เออ...จริงของนาย ตุลย์คล้อยตามผม นายไม่เคยสงสัยเหรอว่า พ่อกับแม่ของพวกเราอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้นได้ยังไง ผมตั้งคำถามให้คิด โห...อย่างเราแค่ปีกว่า พ่อกับแม่เราตั้ง 30 ปีกว่า เออ...จริงของนาย อะ อะ อะ นายอย่าพึ่งเปรียบเทียบ 30ปีกว่าของพ่อแม่นาย นับจากวันที่แต่งงานกัน แต่นายยังไม่แต่งงาน ยังถือว่าไม่เริ่มต้น นอกเสียจากว่านายแอบไปแต่งงานกันแล้ว ผมกระเซ้าตุลย์ แล้วนายล่ะ นายก็ยังไม่แต่งงานนี่ ตุลย์ไม่ยอมแพ้ ถึงตอนนี้ ผมค่อยๆเอาแขนซ้ายขึ้นมา เอาศอกวางไว้บนโต๊ะสะบัดมือซ้ายกระดิกนิ้วทั้งห้าสะพัดโบกเพื่อโชว์แหวนทองกลมเกลี้ยงที่สวมอยู่นิ้วนางข้างซ้ายของผม เป็นท่าทางที่แม้แต่ตัวผมเองยังรู้สึกว่าตัวเองก็ทนไม่ไหวกับท่าทางที่กระแดะนั้น...แต่ผมมั่น!!!...ทำต่อไปพร้อมบอกกับตุลย์ว่า ทางนิตินัยไม่มีกฎหมายให้เกย์แต่งงานกัน แต่โดยพฤตินัยแล้ว เราเป็นของกันและกันตามกฎจักรวาล...เมื่อพี่อรรณพสวมแหวนนี้เข้าที่นิ้วนางด้านซ้ายของเราต่อหน้าสักขีพยานคือ ดวงจันทร์อันสว่างดวงโตและหมู่ดวงดาวนับล้านดวงที่สถิตตามทุกแกลแล็คซี่... อื้อหือ....ลดความเป็นลิเก ลงหน่อยจะดูดีกว่านี้มากนะไอ้พล ตุลย์คงหมั่นไส้ ส่ายหน้าขัดคอ ขอโทษว่ะ...ลืมตัวไปหน่อยก็นายสะกิดให้เราพูดถึงพี่เค้า ก็เคลิบเคลิ้มเป็นธรรมดา สรุปก็คือ เราได้แต่งงานแล้วเว้ย ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายรองรับก็เถอะ...ยังไงก็แล้วแต่เราคิดว่าสิ่งที่เรามีอยู่ร่วมกันทุกวันนี้ มันก็ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่พ่อแม่ของพวกเราร่วมกันใช้ชีวิตมาหรอกว่ะ ......... ถึงตรงนี้ต่างคนก็ต่างเงียบกับคำพูดประโยคสุดท้ายของผม ดูเหมือนว่าตุลย์ก็หลุดไปอยู่ในห้วงคำนึงของตุลย์เอง และผมเองก็หลุดไปในห้วงคำนึกส่วนตัวของผมเช่นกัน....ผมคิดถึงเรื่องที่ผมเคยถามแม่ผมตอนที่ผมลาพักร้อนกลับไปเยี่ยมบ้านครั้งล่าสุด... เมื่อไหร่ลูกจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซะที หึ? พล แม่ผมถามผม ขณะที่ผมนอนแผ่อยู่บนโซฟารับแขก อันเนื่องมากจากพึ่งกินข้าวเหนียวไก่ย่างส้มตำเจ้าอร่อย ที่ผมต้องไปซื้อมากินทุกครั้งเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้าน เป็นคำถามโลกแตกของเกย์ทุกคนที่ต้องเจอคำถามนี้กับพ่อแม่ของตัวเอง ผมยังไม่ได้บอกให้พ่อกับแม่รู้ว่าเป็นเกย์และผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบอกด้วย เพราะผมคิดว่าผมได้ตอบแทนคุณพ่อกับแม่ช่วยผ่อนบ้านทำหน้าที่ลูกกตัญญู ไม่เคยทำให้วงศ์ตระกูลอับอายในเรื่องทุจริตผิดกฎหมาย ไม่เบียดเบียนใคร แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วสำหรับลูกคนหนึ่งที่เป็นเกย์ที่ควรตอบแทนพ่อแม่สำหรับความคิดของผม หือ!?! ผมแกล้งทำไม่ได้ยินคำถาม หยิบอัลบั้มรูปเก่าๆที่แม่เก็บไว้ใต้โต๊ะรับแขกขึ้นมาดู ไม่ต้องมาทำไก๋เลย นี่ลูกจะสามสิบอยู่แล้วนะ น่าจะมองๆได้แล้ว เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้ แม่ก็...จะรีบไปทำไม พ่อก็ยังแต่งงานตอนอายุ 35 เลย นี่ผมยังไม่ถึง 30 ด้วยซ้ำ เอาไว้ใกล้ 35 แล้วค่อยว่ากันอีกทีน่า ผมมักจะใช้คำตอบนี้เป็นไม้ตายเสมอ อ้างถึงเรื่องที่พ่อของผมแต่งงานช้า ในสมัยนั้น ผู้ชายที่แต่งงานตอนอายุ 35 ถือว่าแต่งงานช้ามากๆ ผิดกับสมัยนี้ ภาวะทางเศรษฐกิจ และผู้ชายมีทางเลือกมากขึ้นจึงทำให้ช่วงอายุการแต่งงานช้าเพิ่มขึ้นทุกขณะ สมัยนั้นที่แต่งงานช้าเพราะมันมีเหตุจำเป็น... แม่ผมเกริ่น รอแม่โตก่อนใช่ไหม ผมว่าไอ้คำว่า เลี้ยงต้อย นี่พ่อคงบัญญัติเป็นคนแรกแน่ๆ มีอย่างที่ไหนเป็นครูกับลูกศิษย์ห่างกันตั้ง 15 ปี สอนลูกศิษย์มากับมือสุดท้ายกับจับลูกศิษย์มาแต่งงาน ผมแกล้งบ่นไปอย่างนั้นแหละ จริงๆถ้าเขาสองคนไม่แต่งงานกัน ผมก็คงไม่สามารถเกิดมาวิจารณ์ได้ฉอดๆเหมือนตอนนี้ แม่ผมคงเถียงไม่ออกเพราะที่ผมพูดมามันเป็นความจริง จริงๆแล้ว...จะว่าพ่อเค้าเลี้ยงต้อยก็ไม่ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์นะ เพราะว่าของแบบนี้มันต้องมันต้องร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย แม่ผมพุดออกมา หา !?! ผมงงว่าสิ่งที่ผมได้ยินมันจะออกมาจากปากของแม่ตัวเอง บังเอิญเหลือเกินที่อัลบั้มที่ผมกำลังพลิกดู มาถึงหน้าของรูปๆหนึ่ง ซึ่งในรูปถ่ายนั้น เป็นรูปขาวดำเก่ามากๆ เป็นรูปที่แม่ของผมใส่ชุดนักเรียนคอซองยืนถ่ายรูปเดี่ยว โดยมีฉากหลังเป็นเสาธง รอบๆเสาธงมีต้นแปลงดอกเข็มที่ปลูกล้อมไว้เป็นแปลงรูปทรงกลมล้อมเสาธงไว้ ผมพึ่งสังเกตเห็นว่า นอกจากจะมีเสาธง ยังมีกลุ่มเด็กนักเรียนกำลังถอนหญ้าในแปลงดอกเข็ม ภายใต้การควบคุมดูแลการถอนหญ้านั้นโดยชายคนหนึ่งซึ่งสวมชุดกากีข้าราชการครูยืนสั่งงาน ชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น พ่อผมนั้นเอง มิน่า !!!!...รูปนี่.!?!... ผมตกใจพูดไม่เป็นคำพูด ร้ายเหมือนกันแฮะ แม่เรา ผมเอ่ยแซวแม่ของตัวเอง แม่ของผมหลบตายิ้มเขินๆ แก้มแดงด้วยความอาย อุเหม่! เลือดสาวฝาดแก้มตอนอายุห้าสิบเก้านะ แม่เรา แต่แม่ก็เลือกคนไม่ผิดนี่ครับ ผมไม่เคยเห็นพ่อนอกใจแม่เลย ดูแลกันมาตลอด แม่ยิ้มกับคำพูดของผม แล้วบอกว่า พ่อเค้าเคยมาพูดกับแม่ว่า ขอบใจแม่มากที่ไม่ทิ้งเค้าไปตอนที่ครอบครัวเราเจอมรสุมชีวิต สายตาแม่มีความภูมิใจและเต็มไปด้วยความสุข เมื่อพูดประโยคนี้... ครอบครัวเราเคยประสบปัญหาเรื่องภาวะหนี้สินขาดสภาพคล่องอันเนื่องมาจากโดนโกงจากเพื่อนร่วมงาน และการที่ไว้ใจคนของพ่อที่มีมากเกินไป ยอมเป็นนายค้ำประกันในการกู้หนี้ยืมสินของผู้อื่นจนโดนฟ้องเกือบล้มละลาย ทนายฝ่ายเราเสนอว่าให้แม่หย่าขาดกับพ่อชั่วคราว เพื่อให้พ่อรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แต่แม่เลือกที่จะอยู่ข้างพ่อ เหตุการณ์นี้มันก้องอยู่ในใจของลูกทั้ง 4 คน... แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานจนเราตั้งตัวได้และอยู่อย่างพอเพียงตามอัตภาพ แม่เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ...ว่าพ่อกับแม่รักกันแบบไหน รักกันเมื่อไหร่...ผมอยากรู้ ...... ไม่มีคำตอบจากแม่ น่า...นะแม่ ผมก็เป็นผู้ใหญ่แล้วแม่ไม่ต้องเขินหรอก เผื่อผมจะได้เอาไว้เป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตคู่ ผมคะยั้นคะยอ แม่ผมทำท่าคิดสักครู่แล้วตัดพ้อว่า ไม่อยากเล่าเลย...มันเหมือนประจานความแก่แดดของตัวเอง แม่ผมใช้คำว่าแก่แดด กับผมเป็นสัญญาณที่ดีที่แม่เห็นผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งและมีทีท่าว่าจะเริ่มเล่า เอาแบบว่ารักกันตั้งแต่แรกแบบว่า... รักแรกพบหรือเปล่าอะไรประมาณนี้นะแม่ ผมเริ่มตื่นเต้นที่แม่ยอมเล่าเรื่องครั้งในอดีตให้ผมฟัง ก่อนเจอพ่อ แม่มีคู่หมั้นมาก่อน แม่ผมเริ่มเรื่อง คู่หมั้น !!! ไม่ใช่พ่อคนเดียวเหรอที่มาจีบแม่นะ ผมอุทาน เชอะ!! ดูถูก สมัยแม่ยังสาวรุ่นนะ แม่ก็หนึ่งในตองอูนะยะ แม่พูดประโยคนี้เสร็จ ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมได้ความมั่นจิต มั่นอกมั่นใจจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่นี่เอง แต่ก็ถูกของแม่ เพราะแม่ของผมเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งทีเดียว หรือว่าความสวยนี้จะเป็นเหมือนกันทุกบ้านคือลูกจะมองว่าแม่ตัวเองสวยกว่าแม่คนอื่นเสมอ คู่หมั้นเก่าแม่นะเป็นพี่ชายของเพื่อนแม่อีกที เพื่อนแม่ชื่อทองใบ ฮ่าๆๆๆๆ ทองใบ!!! คนอะไรชื่อทองใบ ทำไมมันเชยแบบนั้นละแม่ จะฟังต่อมั้ย? แม่ผมเริ่มไม่สบอารมณ์ที่โดนขัดคอ ฟังสิครับ แม่ก็...ก็มันขำจริงๆนะ ชื่ออะไรก็ไม่รู้เช้ยเชย ผมทำเสียงอ่อยๆ สมัยก่อนใครเค้าจะตั้งชื่อได้วิจิตรพิสดารเหมือนสมัยนี้กันล่ะ อยู่บ้านนอกชนบทกัน บุญแค่ไหนที่ตายายของลูกไปให้พระตั้งชื่อให้ ไม่งั้นแม่คงได้ชื่อว่าส้มแป้น...หรือไม่ก็...บุญหลายแน่ๆ จริงของแม่ แม่ของผมชื่อจริงว่า รัตนา โดยที่ชื่อเล่นที่พ่อของผมหรือ บรรดาญาติฝ่ายแม่จะเรียกชื่อเล่นๆว่า รัตน์ คนสมัยก่อนตั้งชื่อตามประสาถ้าใกล้ชิดพระเจ้าก็ขอความเมตตาให้พระเจ้าตั้งให้ไม่เหมือนสมัยนี้ที่แต่ละชื่อเรียกกันยากๆอ่านกันทีแทบจะต้องเปิดพจนานุกรมเพราะหากอ่านชื่อแล้วอ่านผิดจะดูไม่ดีต่อเจ้าของชื่อ แต่ไม่ใช่ประเด็นชื่อที่ผมสนใจประเด็นมันคือเรื่องราวของแม่ผมต่างหาก แม่ผมเริ่มเล่าจนเห็นภาพสมัยเมื่อแม่อายุได้ 14 ปีใกล้จบ ป. 7 ..... พุทธศักราช 2503 อำเภอแห่งหนึ่ง จังหวัดสกลนคร ดีจะตาย ถ้าเธอมาเป็นพี่สะใภ้ชั้นนะ เราจะได้อยู่บ้านเดียวกัน ทองใบพูดกับรัตนาด้วยเสียงแทบจะเป็นเสียงกระซิบ สาวรุ่นทั้งสองคุยกันอยู่ใต้ถุนบ้านที่ยกสูง ปล่อยให้ผู้ใหญ่คุยกันอยู่ด้านบน ทั้งสองพยายามเงี่ยหูฟังเสียงของพวกผู้ใหญ่ในบ้าน มันกะทันหันมากจู่ๆก็มีผู้ใหญ่จากบ้านฝ่ายชาย บุญมี ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของเพื่อนสนิทคนที่กำลังโน้มน้าวใจให้ตอบตกลงการมาสู่ขอครั้งนี้ รัตนาอึ้งกับความเห็นของทองใบ ทั้งสองเงียบพยายามฟังจนได้ยินเสียงผู้ใหญ่ข้างบน ลูกชั้นมันอยากจะแต่งงานก่อนมันไปนครสวรรค์ จะได้ไปสร้างตัวกันที่นั้น โรงสีที่โน้นก็สร้างใกล้เสร็จแล้ว ดีเหมือนกันถ้ามีครอบครัวจะได้ตั้งใจช่วยกันทำมาหากิน เสียงของผู้ใหญ่บุญโฮม พ่อของฝ่ายชายที่เป็นเจ้าของกิจการโรงสีแห่งเดียวของอำเภอพูดถึงจุดประสงค์ของการมาสู่ขอและเหมือนจะบอกกลายๆว่าการแต่งงานครั้งนี้ รับรองไม่มีการกัดก้อนเกลือกิน เพราะได้วางรากฐานกิจการเป็นของขวัญการแต่งงานให้คู่บ่าวสาวอยู่แล้ว เราจะได้ดองกันเสียที ถ้าเราได้ดองกันนะ ต่อไปลุงสมก็ไปสีข้าวที่โรงสีของชั้นฟรี! ไม่ต้องเสียค่าสีข้าวอีกแล้ว สีข้าวฟรี! รัตนานึกในใจพร้อมกับคิดถึงความยินดีที่บ้านของเธอจะได้ไม่ต้องเสียข้าวให้โรงสีของผู้ใหญ่บุญโฮมอีกต่อไป ทุกครั้งที่ไปสีข้าวผู้ใหญ่บุญโฮมจะคิด ร้อยละสิบโดยน้ำหนักของข้าวสารไม่ใช่ข้าวเปลือก ข้าวพร้อมเปลือกหนึ่งกระสอบป่าน โดนสีเอาเปลือกออก เหลือไม่ถึง 80 กิโลกรัมด้วยซ้ำ ร้อยละสิบก็น่าจะเก็บแค่กระสอบละ 8 กิโลกรัม แต่การเก็บค่าสีข้าวของผู้ใหญ่บุญโฮมไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อนำข้าวพร้อมเปลือกมา 1 กระสอบป่านมาสีเป็นข้าวสารออกมา ผู้ใหญ่บุญสมกลับมีปี๊บ 1 อันไว้ตวงข้าวสารออกไปเป็นค่าสีข้าว 1 ปี๊บ ซึ่งรัตนาเคยแอบเอาข้าวสาร 1 ปี๊บไปลองชั่งเมื่อตอนคนสีข้าวเผลอ รัตนาค้นพบว่ามันหนักถึงเกือบ 15 กิโลกรัม ความรู้สึกโดนเอาเปรียบนี้ รัตนาได้แต่เก็บไว้เอาไว้ในใจ เพราะพ่อของเธอบอกกับเธอเสมอว่า อย่าพูดออกไปให้ใครได้ยินเพราะเราไม่มีทางเลือก... และถึงตอนนี้กับข้อเสนอการแต่งงานพร้อมกับได้สีข้าวฟรี ทางเลือกได้มาอยู่ฝ่ายเราบ้างแล้ว โบราณเค้าว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจคนนอน ผมตัดสินใจแทนลูกไม่ได้หรอกครับผู้ใหญ่ เสียงนายสม ผู้เป็นพ่อของรัตนาตอบ อะไร! ลุงสมเป็นพ่อของเด็ก ก็น่าจะให้คำตอบได้นะ ลูกต้องเชื่อฟังพ่ออยู่แล้วนี่! เสียงของป้าอุ่นเรือน ภรรยาผู้ใหญ่บ้านออกความเห็นบ้าง เสียงเงียบจากบนเรือนเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เสียงนายสมใจผู้เป็นพ่อของรัตนาจะบอกเหตุผล ก่อนที่เมียผมจะตาย เมียผมสั่งให้ดูแลลูกๆให้ดีส่งเสียลูกให้เรียนสูงๆให้ได้ รัตน์มันเป็นเด็กขยันและหัวดีที่สุดในบรรดาลูกทั้งหมด ผมอยากให้มันเรียนสูงๆกว่านี้ อีกอย่างมันก็เด็กอยู่ ยังไม่เต็มสิบห้าด้วยซ้ำใจผมอยากให้มันเรียนอีกหน่อย ถ้าหัวมันไปได้ มันอาจจะเป็นเจ้าคนนายคนกับเขาบ้าง รัตนาฟังเสียงผู้เป็นพ่อให้เหตุผลด้วยความซาบซึ้งใจในความรักและความหวังที่พ่อมีในตัวเธอ แม่ของเธอมาด่วนจากไป ตั้งแต่เธออายุได้แค่ 6 ขวบและน้องสาวเธอแค่ 3 ขวบ ภาระเรื่องลูกจึงตกเป็นหน้าที่ของผู้เป็นพ่อตั้งแต่บัดนั้นกับการเลี้ยงดูลูกๆทั้ง 7 คน รัตนามีพี่ชายทั้งหมด 3 คน ซึ่งอายุห่างจากเธอ สิบกว่าปีทั้งนั้นและตอนนี้ต่างก็ออกบ้านไปมีครอบครัวมีลูกมีเต้ากันหมด พี่สาวอีก สองคน คือ สายใจ และสวรรค์ ก็ออกเรือนไปแล้วเช่นกัน คงเหลือแต่รัตนาและวันเพ็ญ พี่น้องสองสาวที่อยู่กับพ่อในบ้านหลังนี้ อู้ย...จะรงจะเรียนมันไปทำไม้!! ป้าอุ่นเรือนเมียผู้ใหญ่บ้านขึ้นเสียงสูงแล้วกล่าวต่อ เรียนเยอะไปก็เท่านั้น เรียนเยอะแค่ไหนจบออกมาก็เอาผัวอยู่แค่ในบ้านอยู่ดี แม่ชั้นพูดถูก จะเรียนไปทำไมเยอะแยะ เรียนไปก็เท่านั้น ชั้นนะ! ไม่ค่อยชอบเรียนนักหรอก จบป.7 นี่ชั้นจะไม่เรียนแล้ว ไม่รู้จะเรียนไปทำไม ไม่เห็นมีประโยคสักนิด ทองใบกระซิบออกความเห็น รัตนากำหมัดแน่น ทั้งรู้สึกโกรธและผิดหวังต่อความคิดของเพื่อนในวันนี้ และไม่พอใจอย่างยิ่งที่การออกความเห็นของป้าอุ่นเรือนต่อการเรียนของเธอที่เธออุตสาหะ เล่าเรียนจนสอบได้ที่หนึ่งของชั้นเรียนมาโดยตลอด รัตนาพยายามควบคุมอารมณ์โกรธนั้นไว้ จริงๆชั้นก็เห็นด้วยนะ ว่าลูกของลุงสมนะยังเด็ก แต่เจ้าลูกชายชั้นนะสิ มันไม่ยอม มันบอกว่าถ้าไม่ได้แต่งกับกับลูกของลุงสมมันจะไม่ยอมไปดูแลโรงสีที่นครสวรรค์นะสิ! ถ้าเห็นแก่อนาคตของเด็ก ชั้นรับประกันว่าเป็นเจ้าของโรงสีนะ ไม่อดตายหรอกมีแต่รวยขึ้นๆด้วยซ้ำ สินสอดทองหมั้นชั้นก็จะตบแต่งให้สมฐานะ ! ลูกชายผู้ใหญ่บุญโฮมจะแต่งงานทั้งที ต้องถามเด็กแล้วละครับเรื่องนั้น ถ้าเด็กรักกันชอบพอกันผมคงไม่ขัดข้อง ติดแต่ในความเห็นผมคือลูกผมมันเด็กไป ผมอยากให้มันเรียนอีกหน่อยนะ งั้นก็เรียกมาถามความสมัครใจซะทีสิ จะได้รู้ๆกันไปเลย เสียงของคุณนายอุ่นเรือนบอกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดแม้แต่ผู้แอบฟังอยู่ไต้ถุนบ้านอย่างรัตนายังจับอารมณ์ในน้ำเสียงนั้นได้ รัตน์เอ้ย! รัตน์ ! จ๋าพ่อ รัตนารีบขานรับ พร้อมกับรีบวิ่งขึ้นไปบนเรือนพร้อมคลานเข่าเข้าไปนั่งข้างๆพ่อในวงสนทนาโดยมีฝ่ายชายคือบุญมี พี่ชายของทองใบจ้องมองอย่างไม่วางตาพร้อมกับยิ้มให้ตลอดเวลา รัตนาก้มหน้าพยายามไม่สบตาใคร ทองใบที่แอบฟังอยู่ใต้ถุนบ้านพร้อมกับรัตนาก็คลานเข่าเข้ามาติดๆแต่ก็คลานไปทางผู้ใหญ่บุญโฮมและป้าอุ่นเรือน บัดนี้เหมือนสองครอบครัวกำลังประจันหน้าในศึกรบไม่มีผิด เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ พอลูกชายบอกให้มาสู่ขอก็ยังนึกอยู่ว่าเด็กมอมแมมอย่างนั้นชอบเข้าไปได้อย่างไร พอมาเห็นหน้าวันนี้ลูกของลุงสมสวยขึ้นมากนะ ลูกชายชั้นก็ตาถึงเหมือนกัน ผู้ใหญ่บุญโฮมกล่าวชม แต่น่าแปลก! ที่รัตนาไม่ได้รู้สึกยินดีกับความกล่าวชมที่ได้ยินนั้นเลย ได้แต่ก้มหน้า ลุงมาสู่ขอหนูมาเป็นสะใภ้ของบ้านนะ หนูจะว่าอย่างไง ผู้ใหญ่บุญโฮมเอ่ยถาม รัตนามองหน้าผู้เป็นพ่อบังเกิดกล่าวแล้วบอกว่า แล้วแต่พ่อค่ะ แต่สายตาของรัตนาที่ส่งให้กับผู้เป็นพ่อนั้น เชิงร้องขอความช่วยเหลือ ผู้เป็นพ่อที่เลี้ยงดูอยู่เข้าใจในทันทีว่า ลูกสาวยังไม่พร้อม จริงๆผมก็อยากให้ลูกสาวผมเป็นฝั่งเป็นฝานะผู้ใหญ่ เพื่อเห็นแก่แม่ของรัตน์มันที่ตายไปแล้วที่เคยขอร้องให้ผมส่งเสียลูกให้เรียนสูงๆ โรงเรียนมัธยมกำลังสร้างให้ทันรุ่นของลูกสาวผมพอดี เจ้าของโรงเรียนก็เป็นญาติสนิทกับหลวงพ่อแปลง หลวงพ่อแปลงก็อยากให้ลูกหลานไปเรียนกันเยอะๆผมก็เห็นว่าลูกผมมันน่าจะเรียนพอไปได้ ผมขอให้รัตน์มันเรียนต่ออีกสัก 3 ปีได้ไหม จบมศ.3 แล้วค่อยว่ากันอีกที อีกอย่างถ้าออกเรือนตอนนี้จะไม่มีใครสอนเรื่องงานบ้านให้ลูกสาวคนเล็กของผม รออีกสักนิดอีกสามปี ถึงตอนนั้นวันเพ็ญก็คงจะรู้งานบ้านถ้ารัตนาอยากออกเรือนก็คงพร้อมทุกอย่าง เมื่อนายสมใจพูดเสร็จ ชายหนุ่มผู้เลือดร้อนอยากจะเข้าวิวาห์แสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดจนผู้ใหญ่บุญโฮมต้องรีบตัดสินใจเดี๋ยวนั้น งั้นก็ต้องหมั้นเอาไว้ก่อน จะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย จริงๆแล้วมันคือความสบายใจเฉพาะฝ่ายเจ้าบ่าวมากกว่า ซึ่งดูเหมือนว่าบุญมีผู้เป็นลุกชายจะมีสีหน้าดีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดีเหมือนกัน! เจ้าบุญมีจะได้ไปสร้างเนื้อสร้างตัวไว้รอให้ว่าที่เจ้าสาว ถ้าอยากให้เค้าสบายแกก็ต้องไปทำงานสร้างฐานะสร้างกิจการโรงสีที่โน่นให้เจริญรุ่งเรือง เข้าใจไหม หนุ่มบุญมีที่อายุเพียง 19 ปีพยักหน้ารับคำ เรื่องก็สรุปได้แล้ว เรากลับไปก่อนดีไหมจะได้ไปดูฤกษ์ยามแล้วค่อยมาตกลงวันหมั้นกันอีกที เสียงป้าอุ่นเรือนแสดงถึงความไม่พอใจเชิงรำคาญที่ได้คำตอบแค่ การหมั้น ไม่ใช่ตกลงเรื่องการแต่งงานให้ได้เรื่องได้ราวไปเสียทีเดียว ผู้ใหญ่บุญโฮมเหมือนจะรู้อารมณ์ของผู้เป็นภรรยา แต่ในเวลานั้นคงไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่บุญโฮมเพียงคนเดียวที่รู้ในน้ำเสียง นายสมและรัตนาผู้เป็นลูกสาวก็ได้แต่นิ่งเงียบกับน้ำเสียงท่าทีนั้น ถ้าอย่างนั้นชั้นก็หมดธุระแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะ ผู้ใหญ่บุณโฮมออกปากขอตัวจะกลับ เมื่อทุกคนลงจากเรือน ไม่วายที่ป้าอุ่นเรือนจะบ่นกับสามีดังๆขณะเดินออกจากบริเวณบ้าน ความเงียบของชนบทสมัยนั้นมันเงียบเสียจนได้ยินสียงพูดคุยกันถึงแม้ว่าผู้พูดจะเดินไปไกลถึงเกือบประมาณสามสิบเมตรแล้วก็ตาม หรืออาจเป็นเพราะป้าอุ่นเรือนจงใจที่จะให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เล่นตัวกันนัก ! จะต้องมีขั้นตอนเยอะแยะ จะเอาของหมั้นด้วยนะสิ สินสอดแต่งงานไม่พอตั้งตัวหรือไง! จุๆๆ...ไปคุยกันที่บ้าน เสียงผู้ใหญ่บุญโฮมปราม นายสมผู้เป็นพ่อของรัตนาเดินหนี แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ออกความเห็นใดๆ ปล่อยให้รัตนาครุ่กรุ่นด้วยความโกรธ นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่ป้าอุ่นเรือนปรามาสเธอแต่คราวนี้รามปามไปถึงครอบครัวของเธอว่าไม่รู้จักพอด้วย ยิ่งทำให้เธอแค้น และเธอยิ่งไม่เข้าใจพ่อของเธอที่ไม่แสดงความเห็นใดๆต่อคำปรามาสนั้น พ่อของเธอเดินเฉยเข้าห้องนอนไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น... ข่าวการหมั้นของบุญมีและรัตนาดังอย่างรวดเร็ว คนมาเป็นสักขีพยานในงานหมั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ใหญ่บุญโฮมเยอะกว่าญาติของฝ่ายหญิงเป็นสิบเท่า จริงอยู่ที่เป็นแค่การหมั้น แต่รัตนาก็อดถูมิใจไม่ได้ที่เธอได้รับเกียรติการมาสู่ขอจากคนที่มีหน้ามีตาทางสังคม เธอได้รับคำกล่าวที่ชื่นชมจากเพื่อนๆของเธอเสมอ และบอกว่าเธอโชคดีมากที่เธอได้เป็นว่าที่สะใภ้ของครอบครัวอันมีเกียรติ เป็นถึงเจ้าของกิจการโรงสีที่นับวันจะใหญ่โต จนต้องไปขยายกิจการถึงนครสวรรค์เป็นลู่ทางปูไปสู่ความสบายของเธอในอนาคต เพื่อนๆเรียกเธอว่าคุณนายโรงสีอย่างคะนองปากเมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนด้วยกัน ในอนาคตใครจะรู้...ว่าที่พ่อสามีเธออาจจะเป็นกำนันสักวันและเธอก็จะกลายเป็นสะใภ้กำนันในที่สุด น่าแปลก...ที่หลังจากงานหมั้น รัตนารู้สึกต้องระวังในการวางตัวขึ้นมากเป็นพิเศษ รัตนาไม่กล้าที่จะไปหาทองใบที่บ้านผู้ใหญ่บุณโฮมเหมือนที่แล้วๆมา ในวันหยุดเธอกลับเลือกที่จะอยู่บ้านไม่ไปปีนเที่ยวเก็บมะขามกับทองใบเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเพื่อนกัน บุญมี คู่หมั้นของเธอไปบุกเบิกกิจการโรงสีที่นครสวรรค์ตามคำสั่งของผู้ใหญ่บุญโฮม ที่หวังจะให้เป็นอนาคตของเขาและเธอ รัตนาเองก็เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมที่เปิดใหม่ เธอเป็นนักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนมัธยมแห่งนี้และนี่ เป็นวันแรกของการเปิดเรียน โต๊ะเก้าอี้และกระดานดำที่อยู่หน้าห้องดูขลังนัก ถึงแม้จะเป็นของใหม่หมด แต่มันก็ดูน่าเกรงขามเพราะในบรรดาพี่น้องของเธอ รัตนาเป็นคนแรกที่ได้มาเรียนในชั้น มศ.1 เธอรู้สึกว่าหน้าที่การเป็นนักเรียนของเธอจะต้องไม่ทำให้ใครผิดหวังและเธอ จะทำให้เต็มความสามารถ เสียงระฆังดังให้สัญญาณดังขั้น บอกให้นักเรียนทุกคนเตรียมตัวเรียนในวิชาแรก หลังจากพึ่งเข้าแถวเคารพธงชาติและได้รับโอวาทจากครูใหญ่เจ้าของโรงเรียน นักเรียนในห้องเงียบเสียงทันทีที่ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีกากีเดินเข้ามา เมื่อรัตนาเห็นใบหน้าของครูผู้สอนที่เดินเข้ามา เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า หัวใจของเธอเต้นแรงผิดปกติเธอรู้สึกถึงโลหิตที่สูบฉีดภายในกายของเธอ ครูชื่อ วิทยา เกียรติณรงค์ จะมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้กับนักเรียนในวันนี้ เจ้าของชื่อเมื่อบอกเสร็จก็หันหลังให้นักเรียน เอื้อมมือไปหยิบชอล์กเขียนชื่อตัวเองลงในกระดานดำด้วยตัวหนังสือตัวใหญ่ที่สามารถที่จะให้นักเรียนที่นั่งอยู่หลังชั้นเรียนเห็นได้ชัดเจน วิทยา เกียรติณรงค์ เป็นชื่อที่รัตนาจำได้ในทันทีโดยไม่ต้องให้ใครบอกซ้ำ รัตนาจ้องหน้าอาจารย์ที่อยู่หน้าชั้นอย่างไม่วางตาเหมือนกับว่าเธอเคยได้เจอผู้ชายคนนี้ที่ไหนสักแห่ง แต่เธอจำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน ไหน นักเรียนลองแนะนำตัวให้ครูรู้จักทีละคนสิ เริ่มจากเธอก็แล้วกัน อาจารย์วิทยาชี้ไปที่นักเรียนคนที่นั่งหน้าสุดมุมขวาของห้องเป็นคนแรกที่แนะนำตัว รัตนานั้นนั่งอยู่หน้าสุดของห้องเช่นกันแต่นั่งอยู่ตรงกลาง เมื่อเรียงลำดับจากมุมขวาของห้อง เธอนั่งเป็นลำดับที่ 5 ที่จะได้แนะนำตัว รัตนา ท่องคำที่จะใช้แนะนำตัวอยู่ในใจ และเมื่อถึงตาเธอเธอจะแนะนำให้ดีที่สุด เธอท่องแล้วแล้วท่องอีกจนเมื่อถึงลำดับที่ต้องเป็นเธอ รัตนาลุกขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัดว่า ดิฉันชื่อ ตั๊ดระนา มหาวงศ์ค่ะ! เจ้ากรรมเอ๋ย แม้แต่เจ้าตัวเองยังไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองพูดชื่อตัวเองผิด อะไรนะ!?! เธอชื่อ ตั๊ดระนา จริงๆเหรอ อาจารย์วิทยาถามซ้ำ ทำเอาเพื่อนๆในห้องหัวเราะดังลั่นในความเปิ่นของรัตนา ถึงตรงนี้รัตนาพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองได้พูดผิด เธออายจนหน้าแดงแทบจะร้องไห้ออกมา เธอหวังที่จะทำหน้าที่นักเรียนที่ดี กล้าคิดกล้าทำพูดจาฉะฉาน แต่เธอกลับพูดผิด.ให้ตายเถอะ รัตนาค่ะ เธอตอบเสียงค่อยๆอย่างอายๆ ไม่เป็นไร ใจเย็นๆทุกคนมีข้อผิดพลาดกันได้ ขอให้เรามีสติค่อยๆคิดแล้วจะดีเอง อาจารย์วิทยากล่าวปลอบใจพร้อมกับยิ้มด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจโชว์ฟันขาวที่เป็นระเบียบ รัตนาประทับใจกับรอยยิ้มนั้นมาก เพราะดูเหมือนกับว่า โลกทั้งโลกกำลังให้แสงสว่างแก่ทุกสิ่ง มันมีชีวิตชีวา ด้วยรอยยิ้มนั้นถึงขาดแสงอาทิตย์โลกของเราคงจะหมุนได้ไม่เดือดร้อนหากได้ยิ้มของอาจารย์วิทยา การเรียนของวิชาแรกวิชาคณิตศาสตร์เต็มด้วยชีวิตชีวา รัตนารู้สึกชื่นชมอาจารย์วิทยาอยู่ในใจที่ทำให้เธอสามารถเข้าใจถึงการเรียนการคำนวณของวิชานี้ได้ดียิ่งขึ้น เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะตั้งใจเรียนวิชานี้และทุกวิชาให้เต็มความสามารถ เค้าว่าอาจารย์วิทยาอกหักเพราะผู้หญิงหนีไปแต่งงานใหม่ รัตนาแทบหูผึ่งเพราะเสียงนินทาอาจารย์วิทยาดังมาจากด้านหลังของเธอ เป็นเสียงของนิภาเพื่อนร่วมชั้น ขณะที่เธอกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือวิชาสังคมเพื่อเตรียมเรียนหลังจากหมดชั่วโมงพักเที่ยงแล้ว พูดเป็นเล่นไปเธอ เธอได้ยินมาจากไหน เสียงของผ่องศรีเพื่อนอีกคนถาม ชั้นได้ยินพ่อคุยกับแม่อีกที ก็พ่อชั้นเป็นเพื่อนกับครูใหญ่เจ้าของโรงเรียนไง ครูใหญ่ก็เล่ามาอีกทีหนึ่ง เค้าบอกว่าอาจารย์วิทยานะ จริงๆกำลังจะแต่งงานแล้ว แต่ว่าฝ่ายหญิงไม่พอใจที่เอาเงินเก็บทั้งหมดมาลงทุนร่วมหุ้นเปิดโรงเรียนมัธยมที่เรากำลังเรียนอยู่นี่แหละ โรงเรียนปรีชาศึกษา เป็นโรงเรียนราษฎร์ หรือคำในสมัยนี้คือ โรงเรียนเอกชน ในสมัยก่อนรัฐบาลยังไม่ได้ขยายการศึกษาได้ทั่วถึงมากนัก การก่อตั้งโรงเรียนราษฎร์จึงเพื่อมุ่งหวังให้นักเรียนไทยมีการศึกษาที่ดีขึ้น ที่สำคัญโรงเรียนราษฎร์ในสมัยนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อฤาชาว่า ครูสอนในโรงเรียนจะไม่มีโต๊ะนั่งในชั้นเรียน ครูโรงเรียนราษฎร์จะต้องขยันขันแข็งไม่มีการนั่งพักตลอดชั่วโมงการสอน ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมของผู้ปกครองว่าหากครูเอาใจใส่ในหน้าที่ต่อบุตรหลานโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยหรือเกียจคร้านบุตรหลานจะได้รับการศึกษาที่ดีแน่ และสมัยนั้นค่าเทอมของโรงเรียนราษฎร์ก็ไม่ได้มหาโหดเหมือนค่าเทอมของโรงเรียนเอกชนในสมัยนี้ด้วย ทำไมฝ่ายหญิงถึงไม่พอใจล่ะ เสียงผ่องศรีถามต่อ นั่นสิทำไมถึงไม่พอใจรัตนาผู้เงี่ยหูฟังอยู่ก็อยากจะรู้เช่นกัน ก็มันเป็นเงินสินสอดที่จะใช้แต่งงานนะสิ พอเค้าเห็นว่าอาจารย์วิทยาเหลือแต่ตัวเปล่ากับโรงเรียนซึ่งก็เป็นแค่หุ้นส่วน ไม่ได้เป็นเจ้าของคนเดียวสักหน่อย อีกเมื่อไหร่จะเก็บเงินไปแต่งได้ก็ไม่รู้ อีกอย่างฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยที่จะมาเป็นโรงเรียน ฝ่ายหญิงก็เลยไม่รอไปแต่งงานใหม่เลยหน้าตาเฉย น่าสงสารอาจารย์วิทยานะ ผ่องศรีและรัตนาเปรยออกมาพร้อมกัน เสียงของรัตนาทำให้ทั้งนิภาและผ่องศรีรู้ตัวว่ามีคนไม่ได้รับเชิญแอบอยู่ในวงสนทนาด้วย รัตน์! เธอแอบฟังด้วยเหรอ นิภาพูดเหมือนจับคนผิดได้ พวกเธอคุยเสียงดังจะตาย ใครอยู่แถวนี้ก็ได้ยินทั้งนั้นแหละ รัตนาพูดแก้เขิน ถ้าเป็นเธอล่ะ ว่าที่คุณนายโรงสี ถ้าพี่บุญมีเอาสมบัติทั้งหมดไปเปิดโรงเรียน แล้วบอกว่าให้รอก่อนเธอจะทิ้งคู่หมั้นเธอไปหรือเปล่า ? นิภาเอ่ยถาม รัตนาคิดไม่ออกท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ ทันใดนั้นสียงระฆังให้สัญญาณหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้น นักเรียนหลายคนต่างวิ่งเข้าห้องเรียนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวิชาในภาคบ่าย ถือเป็นระฆังช่วยชีวิตรัตนาต่อคำถามนั้น เธอรีบชิงไหวพริบโดยการเอาตัวรอดเฉไปเรื่องอื่น หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว เธออ่านวิชาสังคมที่อาจารย์ให้เตรียมตัวอ่านมาก่อนหรือยัง เธอก็รู้อาจารย์สมศรีโหดจะตาย ถ้าถามแล้วไม่รู้เรื่องนะ คราวที่แล้วอาจารย์ให้อ่านมาก่อนเหรอ ตายแล้ว! ชั้นยังไม่ได้อ่านเลย นิภาและผ่องศรีวิตกจริตพร้อมกับรีบเปิดกระเป๋าหาหนังสือสังคมขึ้นมาอ่าน รัตนาหันตัวกลับมาคิดถึงคำถามที่นิภาถามเมื้อกี้เพียงแต่ว่าคนในคำถามกลับไม่ใช่บุญมีคู่หมั้นของเธอ เธอกลับมาถามตัวเธอเองว่า ถ้าเธอเป็นคู่รักอาจารย์วิทยา แล้วอาจารย์วิทยาเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนตั้งโรงเรียนเธอจะทำอย่างไร..... 1 ปีผ่านไป....... รัตนาส่องกระจกบานเล็กของบ้านดูความเรียบร้อยของชุดนักเรียนก่อนจะลงจากบ้านเพื่อไปเรียนในวันเปิดเทอมของปี มศ.2 ปีการศึกษาใหม่ของเธอ เธอออกจากห้องที่เธออยู่กับจันทร์เพ็ญ น้องสาวคนเล็กที่กำลังแต่งตัวอยู่ในชุดนักเรียนซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.6 เพ็ญแต่งตัวเร็วๆ จะได้เดินไปพร้อมกัน จันทร์เพ็ญรีบแต่งตัวดูความเรียบร้อยก้าวออกมาจากห้องตามมาติดๆ พ่อจ๋า ไปเรียนก่อนนะจ้ะ ทั้งสองสาวรุ่นยกมือไหว้พ่อก่อนจะลงเรือนทันใดนั้น เสียงที่ทั้งสามไม่คุ้นหูก็ดังกระหึ่มอยู่หน้าบ้าน นั้นมันเสียงอะไรกัน! ผู้เป็นพ่ออุทาน นายสมและลูกสาวทั้งสองรีบออกมาดูที่หน้าบ้าน ภาพที่ทั้งสามเห็นคือ บุญมี คู่หมั้นของรัตนานั่งบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์คันใหญ่อยู่หน้าบ้าน ยิ่งบิดให้มอเตอร์ไซด์ดังเท่าไหร่ดูเหมือนเจ้าของรถจะมีสีหน้าภาคภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น เสียงรถมันกวนโสตประสาทไม่เฉพาะบ้านของรัตนา บ้านใกล้เรื่องเคียงในละแวกนั้นต่างออกมายืนมุงดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กๆวิ่งออกมาดูสิ่งประหลาดที่เรียกว่ามอเตอร์ไซค์อย่างตื่นตาตื่นใจ ในสมัยนั้นมอเตอร์ไซด์คันนี้เป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกของหมู่บ้าน รัตน์ชอบมอเตอร์ไซค์พี่ไหมจ้ะ บุญมีตะโกนขึ้นมาแข่งกับเสียงรถที่ดังกระหึ่ม ไม่แม้แต่จะคิดไหว้ผู้อาวุโสที่เป็นพ่อของรัตนา น่าแปลกที่นี่เป็นการเจอกันครั้งแรกของคู่หมั้นคู่หมายที่ไม่ได้เจอกันเป็นปี แทนที่จะดีใจรัตนากลับรู้สึกแค่...เฉยๆ เธอสังเกตจากสีหน้าของผู้เป็นพ่อที่หน้าตาบูดบึ้งว่ากำลังโกรธ และเช่นกันภายในของรัตนารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ให้เกียรติแม้แต่จะสวัสดีหรือยกมือไหว้พ่อของเธอเลย เสียงมันดังจัง! รัตนาตะโกนลงไป ปิดก่อนก็ได้จ้ะ แล้วบุญมีก็ดับเครื่องมอเตอร์ไซด์ ทุกคนโล่งหูที่ความเงียบสงบคืนมาอีกครั้ง สมาชิกบ้านใกล้เรือนเคียงหลายสิบคนออกมายืนมุงดูเจ้ามอเตอร์ไซค์ ยิ่งคนมุงดูมากเท่าไหร่ดูเหมือนบุญมีจะชอบใจที่ตัวเองเด่นดังยิ่งขึ้น ความโก้หรูและการที่เป็นจุดสนใจยิ่งทำให้บุญมีคึกคะนองไม่ได้กล่าวทักผู้เป็นพ่อของรัตนา ทำเหมือนมองไม่เห็นหัวด้วยซ้ำ กำลังจะไปโรงเรียนเหรอ มา ! ไปกับพี่ ! ซ้อนมอเตอร์ไซค์พี่ไป พี่จะไปส่งเอง นายสมหน้าถมึงทึงไปที่ลูกสาว ไม่เป็นไรจ้ะ ชั้นต้องเดินไปส่งเพ็ญด้วย รัตนารีบตอบเพราะรู้ว่าผู้เป็นพ่อไม่พอใจแน่ หากตอบตกลงที่จะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ซ้อนสามกันไปพร้อมกันก็ได้ รถนี้ไหวอยู่แล้ว! น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิ คงไม่ไหวหรอกพ่อหนุ่ม วันนี้ชั้นจะเดินไปส่งลูกสาวพอดี ซ้อนสี่ไปคงไม่ได้ใช่ไหม ? นายสมพูดตัดจังหวะ พ่อจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อวันนี้พ่ออยากไปส่งลูกในวันเปิดเรียน นายสมบอกกับรัตนาแล้วเดินเข้าเรือนไป บุญมีรีบวิ่งไปที่รัตนาเมื่อเห็นชายชราเดินเข้าไปห้องหยิบเสื้อ บุณมีรีบกระซิบเบาๆ ไปกับพี่เถอะ พี่คิดถึงรัตน์เหลือเกิน พูดไม่พูดเปล่าพร้อมกับถือวิสาสะจับมือรัตนาเข้าไปที่แนบอก รัตนารีบสะบัดมือพร้อมกับพูดด้วยเสียงไม่พอใจ พี่บุญมี! ทำอย่างนี้มันไม่งาม! แต่เราหมั้นกันแล้วนะ ! บุญมีเริ่มไม่พอใจ เราหมั้นแต่เรายังไม่ได้แต่งงาน รัตนาต่อคำไม่ลดละ จ้องบุญมีอย่างจริงจัง จนบุญมีเริ่มมีท่าทีอ่อนลง เอาเถอะ เอาเป็นว่าวันนี้พี่ไปส่งรัตน์นะ รถไปนครสวรรค์จะออกตอนเที่ยงนี้แล้ว ถ้าไม่อยู่กับรัตน์ตอนนี้ ไม่รู้ว่าพี่จะมีโอกาสมาเจอรัตน์อีกเมื่อไหร่พี่ก็ไม่รู้ บุญมีตัดพ้อ คงไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้พ่อจะเดินไปด้วย ไม่มีทางที่เราจะอยู่ลำพัง ทางที่ดีรอให้รัตน์เรียนจบก่อนดีกว่าแล้วเราค่อยเจอกัน อะไรกันนักกันหนา ไอ้เรื่องเรียนนี่! เรียนไปมันก็เท่านั้น เป็นผู้หญิงจะเรียนไปทำไมจบมาก็อยู่กับบ้านให้ผู้ชายหาเลี้ยงอยู่ดี รัตนาโกรธจัดจนพูดไม่ออก เธอเกลียดมากหากใครมาดูถูกเธอเรื่องการที่เธอตั้งใจใฝ่เรียน แล้วด่วนสรุปว่าที่เธอทำมาทั้งหมดมันจะสูญเปล่าเมื่อแต่งงานไป หมดคำพูดที่จะพูดกับผู้ชายคนนี้แล้วจริงๆ เธอกลั้นน้ำตาไม่ไห้ไหลเบคำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเธอ ไป พ่อจะไปส่ง เสียงพ่อของเธอเรียกและกำลังเดินออกจากเรือน รัตนาพยายามควบคุมเรี่ยวแรงเดินตามพ่อไป แต่เจ้ากรรม น้ำตาที่พยายามบังคับไม่เป็นใจไปด้วยมันร่วงอาบที่แก้ม มันเป็นการร้องไห้ที่ปราศจากการสะอื้น บุญมีพึ่งรู้ตัวว่าเค้ากำลังทำให้ฝ่ายหญิงเสียใจรีบเข้ามายืนขวางทางไว้ หลีกไป ฉันจะเดินไปกับพ่อ จันทร์เพ็ญผู้เป็นน้องจับแขนรัตนาผู้เป็นพี่แน่น เหมือนบอกให้รัตนาเข้มแข็งไว้ น้องสาวคนสุดท้องเป็นน้องที่สนิทที่สุดและรู้ใจรัตนาเป็นที่หนึ่ง เธอรู้ว่าพี่สาวเจ็บปวดจากการดูถูกของบุญมีเพียงไร พี่ขอโทษ... บุญมีกล่าวเสียงอ่อย ฉันต้องไปเรียนแล้ว ขอให้พี่เดินทางโดยปลอดภัย รัตนากล่าวโดยไม่มองหน้าบุญมีด้วยซ้ำพร้อมจูงมือวันเพ็ญน้องสาวให้รีบเดินตามหลังผู้เป็นพ่อไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อถึงกลางทางที่เงียบสงบไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง จริงอยู่ที่การร้องไห้ของรัตนาไม่มีเสียงสะอื้น แต่คนร้องไห้ก็คือคนร้องไห้ เสียงการหายใจเข้าออกของรัตนามันฟ้องว่าเธอกำลังร้องไห้ จนนายสมผู้เป็นพ่อหยุดเดินแล้วหันมาบอกกับลูกทั้งสองว่า ร้องไห้ออกมาเถิดลูกเอ๊ย ถ้ามันเจ็บปวดนักก็ร้องไห้ออกมา ไม่ต้องเก็บมันเอาไว้ รัตนาหยุดเดิน เธอก้มหน้ามองพื้นไม่ให้ผู้เป็นพ่อเห็นน้ำตา คำกล่าวของผู้เป็นพ่อบอกเช่นนี้ นั้นหมายถึงพ่อของเธอได้ยินทุกคำพูดที่เธอกับบุญมีพูดให้กันและกัน เธอรู้ว่าพ่อของเธออยากปลอบเธอ เธอค่อยๆสะอึกสะอื้นขึ้นทีละนิดๆ จนต้องปล่อยโฮออกมาอย่างเหลืออด เธอรีบวางกระเป๋าหนังสือลงแล้วเอามือทั้งสองมาปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้เสียงดัง ตัวเธอสั่นร้องไห้เหมือนทำนบแตก แม้กระทั่งจันทร์เพ็ญน้องสาวของเธอก็อดที่จะน้ำตาไหลในความโศกเศร้าของพี่สาวตัวเองไม่ได้ เธอไม่กล้าที่เข้าไปกอดปลอบพี่สาว เธอปล่อยให้รัตนาร้องไห้ออกมาให้พอใจเหมือนกับคำพูดของผู้เป็นพ่อ หนูจะทำอย่างไรดีคะพ่อ หนูควรทำอย่างไง คำถามที่เปี่ยมไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ถามผู้เป็นพ่อ นายสมเลี้ยงดูลูกสาวมากับมือหลังจากที่แม่ของเด็กสาวทั้งสองตายจากไปได้ สิบกว่าปีแล้ว ใครจะนึกว่าวันนี้เค้าจะได้เห็นลูกสาวของตัวเองร้องไห้จากคำพูดคนอื่น ไม่เลย...เขาไม่ได้ต้องการเลี้ยงลูกมาเพื่อให้พบกับความโศกเศร้าเช่นนี้ หัวใจผู้เป็นพ่อแทบแตกสลายเมื่อเห็นลูกตัวเองเป็นทุกข์ พ่ออายุเกือบจะหกสิบอยู่แล้ว พ่ออ่านหนังสือไม่แตกเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่ง ก ไก่ ข ไข่ ถึงแม้ว่าลูกจะท่องกันทุกเมื่อเชื่อวัน พ่อรู้ว่าการถูกเอาเปรียบจากคนที่รู้มากกว่ามันเป็นอย่างไง พ่อรู้ว่าการไม่รู้หนังสือมันจะทำให้เราดูเป็นคนโง่แค่ไหน พ่อไม่อยากให้ลูกๆเป็นอย่างพ่อ แม่ของลูกก็เช่นกัน แม่ไม่ต้องการให้ลูกๆเรียนสูงเท่าที่จะทำได้ ถ้าแม่ของลูกอยู่ แม่เจ้าคงปลอบลูกได้ดีกว่าพ่อ นายสมน้ำตาไหลรินอาบแก้มเมื่อพูดถึงภรรยาผู้ล่วงลับ การเห็นผู้บังเกิดเกล้าเสียน้ำตาเป็นการดึงสติให้รัตนาและจันทร์เพ็ญค่อยๆสงบจากการร้องไห้ คนอื่นจะว่าอย่างไง ช่างเค้า ! เรารู้ตัวดีว่าเรากำลังทำอะไร เมื่อเราเรียนจบเราก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าคนที่มาจากตระกูลทำนาอย่างเราจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง จำไว้ ! คำดูถูกต่างๆจะหมดความหมายเมื่อเราได้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร! พ่อเองนับวันก็จะแก่เฒ่า อย่าหวังพึ่งคนอื่นจำไว้ เรียนสูงๆเพื่อเราจะได้พึ่งตัวเอง ไม่เป็นภาระคนอื่น แต่หนูหมั้นกับเขาแล้วนะพ่อ หนูหมั้นกับเขาแล้ว รัตนาพูดพร้อมส่ายหน้า นั้นเป็นเรื่องอนาคต วันนี้ลูกต้องตั้งใจเรียนก่อน ไปเช็ดน้ำตาซะ แล้วไปโรงเรียนกัน ถึงแม้รัตนาจะยังไม่ได้คำตอบอย่างชัดเจน เธอก็เชื่อฟังพ่อโดยการเช็ดน้ำตาเลิกร้องไห้และนึกถึงว่าหน้าที่ของเธอตอนนี้คือ ต้องตั้งใจเรียน เธอหยิบกระเป๋าขึ้นมาเดินต่อ จันทร์เพ็ญยิ้มให้ผู้เป็นพี่สาวที่พี่สาวหยุดร้องไห้ รัตนายิ้มและหัวเราะเล็กๆเมื่อจ้องหน้าน้องสาว จนกระทั่งมาถึงหน้าโรงเรียนปรีชาศึกษา หน้าโรงเรียนมีอาจารย์วิทยายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนอยู่แล้ว..... ................จบตอน 11.....................
14 กุมภาพันธ์ 2549 13:09 น. - comment id 89496
สุขสันต์วันแห่งความรักทุกคนนะครับ ....... ตอนต่อไป ขอเป็น วันจันทร์หน้านะครับ จันทร์ที่ 21 กพ ขอเวลา แต่งและเรียบเรียงก่อนนะครับ ........ขอให้สมหวังในรักทุกคนครับ
14 กุมภาพันธ์ 2549 15:01 น. - comment id 89497
อ่านจบแล้ว รออ่านต่อนะ พรุ่งนี้เลยนะ
15 กุมภาพันธ์ 2549 14:27 น. - comment id 89515
ไม่ผิดหวังสักครั้งที่รออ่าน แต่คราวนี้นานจังคับ มาโพสไวไวหน่อยดิ ผมอยากอ่านอีก
23 กุมภาพันธ์ 2549 13:57 น. - comment id 89744
ตอน 12 เมื่อไหร่จาออกอ่ะ รอนานแล้วน้า คุณชายชัช
5 สิงหาคม 2549 09:45 น. - comment id 92069
คุณชาชชัชตอนที่ 12 คุณไม่ออกแล้วหรอ รอมาตั้งเกือบจะปีแล้วนะ ทำไมต้องรอให้อ่านด้วยนะ