เสียงไก่ขันยามย่ำรุ่ง ขันต่อกันไปเป็นทอดทอดปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงียหลังจากเมื่อคืนนั่งถองเหล้ากลั่นจนดึกดื่น...สายตามองออกไปที่บ่อเลี้ยงปลาริ้วหมอกขาวยามเช้าที่ไล่เรี่ยผิวน้ำกับอีกลมหนาวที่พัดมาบ่งบอกถึงความหนาวเย็นของคืนที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีผมสลัดผ้าห่มแล้วลุกจากที่นอนด้วยชุดเดิมของเมื่อวานเดินออกไปรับอากาศบริสุทธิยามเช้าที่น้อยครั้งนักจะได้สัมผัสในชีวิตเมืองใหญ่...น้ำค้างที่เกาะยอดหญ้าดูละลานตางดงามยิ่ง..แต่อีกไม่นานสินะ...แสงทองเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า..คงต้องถึงเวลาที่น้ำค้างต้องลาลับกลับคืนสู่ถิ่นที่จากมา...แล้วก็จะหวลมาอิงแอบยอดหญ้าอีกครั้งยามค่ำคืน...เหมือนคำถามเกิดขึ้นภายในใจผมตอนนี้...ผมจะกลับไป...หรือจะอยู่ที่นี่ตลอดไป....
.....เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ทำให้ผมต้องลุกจากการนั่งมองหมอกขาวยามเช้าไปดูว่าเป็นใครมาหาแต่เช้า " เฮ้อศร นายมาได้ไงวะ " ผมทักเพื่อนที่เคยทำงานร่วมกันในเมืองที่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรมันถึงขับรถมาหาแต่เช้า " ก็ขับรถมาไง นายไม่เห็นเหรอ " คำตอบของมันกวนประสาทผมแต่เช้า" นี่นก ฉันถามแกจริงๆ มันเรื่องอะไรกัน อยู่ๆก็ลาออกจากงานแล้วมาดักดานอยู่ที่สวนของนาย "ผมถอนหายใจ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้บอกเพื่อนผมว่าผมจะลาออก แต่เมื่อผมคิดถึงเรื่องราวหลายๆเรื่องแล้วผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกต้องแล้ว " นายหนีอะไรหรือหนีใครหรือป่าว เราเป็นเพื่อนกันนะ นายจะไม่บอกเราสักคำเลยเหรอ " คำถามของเพื่อนเหมือนมีก้อนอะไรจุกอกผมจนพูดไม่ออก " นก นายนะหนีความจริงนายจากมาโดยที่ไม่บอกแพรเขาสักคำ เขาทำอะไรผิดเหรอ นายไม่รักแพรใช่ไหม นาย...." ดูเหมือนเพื่อนผมจะหมดความอดทนการการที่ไม่ได้รับคำตอบจากผม.... " ศร เรามีเหตุผลของเรานะะที่มาอยู่คนเดียวแบบนี้เราไม่ได้หนีความจริง เรามาาอยู่กับความจริงต่างหาก เรื่องของแพรไม่ใช่ว่าเราไม่รัก เพราะรักนั่นแหละที่เราต้องจากมาอย่างนี้ แพรเขาอยู่อย่างสุขสบายเราไม่อยากให้เขาลำบาก เรายอมให้เขาด่าว่าหลอกลวงไม่รักเขาหนีเขามาโดยไม่บอก ดีกว่าให้เขาต้องมาลำบากอยู่ไร่อยู่สวนหรอก มันเป็นไปไม่ได้นายก็รู้ "...ผมพยายามพูดให้คำตอบแก่เพื่อนโดยที่มันยังทำสีหน้าไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไหร่.........
...." แพร หากผมไม่อยู่แล้วแพรดูแลตัวเองได้ไหมครับ " ผมแกล้งหยอดคำถามถามแพรซึ่งกำลังสาระวนอยู่กับการจัดรูปในอัลลบั้ม " ทำไมนกพูดแบบนั้นหละค่ะ นกก็อยู่นี่แล้วไง " เธอมองหน้าผมเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่าง " หากพรุ่งนี้ผมกลับไปแล้ว และแพรไม่ได้ข่าวของผมอีกเลย " ผมพยายามเค้นคำตอบจากปากของแพร " นกอย่าพูดเป็นลางสิ เราอยู่กันคนละที่เราก็โทรคุยหากันตลอดเราต่างคนก็ต่างดูแลตัวเองกันตลอดมาไม่ใช่เหรอคะ มีอะไรในใจหรือเปล่าค่ะ " เธอย้อนถาม แต่ผมไม่ตอบแต่กลับเดินออกไปที่ระเบียงมองไปไกลแสนไกลคล้ายจะหาคำพูดใดมาบอกกับแพรดีว่า ผมไม่เหมาะกับแพรเลยทั้งหน้าที่การงานและฐานะ ที่เราคบกันอยู่ได้ทุกวันนี้เพียงเพราะเรามีความจริงใจให้แก่กัน ห่วงหาอาลัยกันจึงทำให้ความรักงอกงามขึ้นมา แต่...วันข้างหน้าการที่ผมจะต้องเอาคนที่ผมรักไปตกระกำลำบากทำให้ผมต้องครุ่นคิดว่ามันสมควรหรือไม่.." นกค่ะ ไม่เห็นบอกแพรเลยว่ามีอะไรในใจหรือปล่าว " แพรเดินมาหาโดยที่ผมไม่ทันสังเกตุ " ไม่มีอะไรหรอกครับแพร " ผมเลี่ยงที่จะตอบความจริง " อย่าคิดอะไรมากนะนกพรุ่งนี้คุณต้องเดินทางเที่ยวบินแรก นอนเถอะพรุ่งนี้เช้าแพรจะไปส่ง" แพรพูดพร้อมดึงแขนผมเดินกลับเข้ามาในห้องที่ผมรู้สึกว่าครั้งต่อไปคงไม่ได้มาอีกแล้ว...ผมเก็บงำความรู้สึกและการตัดสินใจของผมไว้ลึกสุดหัวใจทั้งที่ผมรู้ว่าเราสองคนต้องปวดร้าวมากที่สุด...
..." แล้วนี่นายไม่คิดที่จะบอกแพรเขาสักนิดหรือ " เพื่อนผมถามเมื่อมันรู้ว่าที่ผมมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร" ก็อยากบอกแพรเหมือนกัน แต่หากบอกไปแพรเขาไม่ยอมหรอก เราไม่อยากให้เขาลำบาก " คำตอบของผมก็คงเป็นคำตอบเดิม " นี่นก นายเห็นแก่ตัวมากนะ นายแคร์ความรู้สึกของแพรบ้างไหม ตอนนี้แพรเป็นยังไงบ้างนายรู้ไหม นายปล่อยให้คนที่นายรักร้องไห้เสียใจ นี่หรือวะที่นายบอกว่ารัก นายมันเห็นแก่ตัว " คำพูดของเพื่อนผมที่มันด่าไปในตัวทำให้ผมต้องข่มใจในความเจ็บปวด " นายหนีความจริง นายไม่ได้มาอยู่กับความจริง เราจะบอกอะไรให้ ความจริงของนายก็คือ นายมันคนขี้ขลาดเห็นแก่ตัว เราไม่น่าเสียเวลาขับรถข้ามป่าข้ามเขามาหาเพื่อนที่เห็นแก่ตัวอย่างนายเลย นายเอาความรู้สึกของตัวเองไปใหญ่ แต่ไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนที่นายรักและรักนาย กลับดีกว่าโว๊ยเสียเวลาจริงๆที่มีเพื่อนที่เห็นแก่ตัว " เพื่อนที่สนิทที่สุดของผมเดินหันหลังกลับไปอย่างไม่ใยดี...ปล่อยให้ผมจมอยู่กับความรู้สึกที่ว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก
...หรือผมจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริง ๆ ที่เอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมไม่เคยถามแพรเลยว่าหากต้องมาอยู่แบบชาวไร่ชาวสวนแพรจะอยู่ได้หรือไม่ ผมกลับสรุปเอาเองว่าให้แพรเขาอยู่อย่างสุขสบายแบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมาลำบากร่วมกับผม...ผมเป็นคนขี้ขลาดเหมือนคำพูดของเพื่อนใช่ไหม ที่ไม่กล้าบอกกับแพรสักคำ..แต่กลับหนีมาอยู่เพียงลำพังคนเดียว........ ....แสงแดดเริ่มแผดกล้าขึ้นทุกขณะ..หมอกขาวที่โรยตัวอยู่เมื่อยามเช้าเริ่มเลือนหายไป ผมนั่งอยู่ที่เดิม มองออกไปถึงขุนเขาและขอบฟ้าจนสุดสายตา...ผมตัดสินใจแล้วว่าผมขอเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและขอเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดตลอดไป......
14 กุมภาพันธ์ 2549 08:30 น. - comment id 89494
มีความสุขกับสิ่งที่เลือกแล้ว
14 กุมภาพันธ์ 2549 11:08 น. - comment id 89495
14 กุมภาพันธ์ 2549 17:36 น. - comment id 89500
ถ้าตัดสินใจแล้วแน่วแน่ต้องทำทำใจยอมรับให้ได้คะ
14 กุมภาพันธ์ 2549 18:32 น. - comment id 89501
ประทับใจค่ะ..แวะมาทักทายกันนะคะ...
14 กุมภาพันธ์ 2549 22:06 น. - comment id 89507
ลมเพลมพัดไป ใจแกว่งไกวใจไหวกลัว รักหายไม่ลงตัว ซึมเซาซัวทั่วใจตน
15 กุมภาพันธ์ 2549 00:10 น. - comment id 89510
ลมเพลมพัด โบกสะบัดพัดมาไว ๆ ลมเอยลมพัดอะไร ๆ ฉันจะบอกให้ ลมพัดคนหัวใจโลเล
15 กุมภาพันธ์ 2549 12:07 น. - comment id 89513
เขาประหลาดใจมาก เมื่อแพรมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา กระเป๋าใบย่อมและรอยยิ้ม บ่งบอกบางอย่าง แพรวางกระเป๋าลง และวิ่งไปหาเขา ส่วนเขาก็กางแขนรับแพร อ้อมกอดที่อบอุ่น ยังมีที่เสมอสำหรับแพร
16 กุมภาพันธ์ 2549 02:45 น. - comment id 89546
ใจคุณออกจะเด็ดเดี่ยว (สมชื่อค่ะ.... ไม่ขี้ขลาดเลย.... แวะมาแอ่วค่ะ สุขสันต์วันวาเลนไทน์....
16 กุมภาพันธ์ 2549 09:05 น. - comment id 89552
@...คุณกัณมัทรี...ขอบคุณมากครับที่แวะมาอ่านครับผม @...คุณทิกิ...ขอบคุณมากครับ @...น้องกระต่าย...ใช่ครับต้องยอมรับครับผม แม้ว่าจะเจ็บ @...คุณราชิกา ขอบคุณมากครับที่แวะมาทักทายครับ @...คุณอาภาภัส...ขอบคุณมากครับ @...คุณอ้อย..อิอิ...นั่นแน่ว่าเราอีกแระ.. @...อัลฯ...แน๊..เอาตอนจบของภาคสองมาลงซะแล้ว... @...คุณแสงไร้เงา...ขอบคุณมากครับ..เด็ดเดี่ยวจนโดดเดี่ยวอะครับ