ชายเทียมในโลกแท้ ( GayGuy in Straight World ) ตอนที่ 8 ผู้หญิงทั้งสี่ ภาคที่ 2

ชายชัช

ตอนที่ 8 ผู้หญิงทั้งสี่ (ภาค 2 )
คนบางคนถึงแม้ว่าไม่ใช่คนใกล้ชิด รู้จักมักจี่ถึงขั้นสนิทชิดเชื้อ ก็สามารถมีอิทธิพลต่อเราได้เช่นกัน... ถ้านับเวลาที่ผมเกิดมาผมรู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อ  ศิริรัตน์ ไม่ถึง 6 ชั่วโมงด้วยซ้ำแต่ผมยังจำชื่อนี้และรูปหน้าของผู้หญิงคนนี้ และยังจำความรู้สึกเมื่อตอนที่ผมเธอ ไม่รู้ลืม
สมัยที่ผมเป็นนักศึกษาปีที่ 4 ผมจะต้องร่วมกับเพื่อนทำชิ้นงานเพื่อทำการนำเสนอต่อคณะครูอาจารย์ที่จะให้คะแนนนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ว่าสามารถประยุกต์การเรียนมาใช่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมนี้หรือไม่ เราเรียกวิชานี้ว่า การทำ โปรเจคท์   นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์เชียงใหม่ชั้นปีที่  4  จะต้องทำโปรเจคท์เสนอทุกคนเพื่อเป็นตัววัดว่าจะจบ หรือไม่ ซึ่งในกรณีผมถึงแม่ผมจะไม่จบภายในสี่ปี แต่ผมก็ต้องทำให้เพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกับผมจบไปก่อนให้ได้ โดยการทำหน้าที่ของสมาชิกกลุ่มให้เต็มที่ และกลุ่มของผมก็ไม่ใช่คนไกล  มี ทิว ผู้ชายพูดน้อยแต่ใจเด็ด และไอ้ภูมิ เพื่อนปากเสียคลาสสิคไม่มีวันซ่อมให้ปากดีได้ คือกลุ่มผม เพราะเราทั้งสามเรียนอยู่ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลเหมือนกัน
การทำงานของกลุ่มผมเราตัดสินใจทำชิ้นงานขึ้นมา โดยต้องประดิษฐ์และรวบรวมข้อมูลต่างๆ พวกเราเช่าหอพักอยู่นอกมหาวิทยาลัย   ก็หอที่พวกเราใช้ชีวิตกันทั้งหกคน รวมหญิงอุ๊ด้วยแหละครับ หอพักของเราอยู่ในซอยวัดอุโมค์ด้านหลังของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ละแวกนั้นเป็นละแลกที่แปลก ที่ซอกซอยจะถูกทำถนนให้ทะลุหากันจนบางครั้งเวียนหัวไปหมด วัดอุโมงค์เป็นวัดที่มีชื่อเสียงจึงทำให้ซอยนั้นมีคนสัญจรไปมา ทั้งมาทำบุญ และมาท่องเที่ยวดูความงามของวัด จึงทำให้ซอยนี้มีหอพักและร้านค้าคึกคักช่วง 500 เมตรแรกของปากซอย แต่เมื่อเลยห้าร้อยเมตรนี้ไปซึ่งหมายถึงเลยหอพักผมไปด้วย จะกลายเป็นทางเปลี่ยว สองข้างทางเป็นนาข้าวบ้างทุ่งหญ้าบ้างที่บางเดือนขึ้นสูงเกือบมิดหัว บางจังหวะของเส้นทางเป็นกอไผ่ใหญ่ ตลอดเส้นทาง 2 กิโลเมตรก่อนจะถึงหน้าวัดอุโมงค์ที่เงียบสงบ  หากใครที่ต้องการความเงียบสงบก็จะมีหอพักที่ราคาถูกอยู่แถวๆ วัดด้วย ซึ่งมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมาเช่าหอพักใกล้วัดเพื่อเอาความเงียบสร้างสมาธิในการอ่านหนังสือ
เราสามารถเข้าซอยวัดอุโมงค์และสามารถออกไปทางซอยอื่นๆเพื่ออกถนนใหญ่ได้หลายทาง เช่น การเข้าไปวัดอุโมงค์ผ่านหอพักผม อาจจะเข้าไปทางซอยวัดอุโมงค์หลังมหาวิทยาลัย แล้วเวลาออกจากวัด แทนที่จะย้อนกลับทางเดิม เราสามารถไปตามเส้นทางอีกซอยหนึ่งออกไปถนนอีกเส้น เลียบคลองชลประทานเมืองเชียงใหม่ ซึ่งใกล้ตลาดต้นพะยอมได้เลย โดยไม่ต้องย้อนออกซอยที่เข้ามาครั้งแรก
คืนวันศุกร์ตอนเวลาไม่กี่นาทีก็จะสี่ทุ่มครึ่ง
พอเหอะว่ะ กูตันไปหมดแล้ว ไม่ไหวจริงๆวะ  
ไอ้ภูมิเอ่ยปาก เพราะว่าการตามงานและผลจากการที่เราประชุมเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าของโปรเจคท์มันเริ่มที่จะหนักขึ้น
พอก่อนก็ดีนะ เราก็เริ่มรู้สึกไม่ไหวเหมือนกัน  ทิวบอกอีกคน
ผมฟังเพื่อนทั้งสองก็รู้สึกเห็นด้วยเพราะเราเริ่มตามและทบทวนงานที่แบ่งกันคราว ว่าเจอปัญหาอะไรบ้าง และแจงงานที่เราจะทำกันเพื่อให้ทำทันตามตารางงานเพราะอีกไม่ถึงเดือนก็ใกล้วัน นำเสนอผลงานต่อหน้าคณาจารย์ ใจผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มที่จะหนักไปสำหรับการประชุมคืนนี้
พอก็พอ แต่ว่าต้องทำให้ทันตามตารางนะมึง 
ผมขู่ไอ้ภูมิ เพราะตั้งแต่ผมกลับเนื้อกลับตัวหันมาจริงจังกับการเรียน ผมจะเข้มกับการรักษาเวลาการทำงานในแต่ละอย่างมากเพราะผมไม่อยากพลาดในการเรียนและทำให้พ่อแม่ผมผิดหวังอีก
เออน่า! ไอ้ภูมิรับปาก พูดเสร็จจู่ๆ มันก็บอกว่า
หิวว่ะไปกินก๋วยเตี๋ยวลุงว้ากกันมั้ยวะ
ปกติไอ้ภูมิจะไม่ค่อยชวนออกไปกินอะไรข้างนอกหอหลังสี่ทุ่ม เพราะว่าไอ้ภูมิจะไม่เอารถยนต์ออกไปไหน อันเนื่องจากที่จอดรถของหอพักมีน้อย ถ้าออกไปไหนกลับมาอาจไม่มีที่จอดรถก็ได้  ไอ้ภูมิเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน พ่อแม่ก็รักนักรักหนากลัวลูกลำบาก จึงให้ลูกเอารถยนต์มาใช้เรียนครับ  พวกผมจึงได้พึ่งใบบุญโดยการแปลงร่างเป็นตุ๊กแก มือตีนเหนียว เกาะไอ้ภูมิไปเรียน แต่รถไอ้ภูมิมีลักษณะพิเศษคือ คนในรถจะมองเห็นคนนอกรถ แต่คนนอกรถจะมองไม่เห็นคนขับและจำนวนคนในรถได้  ไม่ใช่เพราะว่ารถติดฟิล์มกรองแสงหนานะครับ แต่เป็นเพราะว่ามันไม่ยอมล้างรถจนฝุ่นเกาะแทบจะปลูกผักสวนครัวบนฝุ่นอันหนานั้นได้ถ้าถามมันว่าทำไมไม่ล้างรถ    มันก็บอกว่า ล้างทำไม เดี๋ยวก็ถึงหน้าฝนแล้ว คอยฝนดีกว่า เป็นบทพิสูจน์ว่า ไม่ได้มีแต่ชาวนาที่คอยฟ้าคอยฝน คนสกปรกอย่างมันก็เป็นสมาชิกผู้รอคอยพระพิรุณ
เมื่อไอ้ภูมิชวนไปกินก๋วยเตี๋ยว เราทั้งสามก็ยินดีที่จะออกมา เมื่อมาถึงรถไอ้ภูมิ ผมก็เสนอว่า
เราไปออกที่คลองชลประทานกันมั้ย จะได้ไม่ต้องกลับรถด้วย
ร้อยวันพันปี เราไม่เคยที่จะขับเลยจากหอพักเราไปทางวัดอุโมงค์ที่ลึกและเปลี่ยว เพราะว่าหากพ้นความเจริญจากหอพักเราไปแล้ว ถนนซอยที่ลึกนั้นจะมึดมาก เพราะไม่มีไฟที่ข้างทางให้ความสว่างเลยในตอนกลางคืน  แต่คืนนั้น ไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมเสนอความคิดที่จะให้ขับรถออกไปกินโดยผ่านวัด ไปทางคลองชลประทาน และที่แปลกไปกว่านั้น ทิวและไอ้ภูมิ ก็ไม่ขัดข้อง ทั้งๆที่ปกติ ไอ้ภูมิจะเป็นคนปฏิเสธที่จะอ้อมเส้นทางนั้นตลอดเพราะให้เหตุผลว่าเปลืองน้ำมันแต่วันนี้มันไม่ขัดข้องยินยอมเป็นที่น่าแปลกใจยิ่งนัก
ก่อนที่เราจะออกตัวมีรถยนต์สีขาวขับปาดหน้าเราก่อนที่เราจะออกถนน
แม่ง ไร้น้ำใจวะ ขนาดกูให้สัญญาณไฟจะออกตัวแล้วนะเนี่ย  ไอ้ภูมิบ่นเพราะถ้าออกตัวเร็วกว่านั้นอาจจะชนรถคันนั้นก็ได้
ใจเย็นน่าภูมิ เราก็ไม่เป็นอะไรนี่นา     ทิวบอกมาจากเบาะด้านหลัง
ไอ้ภูมิขับตามรถเก๋งสีขาวไปเรื่อยๆ และก็เป็นอย่างที่คาด เมื่อพ้นเขตความเจริญ 500 เมตรแรกที่ปากซอย 2 กิโลเมตรก่อนถึงวัดอุโมงค์ เราก็เข้าสู่บรรยากาศของความมืด หาไฟตามข้างทางเริ่มลำบาก ถึงแม้ว่ากลางวันถนนเส้นนี้จะคึกคักเพราะนักท่องเที่ยว แต่กลางคืนมันเปลี่ยวจนเราสามคนที่นักอยู่ในรถนิ่งเงียบแต่ก็อุ่นใจ ที่มีรถเก๋งสีขาวข้างหน้าเราเป็นเพื่อนร่วมทาง แล้วมาถึงทางเปลี่ยวที่สองข้างทางมีหญ้าขึ้นแทบท่วมหัว เราทั้งสามต่างเห็นภาพเดียวกัน นั้นคือ ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาจากกอหญ้าข้างทาง แล้วมีผู้ชายรูปร่างใหญ่วิ่งขึ้นมาฉุดแขนผู้หญิงเหมือนไม่ต้องการที่จะให้ผู้หญิงหนีไป ในเหตุการณ์ฉุกละหุกนั้น ไอ้ภูมิก็พูดขึ้นมาอย่างตกใจว่า
ไอ้เหี้ย! นั้นมันคนหรือผีวะ
อาจเป็นพวกไม่หวังดีก็ได้แกล้งทำให้เราจอดรถ ทิวเตือนสติ
ใช่ ผมคล้อยตามทิว
เราสามคนยังเห็นอีกว่า ผู้หญิงคนนั้นพยายามโบกมือขอความช่วยเหลือจากรถเก๋งสีขาวคนข้างหน้าเรา แต่รถเก๋งสีขาวก็ขับผ่านไป ผมมองเหตุการณ์นั้นด้วยจะระทึก รถเก๋งคันนั้นวิ่งเร็วหนีจากเหตุการณ์ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น  แสงสว่างของไฟหน้ารถของรถไอ้ภูมิ  ทำให้ผมมองเห็นแผลที่หน้าแข้งและเท้าของผู้หญิงคนนั้นที่กำลังพยายามขอความช่วยเหลือจากรถของเรา มันเต็มไปด้วยเลือด 
เฮ้ย! นั้นมันเลือดนี่ !!! ของจริงแล้ว จอดรถเดี๋ยวนี้ไอ้ภูมิ!!!   ผมตะโกน
 กดแตรดังๆเลย!!!  ลงไปช่วยเร็ว!!! เราสามคนมันคนเดียว !!!!    ทิวตะโกนบอก ด้วยอารมณ์ตกใจไม่น้อยไปกว่าผม
ไอ้ภูมิเบรครถ กดแตรดังสนั่น ผมเปิดประตูรถตะโกนออกไปก่อน
เฮ้ย! มึงจะทำอะไรวะ!
ได้ผล ผู้ชายคนนั้นคว้ารถมอเตอร์ไซค์ของมันขี่ออกไปอยากรวดเร็ว ผมไม่ได้ มองหน้ามัน ไม่ได้มองทะเบียนรถ ความระทึกขวัญในตอนนั้นมันทำให้เราแทบจะทำอะไรไม่ถูก แล้วมันก็ขี่มอเตอร์ไซค์หายไปกับความมืด ภาพที่ผมยังติดตาคือ ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นหลุดจากการยืดกระชากแล้ววิ่งมาที่ผม
พี่ !! ช่วยหนูด้วย ช่วยหนูด้วย   เสียงผู้หญิงคนนั้นร้องขึ้นพร้อมกับวิ่งมาที่ข้างหลังของผม
มันไปแล้ว !! ทำไงดี ทิวตะโกนถาม ไอ้ภูมิยังกดแตรรถไม่เลิก
พอแล้ว ไม่ต้องกดแตรแล้ว  ไอ้ภูมิ ! ผมตะโกน
เป็นไรมากมั้ย มันทำอะไรบ้าง   ผมหันไปถามผู้หญิงคนนั้น  แต่แทนที่จะตอบคำถามของผม เธอยกมือขึ้นมาพนมมือขึ้น แล้วเริ่มสะอึกสะอื้น ร้องไห้
หนู...หนู....หนูขอบคุณพี่มากที่ช่วยหนู... 
แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้ และการร้องไห้ของเธอ ไม่ใช่การร้องไห้แบบการเก็บเสียงสะอื้น  แต่เป็นการระเบิดเสียงร้องไห้โฮอย่างไม่อายใครที่จะได้ยิน ผมต้องรีบปลอบเพื่อให้เธอหยุด
ไม่เป็นไร พวกผมจะช่วยคุณเอง!!  ไปโรงบาลกันดูสิเลือดเยอะมาก
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนได้สติ หยุดอาการร้องไห้โฮอย่างฉับพลัน ร่างเธอทั้งร่างสั่นเทาด้วยความกลัวผมเข้าไปประคองเธอขึ้นรถเบาะหลังจับมือให้กำลังใจ มือของเธอเย็นเฉียบ และสั่นชนิดที่ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นใครมีอาการกลัวจับจิต จนผมรู้สึกถึงความกลัวนั้นแม้ผมไม่ได้ผ่านเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง
ทิว !! เดี๋ยวทิวต้องขี่มอเตอร์ไซค์ของเค้านำหน้าไปก่อนนะ พวกเราจะขับตามหลังทิว ไปโรงบาลสวนดอกกัน  
ผมออกคำสั่ง โดยไม่รอคำตอบ  ทิวรีบไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของผู้หญิงค้นนั้นที่จอดล้มในป่าหญ้าข้างทาง สตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์แล้วขี่นำ  ไอ้ภูมิ รับขับตามทิวไป เพื่อจะพาผู้หญิงคนนั้นไปโรงพยาบาลสวนดอก
ขอบคุณพี่ๆ มากค่ะ ขอบคุณมากๆ เธอยังไม่หยุดขอบคุณเรา พร้อมๆ กับไม่สามารถหยุดอาการสั่นเพราะความกลัวนั้นได้
ช่วยๆกันไป อย่าคิดมาก ผมตอบ
ทำไมเค้าใจร้ายอย่างนั้นค่ะ หนูไปทำอะไรไว้ให้เค้าทำไมเค้าทำกับหนูอย่างนี้ 
เป็นคำถามที่เธอพูดออกมา ไม่รู้ว่าเธอถามตัวเอง ถามพวกผม หรือถามเบื้องบนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้
มันทำอะไรบ้าง  แล้วทำไมมาซอยเปลี่ยวมืดค่ำ  ผมถามเธอ
หนูไปส่งเพื่อนที่เป็นรูมเมทขึ้นรถที่อาเขตเที่ยวสามทุ่มครึ่งค่ะ หออยู่แถววัดอุโมงค์ค่ะ เสียงที่เล่ายังเป็นน้ำเสียงที่ยังตื่นตระหนก
พอตอนขากลับ มันก็เอามอเตอร์ไซค์ของมันมาเบียดมอเตอร์ไซค์หนู แล้ว ถีบรถหนูลงข้างทาง แล้วมันก็ตามลงมา จะดึงหนูเขาไปในพงหญ้า หนูพยายามสะบัดให้หลุดวิ่งขึ้นมาถนน บกรถให้ช่วยที่ผ่านมา ไม่มีใครจอดช่วยเลย หนูไม่ยอมมันก็ลากหนูลงไปอีก แล้วมันก็ ชกหน้าหนู....ฮือ...ฮือ...ทะ...ทำไมเค้าถึงใจร้ายจังคะ..ฮือๆ...เค้าชกหน้าหนูค่ะใจเค้าทำด้วยอะไรคะ...ทำไมต้องรุนแรงขนาดนั้น...ฮือ 
เธอเริ่มจะร้องไห้แบบคุมสติไม่ได้ ผมรีบตัดคำพูดของเธอ บอกให้เธอหยุด
พอก่อนครับ...ไม่ต้องพูด ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วนะครับ คอหอยผมเริ่มจุกเพราะความรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเธอเล่าเหตุการณ์ที่เธอประสพก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที
ขอบคุณที่ช่วยหนูค่ะ ฮือ...ขอบคุณถ้าพี่ไม่ช่วยหนูคงไม่รอด... 
เธอร้องไห้เอามือขึ้นมาปิดปาก สะอื้นร้องไห้อาจเป็นเพราะเธอเก็บระงับอีกไม่ไหว   มือของเธอสั่น... น้ำตาของผมไหล มีไม่กี่ทีหรอกที่คนเราจะร้องไห้ โดยไม่มีการสะอื้น ผมรีบเอามือขึ้นมาเช็ดน้ำตาไม่อยากให้เธอเห็นความอ่อนแอ  ผมแยกน้ำตาที่ไหลไม่ได้ว่า มันเป็นน้ำตาที่รู้สึกสงสารเธอ หรือเป็นน้ำตาที่แห่งความเศร้าที่ให้กับเธอเพราะรับรู้ความกลัวในเหตุการณ์ที่ผมได้ประสพกับเธอในช่วงหลัง
ในรถมีแต่เสียงสะอื้นร้องไห้ของเธอ ผมกับไอ้ภูมิ ปล่อยเธอร้องไห้ ต่อไปผมมองหน้าไอ้ภูมิผ่านกระจกส่องหลัง ไอ้ภูมิก็มองผมเช่นกันเราสองคนมีแต่ความเงียบและอยากให้ถึงโรงพยาบาลไวๆ เพื่อให้เธอถึงมือหมอ  เมื่อถึงโรงพยาบาลทางเข้าแผนกฉุกเฉิน มีรถเข็นที่บุรุษพยาบาลเตรียมมารับที่รถ เมื่อเธอลงจากรถ เสียงไฟที่สว่างของโรงพยาบาล ทำให้เราทั้งหมด มองเห็นว่า ปากของผู้หญิงคนนั้นบวมเจ่อและเลือดออกที่ปากที่เป็นแผลแตกจากกำปั้นของสัตว์นรกที่แฝงในร่างมนุษย์  ที่หน้าแข้งและเท้าด้านซ้ายของเธอเป็นบาดแผลที่ลึกและยาว คงเป็นเพราะ เมื่อสัตว์นรกตนนั้นได้ถีบรถมอเตอร์ไซค์ข้างทางของเธอตกข้างถนนด้านซ้าย ทำให้เท้าซ้ายของเธอหลุดจากที่เหยียบมาประคองรถ และหลังเท้าของเธอก็จะถูกเหล็กจากที่เหยียบมอเตอร์ไซค์ของเธอเองได้แทงลงหลังเท้าทำให้เป็นแผลลึกเปิดเนื้อหายจากหลังเท้า  จนเห็นกระดูกและเส้นประสาทสีขาวน่าหวาดเสียวยิ่งนัก  ความรู้สึกของผมสลดหดหู่ว่าทำไมคนเราถึงทำกันได้ขนาดนี้
แล้วพยาบาลประจำห้องฉุกเฉินก็ถามผมว่า
น้องๆเป็นเพื่อนกับน้องผู้หญิงเหรอคะ?     พวกผมส่ายหน้าแล้วตอบคำถาม
พวกผมเผอิญขับรถผ่านไปเลยช่วยไว้นะครับ
   
งั้นรอหน่อยนะ เรื่องแบบนี้ต้องแจ้งความ  ประเดี๋ยวตำรวจก็จะมา พวกน้องต้องให้รายละเอียดกับตำรวจว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรนะ     นางพยาบาลบอกพวกผม
เดี๋ยวต้องดูว่าเค้าเป็นนักศึกษามอชอหรือเปล่าจะได้ทำเรื่องรักษาให้ถูกต้อง
เดี๋ยวผมไปถามให้ครับ  ผมอาสา
นางพยาบาลกล่าวขอบใจผมแล้วผมก็เดินไปที่เตียงของคนไข้ที่กำลังทำการล้างแผลอยู่   
น้องเป็นนักศึกษามอชอหรือเปล่า ผมถามเธอ
เธอพยักหน้าตอบรับ หน้าของเธอยังมีรอยน้ำตาที่แห้งกรัง และหยดน้ำตาที่รินไหลไม่หยุด อาจเป็นเพราะกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดของการทำแผลอยู่
ขอบัตรนักศึกษาได้ไหม จะเอาไปทำบัตรคนไข้ให้ เดี๋ยวผมจะเดินเรื่องให้เอง  
 ผมเสนอทำหน้าที่ให้เธอ   เธอค่อยๆเอามือล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกงของเธอแล้วดึงบัตรนักศึกษาออกจากกระเป๋าสตางค์ เมื่อผมเห็นบัตรนักศึกษา อ่านแล้วรู้ว่า ชื่อของเธอคือ ศิริรัตน์ ที่สำคัญเธอเข้ามหาวิทยาลัยปีเดียวกับผม ส่วนเธออยู่คณะมนุษยศาสตร์
ต่อไปไม่ต้องเรียกเราว่าพี่นะ เราอยู่รุ่นเดียวกัน เรากับเพื่อนๆอยู่วิศวะ  ผมยิ้มให้ศิริรัตน์ เธอยิ้มตอบรับผม
 เราชื่อพลนะ ศิริรัตน์   อ้อ   พยาบาลบอกว่าเดี๋ยวตำรวจก็จะมาให้เธอแจ้งความ เธอปลอดภัยแล้วล่ะ ทำใจให้สบาย
เราไม่อยากแจ้งความเลย เรากลัว   เธอบอกกับผม
ไม่แจ้งไม่ได้นะ !!   แล้วจะปล่อยมันไปอย่างนั้นฟรีๆเหรอ    ผมตกใจกับคำพูดของเธอ
เรากลัวมันจะมาแก้แค้นเรา มันจะมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสียง ศิริรัตน์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เราว่าเธอต้องย้ายออกจากแถวนั้นแล้วล่ะ มีเบอร์ที่บ้านไหม เราจะโทรบอกพ่อกับแม่เธอให้
ผมถามเธอ  และแสดงความเต็มใจที่ช่วยเรื่องนี้จริงๆ
เราไม่อยากให้พ่อกับแม่เรารู้....เรากลัวเค้าเป็นห่วง    เธอบอกผม
ไม่ได้นะคะ  น้องต้องบอกค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่น้องจะปิดบังพ่อแม่  มันจะต้องหาทางออกร่วมกัน น้องโชคดีแค่ไหนที่วันนี้บาดเจ็บแค่ร่างกาย ถ้าน้องเป็นมากกว่านี้ พ่อแม่ของน้องจะเสียใจมากแค่ไหน อย่ามองว่าจะทำให้เค้าลำบาก ถ้าเราจะหาทางป้องกันหาทางแก้ พ่อแม่นั้นแหละจะเป็นคนที่ทำให้เรามีทางออกเสมอ น้องบอกเบอร์โทรศัพท์พี่มาเลย พี่จะโทรหาพ่อกับแม่น้องเอง
พี่พยาบาลยืนฟังเราอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  ออกความเห็นขัดจังหวะเราสองคนขึ้นมา แต่เป็นการขัดจังหวะที่ทำให้ผมรู้สึกดีมาก เพราะในตอนนั้น ผมและศิริรัตน์ต้องยอมรับว่า อาจยังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจเองกับเรื่องที่เกิดขึ้น   เราควรให้ผู้ปกครองมาช่วยเหลือในเรื่องนี้  ศิริรัตน์จำต้องให้เบอร์โทรศัพท์เพื่อให้พี่พยาบาลคนนั้นโทรไปบอกพ่อกับแม่เธอที่จังหวัดแพร่ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะค้านและไม่ควรบอกกับพ่อกับแม่เธอ
ผมเอาบัตรนักศึกษาเธอไปแจ้งทำบัตรคนไข้กับฝ่ายระเบียน โดยทิวกับไอ้ภูมินั่งรออยู่ที่ม้านั่งบริเวณที่เค้าจัดไว้ให้คนไข้หรือญาติคนไข้ได้นั่งรอ เมื่อทุกอย่างเสร็จผมคืนบัตรนักศึกษากับศิริรัตน์ผมก็มานั่งรวมกับทิวและไอ้ภูมิ
กูไม่นึกว่าคืนนี้จะทำให้กูรู้สึกกลัวได้ขนาดนี้วะ    เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นไอ้ภูมิทำท่าสลดและน้ำเสียงจริงจัง
ภาวนาอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้กับน้องสาวหรือญาติที่เรารู้จัก สาธุ!    ผมพูดพร้อมกับพนมมือยกขึ้น
โทรกลับบ้านดีกว่า   เป็นห่วงน้องสาวที่บ้าน     ทิวพูดจบก็ลุกขึ้นทันที  
เป็นเรื่องแปลกอย่างมาก ที่ทั้งทิว ไอ้ภูมิ และ ผม ต่างก็มีน้องสาวด้วยกันทั้งสามคน ทิวและไอ้ภูมิมีพี่น้อง 2 คน  แต่ผมมีพี่น้อง 4 คน เหมือนสวรรค์ลิขิตให้เรามาเจอเหตุการณ์ในคืนนั้น ทำให้เราทั้งสามเป็นห่วงคนที่บ้าน และรีบใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรกลับบ้านทันทีถึงแม้ว่าตอนนั้นมันจะเกือบๆเที่ยงคืนแล้วก็ตาม
เมื่อตำรวจมาถึง   เราก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ตำรวจฟัง เราโทรไปตามเพื่อนของศิริรัตน์ให้มาอยู่เป็นเพื่อนเธอในคืนนั้น  เมื่อเพื่อนของเธอมาถึง ผม ไอ้ภูมิ และก็ทิว ก็กลายเป็นคนอยู่ในวงนอกทันที เมื่อเราแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงขอตัวกลับบ้าน ก่อนกลับพี่พยาบาลคนเดิมได้เข้าพูดว่า
น้องทั้งสามคนนี่ ใจเด็ดมากนะที่เข้าไปช่วยน่ะ  เป็นพี่...ถ้าพี่ขับรถผ่านไป พี่ไม่รู้จะกล้าเหมือนน้องทั้งสามหรือเปล่า...
พวกผมมองหน้ากัน นั่นสิ ถ้าเกิดคืนนั้น ผมขับรถไปคนเดียว ผมจะกล้าลงไปช่วยศิริรัตน์ไหมหนอ แล้วถ้าทิวขับรถไปคนเดียว ทิวจะใจเด็ดเหมือนไปพร้อมกันสามคนไหมล่ะ แล้วถ้าไอ้ภูมิไปเจอมันกล้าลงไปช่วยไหมหนอ   ขณะขับรถออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้านเราทั้งสามเงียบไปตลอดทาง  ผมไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะคิดเรื่องอะไรถึงเงียบไป ส่วนผมคิดว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก แต่ถ้าผมไปเจอคนเดียวผมจะทำอย่างไร คำตอบอยู่ในใจของผมแล้ว ในที่สุดผมก็ทนต่อความเงียบไม่ไหว ความอึดอัดและเป็นคนไม่ค่อยเก็บความข้องใจไว้ได้นานของผมทำให้ผมทำลายความเงียบด้วยคำถามว่า
ถ้าพวกเราต่างคนต่างไปเจอเหตุการณ์แบบนี้คนเดียว จะลงไปช่วยไหมวะ
ขอบคุณสวรรค์ที่มึงถามแบบนี้!!  นี่กูอึดอัดจะแย่แล้ว กูก็อยากรู้ว่าพวกมึงจะลงไปช่วยไหม
ไอ้ภูมิก็คงอึดอัดเหมือนกันน้ำเสียงถึงได้ดูโล่งใจขนาดนั้น
คงจะลงไปช่วย...ไม่รู้สิพอมันมีเงื่อนไขขึ้นมาทำให้คิดนะ มันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะลงไปช่วยหรือเปล่าถ้าไปเจอเรื่องแบบนี้คนเดียวน่ะ   ทิวออกความเห็น
เราคงจะช่วยเหมือนเดิม เหมือนที่ช่วยในวันนี้  ผมพูด
ไม่รู้สิ  เราว่าถ้าเราลงไปช่วยเราคิดว่าบุญกุศลมันคงย้อนกลับให้มีคนลงไปช่วยน้องสาวเราบ้าง ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับน้องสาวเรา
นั้นสิ   ไอ้ภูมิเห็นด้วยกับผม ไม่แปลกที่ทั้งสองจะเห็นตามผมเพราะต่างคนต่างก็มีน้องสาว ถึงแม้ว่าการช่วยอาจไม่ช่วยด้วยความบิสุทธ์ใจ เราช่วยเพราะหวังจะให้ผลบุญย้อนมาสู่ครอบครัวเราก็เถอะ
แต่คนสมัยนี้ มันมาหลายรูปแบบ บางคนมันก็หลอกเราเหมือนกัน  ทิวเปรย
เราก็คิดในแง่นั้นนะทิว   คือถ้าเราซวยมันก็คือดวงของเราที่ซวยเอง  และรู้สึกเสียใจแทนคนที่เอาความอ่อนแอของผู้หญิงมาหลอกลวงคนอื่น   แต่เราคงจะช่วยต่อไป เพราะถ้าเราไม่ช่วย เราก็เหมือนร่วมมือกับไอ้คนเหล่านั้นที่ปล่อยมันทำร้ายผู้หญิงโดยไม่ทำอะไรเลย  นายคิดว่าอันไหนมันจะเจ็บปวดกว่ากันระหว่างการโดนข่มขืน กับการที่ยังไม่โดนข่มขืนแล้วร้องเรียกให้คนช่วย.... แต่ไม่มีใครยอมช่วย และปล่อยให้โดนขมขื่น
มันเป็นความรู้สึกจากใจผมจริงๆที่ต้องพูดแบบนั้น
เราคงทำไม่ได้ที่จะปล่อยให้เกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรเลย  ถ้าเจอแบบนั้น ถ้าเราปล่อยไป...ไม่ช่วย เรื่องต่างๆมันก็จะค้างใจเรา  ตามมาหลอกเรา...ซึ่งก็เหมือนเราร่วมข่มขืนผู้หญิงไปด้วย
............     
ความเงียบเกิดขึ้นในรถอีกครั้ง  แต่ผมคิดว่าความเงียบนั้น เป็นความเงียบที่กำลังใช้ความคิด ไม่ใช่ความเงียบแห่งการไร้ประโยชน์ต่อเราทั้งสาม  ผมไม่หวังว่าทั้งสองจะคิดแบบผมหรือเปล่า ผมไม่แคร์ และไม่จำเป็นที่ทั้งสองจะต้องพูดออกมาให้ผมได้ยินถึงความคิดในตอนนั้นของเค้าทั้งสอง  ผมรู้สึกโล่งที่ได้ระบายออกไปในความคิดของผม  แต่ถึงไม่แคร์อย่างไร...ผมก็เชื่อว่า เพื่อนของผมเป็นคนดีและตัดสินใจได้ถูกต้องแน่นอน
เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ จนถึงเวลาใกล้สอบขณะที่เราสามคนกำลังเอาโปรเจคท์ที่เตรียมไว้ไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจโดยการเดินมาที่รถไอ้ภูมิ เราก็เจอ  ศิริรัตน์ยืนรอเราอยู่ พร้อมกับถุงสามใบ
หวัดดี   เธอกล่าวทัก
พวกเราทั้งสามยิ้มดีใจที่ได้เจอเธออีกครั้ง
หวัดดี เป็นไงบ้าง เท้าเป็นไงบ้าง  พวกผมถาม
ดีขึ้น แต่นิ้วก้อยขยับไม่ได้ เพราะเส้นประสาทมันขาด เธอบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ แต่หน้าของเธอก็ยิ้ม ทำเอาพวกเราเศร้าไป เพราะผลของคนใจบาปที่ทำไว้
แล้วนี่ หาพวกเราเจอได้ไง ทิวถาม
เราตามรถมานะ เราจำได้ว่าเป็นรถยี่ห้อนี้ สีนี้ และ...เออ...มันสกปรกนะมีแต่ฝุ่น เราก็เลยจำได้เพราะว่าฝุ่นมันเหมือนคืนนั้นเลย... ถ้าพวกเธอล้างรถเราก็อาจหารถพวกเธอไม่เจอนะ...ดีที่พวกเธอยังไม่ล้างรถเราเลยหาเจอ นี่ เราเอาเสื้อมาฝากเป็นการขอบคุณ เรารออยู่นานแล้วอยากจะขอบคุณด้วยตัวเอง
พวกเราขอบคุณเธอไอ้ภูมิบอกว่า
ไม่เห็นต้องลำบากเลย เธอปลอดภัยพวกเราก็ดีใจแล้ว   แต่ตอนนี้ ต้องรีบไปแล้วล่ะ นัดคุยกับอาจารย์ไว้ กลัวไปช้า อาจารย์จะว่าพวกเราได้
ศิริรัตน์  รีบเอาเสื้อมาให้พวกเรา พวกผมทั้งสามต้องขอตัวไปก่อนอย่างเสียมารยาท เมื่อขึ้นรถขับออกมาจากหอพัก พวกเราดูเสื้อ เป็นเสื้อยืดทีเชิร์ตยี่ห้อดังราคาแพง ซึ่งไม่จำเป็นเลยสำหรับเรา 
 
เค้ายังอุตส่าห์จำเราได้เน้อ ทิวพูด
นั่นสิ ผมตอบทิว
ทีนี้มึงเห็นประโยชน์ของการไม่ล้างรถแล้วหรือยัง  ไอ้ภูมิกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจสุดชีวิตแล้วทำเอาผมเถียงไม่ออก เพราะการไม่ล้างรถของมันมีประโยชน์ต่อครั้งนี้จริงๆ
เสื้อที่ผมได้รับเป็นการขอบคุณจากศิริรัตน์ มันอาจจะเก่าไปตามการเวลา แต่ความทรงจำของเรื่องในคืนนั้น คืนอันตรายที่ผู้หญิงต้องระวัง  ยังคงชัดใหม่ในความคิดผมเสมอ เรื่องของศิริรัตน์เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมสนิทกับ กุ้ง  เจ้าของจดหมายที่ผมได้รับในวันนี้
ย้อนหลังไปที่ผมได้ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งนี้ครบหนึ่งปี  การผลิตสินค้าของบริษัทเพิ่มเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆที่ผมเริ่มทำงานกับบริษัทนี้ ทำให้เราต้องเพิ่มจำนวนคนที่มาช่วยผลิต และต้องการคนที่สามารถควบคุมการผลิต หรือหัวหน้างานสายการผลิตนั่นเอง ฝ่ายบุคคลเปิดรับสมัครและหาคนที่มีคุณสมบัติเข้ามาทำงานในบริษัทเรา และ กุ้ง คือเด็กจบใหม่ที่ผ่านการสัมภาษณ์ เข้ามาทำงานในบริษัทของผมในฐานะ หัวหน้างานสายการผลิต ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับวิศวกรโปรดักชั่น หรือ วิศวกรการผลิต โดยวิศวกรการผลิต จะคิดระบบการทำงานของการผลิต และมอบหมายให้ หัวหน้าสายการผลิตทำตามแบบแผนของงานนั้นๆโดยควบคุมพนักงานลูกจ้างรายวันอีกที
กุ้งเป็นผู้หญิงมีบ้านเกิดที่เชียงราย เป็นสาวหวานผมยาวสลวยรูปร่างอวบอึ๋มและมีความเป็นผู้นำ ในการทำงานครั้งแรกๆ ผมไม่ได้สนิทกับกุ้งเลยถึงแม้ว่าเราจะต้องทำงานร่วมกันทุกวัน แต่ด้วยที่เราอยู่คนละแผนกจึงทำให้เราคุยกันเฉพาะเรื่องงาน  แผนกของกุ้งมีผู้จัดการคือ พี่ธวัชชัย   กุ้งเป็นคนเก็บตัว ขยันทำงาน เหตุการณ์ทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น ถ้าบังเอิญผมไม่ไปได้ยินข่าวลือจาก หัวหน้าสายงานผลิตคนอื่นที่อาวุโสเล่าข่าวลือเกี่ยวกับกุ้งและพี่ธวัชชัยให้ผมได้ยิน ถึงห้องทำงานส่วนตัวของผม
น้องพลรู้ไหม ?  คนบางคนน่ะ ก็ได้ดิบได้ดี เพราะรูปร่างหน้าตาและความความสาว ปล่อยให้คนแก่ๆอย่างพี่ต้องทำงานงกๆ เจ้านายก็ไม่มีวันสนใจหรือเห็นใจไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน
เป็นการเกริ่นนำที่แสนจะคลาสสิคของพี่แอ๋ว หัวหน้าฝ่ายผลิตที่ขึ้นชื่อในเรื่องปากสว่างที่มักจะเริ่มต้นด้วยคำถามเชิงเหน็บแนมและกล่าวถึงความด้อยค่าของตัวเองอย่างน้อยใจ  หากได้ยินความเกริ่นเชิงนี้ ผมจะรู้ทันทีว่า พี่แอ๋วกำลังจะเริ่มการนินทาขึ้นแล้ว
มีอะไรเหรอครับพี่ ทำไมพี่ถึงต้องน้อยใจขนาดนั้น 
ผมแกล้งโง่ ถามสาเหตุกับพี่แอ๋ว   โดยตำแหน่ง ถือว่าผมอยู่สูงกว่าพี่แอ๋วในภาระหน้าที่ของเรื่องงาน  แต่โดยอาวุโสพี่แอ๋วเหนือกว่าผม สักสิบปีในเรื่องของการทำงานในบริษัทนี้
ก็น้องพลไม่สังเกตเหรอคะ ผู้จัดการของแผนกพี่น่ะ เค้าออกจะดูแลประคบประหงม ลูกน้องคนใหม่อย่างใกล้ชิดให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษ  ออกจะสอนงานจนเกินหน้าเกินตาคนอื่น นี่เสาร์อาทิตย์วันหยุด ก็ยังนัดมาทำโอที สอนงานกันนะคะ ไม่รู้ว่าสอนงานที่โรงงานอย่างเดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้!   กลัวจะสอนอย่างอื่นด้วยนะสิ !   
 น้ำเสียงพี่แอ๋วเต็มไปด้วยความริษยา จนผมแทบแยกไม่ออกว่า เป็นน้ำเสียงที่ตำหนิ พี่ธวัชชัยลำเอียง หรือเป็นน้ำเสียงริษยาที่ไม่สาวไม่สวยเหมือนน้องกุ้ง จนไม่สามารถทำให้ผู้จัดการสนใจได้
ขนาดนั้นเชียวเหรอพี่....พี่ธวัชชัยเค้าก็มีเมียมีลูกแล้วนี่   ผมให้สติพี่แอ๋ว
โอ้ย ของแบบนี้น้องพลน่าจะเข้าใจผู้ชายด้วยกันนะคะ  ถ้าฝ่ายหญิงไม่มีอะไรมาเสนอ  แล้วอีกฝ่ายจะสนองเหรอคะ   ไม่วายที่น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความคิดที่เป็นอคติ ผมเริ่มรู้สึกรำคาญพี่แอ๋ว เพราะผมรู้สึกว่าเธอกำลังรบกวนเวลาทำงานของผมด้วยเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่องาน จึงตอบกลับแบบประชด
พี่แอ๋วก็น่าจะเข้าใจผู้หญิงด้วยกันนี่ครับ  ถ้าหมาไม่หยอกไก่ก่อน ไก่ก็คงไปจิกข้าวไม่ยุ่งกับหมาหรอก
พี่แอ๋วตอบผมกลับแบบไม่ได้รู้สึกสำเหนียกว่าโดนแดกดันเลยแม้แต่นิดเดียว
อุ้ย!  น้องพลพูดได้ตรงใจพี่มาก อย่างว่า ตบมือข้างเดียวไม่เคยดังหรอก
ก็ไม่แน่นะพี่ ลองตบลงหน้าสิ ใช้ข้างเดียวตบมันก็ดังเหมือนกันนะ แถมเจ็บด้วย  
ผมประชดด้วยความรำคาญอีกครั้ง  แต่ก็เป็นอีกครั้งของพี่แอ๋วเช่นกันที่ไม่รู้สึกอะไรเลย กลับหัวเราะระรื่นบอกกับผมว่า
แหม น้องพลนี่ เข้าใจพูดตลกนะคะ
พอกันทีผมหมดความอดทนแล้ว
พี่แอ๋วครับ ถ้าไม่ว่าอะไรค่อยมาเล่าให้ฟังวันหลังนะครับ วันนี้ ผมต้องส่งผลการทดลองให้ลูกค้าก่อนบ่ายสี่โมง ผมอยากฟังนะครับ แต่วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ 
เหรอคะ  งั้นพี่ไม่รบกวนน้องพลแล้ว แต่น้องพลคอยจับตามองนะคะ เรื่องไม่งามมันต้องเกิดขึ้นในบริษัทเราแน่ๆ พี่ขอทาย   ไม่วายที่พี่แอ๋วจะทิ้งทวนก่อนจะออกจากห้องผมไป
ผมยอมรับว่า การมาพูดในวันนั้นทำให้ผมเริ่มสังเกตพฤติกรรม ของทั้ง พี่ธวัชชัย และน้องกุ้ง ที่มารับตำแหน่งหัวหน้าสายการผลิตที่เข้างานมาได้ยังไม่สองเดือนเต็มด้วยซ้ำว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันในแนวนั้นจริงหรือเปล่า เพราะเท่าที่ผ่านมาจากการทำงาน ผมรู้สึกว่า น้องกุ้งก็ทำงานได้ดีในระดับที่ผมพอใจ โดยไม่ต้องใช้ทางลัดในการเข้าหาพี่ธวัชชัยเลยแม้แต่น้อย บางครั้งผมยอมรับว่า น้องกุ้งก็มาทำงานโอทีในวันเสาร์อาทิตย์พร้อมพี่ธวัชชัย โดยที่งานก็ไม่เร่ง แต่อย่างใด หรือมันจะเป็นจริงอย่างที่คนในโรงงานร่ำลือ
คืนวันศุกร์คืนหนึ่ง ผมและแฟนของผมได้นัดกันไปดื่มฉลองวันเกิดของแฟนผมสองต่อสองที่ร้านกูดวิว ร้านขนาดใหญ่ริมแม่น้ำปิงของเมืองชียงใหม่  ขณะที่เราดื่มด่ำกับอาหารมื้อพิเศษมื้อนั้น  สายตาผมก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยกำลังนั่งอยู่ห่างจากโต๊ะผมประมาณ 20 เมตร แต่สิ่งที่ผมเห็นผมแทบไม่เชื่อสายตาของผมจนต้องตั้งใจดูใหม่อีกครั้งว่าสิ่งที่ผมเห็นมันจะเป็นจริง
เป็นน้องกุ้งจริงๆด้วย แต่น้องกุ้งที่ผมเห็นในคืนนี้ไม่เหมือนกับน้องกุ้งที่ผมเห็นในตอนกลางวันของทุกวันทำงานบุคลิกของเธอดูเปลี่ยนไป เสื้อเข้ารูปกับการเกงยีนส์ที่เธอใส่ดูทะมัดทะแม่งที่สำคัญในมือของเธอคีบบุหรี่อยู่หนึ่งมวน ท่าสูบบุหรี่และท่าทางที่น้องกุ้งกำลังพูดคุยนั้น มันแมนมาก ถ้าน้องกุ้งไม่ไว้ผมยาวแล้วตัดผมสั้นเหมือนผู้ชายผมคงคิดว่าน้องกุ้งเป็นทอมบอยแน่ๆ  ที่โต๊ะของน้องกุ้งๆไม่ได้มาคนเดียวมีผู้หญิงน่าตาจิ้มลิ้มนั่งเป็นคู่สนทนากับน้องกุ้ง ลักษณะการพูดคุย และการส่งสายตาให้กันและกันของผู้หญิงสองคนนี้  ดูก็รู้  ว่ามันเกินคำว่าเพื่อนเพราะสายตาที่หญิงทั้งคู่มองกันมันเปี่ยมไปด้วยความฉ่ำของคนที่กำลังมีความรัก เหมือนที่คำคมว่าไว้เมื่อมีความรักตาคือหน้าต่างของหัวใจ  เอ...หรือว่าผู้หญิงที่ผมเห็นอาจเป็นฝาแฝดของน้องกุ้งก็เป็นได้  ความสงสัยของผมมีได้แค่อึดใจ น้องกุ้งก็เหลียวมาสบสายตาผมอย่างจัง น้องกุ้งสะดุ้งเล็กน้อยพอๆกับผมและนั้นทำให้ผมรู้ว่าเป็นน้องกุ้งร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่ใครอื่น  
 
น้องกุ้งลุกจากโต๊ะเหมือนว่าจะเดินมาที่โต๊ะผมผมรีบบอกแฟนของผมว่าจะลุกไปทักคนเพื่อนร่วมงานในบริษัท เราสองคนเดินมาเจอกันครึ่งทางห่างที่อยู่ระหว่างโต๊ะของผมและโต๊ะของกุ้ง
กุ้งมาเหมือนกันเหรอ     ผมทักเธอก่อน
ค่ะ  แล้วพี่พลมากันแค่สองคนเหรอ  กุ้งถามผม
ครับ กุ้งก็มาแค่สองคนเหมือนกันเหรอ   ผมถามต่อ
ค่ะ  กุ้งมากับเพื่อน  
เหมือนพี่เลย  พี่ก็มากับเพื่อน   ผมจะรีบตอบไปทำไมยิ่งทำให้การแก้ตัวของผมไม่เนียน
กุ้งเห็นเค้กด้วย มาฉลองวันเกิดใครเหรอคะ  วันเกิดพี่พลเหรอ
 คำถามนี้ทำให้รู้ว่าไม่ใช่แค่กุ้งที่โดนลอบมองดูอยู่  ผมก็โดนสังเกตการณ์จากกุ้งเหมือนกัน
ไม่ใช่วันเกิดพี่ครับ วันเกิดเพื่อนพี่ครับ 
ถ้าเป็นคนที่ผมสนิทด้วยผมก็จะบอกปกติว่า วันเกิดแฟนกูเอง มึงจะทำไมเหรอ?  แต่นี่คือกุ้ง ผู้หญิงที่พึ่งเข้ามาทำงานในบริษัท และเป็นผู้หญิงที่ผมพึ่งจะเดาว่า เธอน่าจะเป็นเลสเบี้ยนอีกต่างหาก
ขอแสดงความยินดีกับเพื่อนพี่ในวันเกิดนะคะ
ขอบคุณครับ งั้นพี่ขอตัวนะครับแล้ววันจันทร์ค่อยเจอกัน 
  
ผมบอกขอตัวแยกออกจากการสนทนา  กุ้งยิ้มพยักหน้า แล้วต่างคนต่างเดินกลับมาที่โต๊ะของตัวเองเมื่อผมมานั่งแฟนผมก็ถามว่า
เพื่อนพลเป็นทอมเหรอ?
ไม่รู้สิ ผมก็พึ่งเห็นเหมือนที่พี่เห็นเหมือนกัน
ก็พี่เห็นท่าทางสูบบุหรี่แล้ว มันเกินหน้าผู้ชายสูบอยู่นา...  แฟนผมให้ข้อสังเกต
ผมยิ้มแล้วกลับมาสู่บรรยากาศฉลองวันเกิดของแฟนผมอีกครั้งโดยบอกแฟนผมว่า
อิ่มหรือยังครับ ผมอยากกลับไปเป่า เทียนของพี่  จะแย่อยู่แล้ว 
พูดเสร็จ ผมก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์กะพริบตาข้างขวาพร้อมกับทำปากเม้มเหมือนเปรี้ยวปากอยากกินของแสลง แฟนของผมก็ให้การตอบรับอย่างดี โดยเรียกพนักงานร้านทันที
น้อง !!! คิดเงินเลย
แล้วเราสองคนก็กลับบ้าน...อย่างมีความสุข...จนกระทั่ง...
วันจันทร์ที่งานแสนจะยุ่งอีกครั้ง  หลังจากที่ทุกคนเคลียร์งานในภาคเช้าเสร็จ ช่วงคอฟฟี่เบรค  บ่ายสามประตูห้องทำงานผมก็โดนเคาะพร้อมกับการปรากฏตัวของกุ้ง
พี่พลคะ กุ้งมีเรื่องจะถาม
ผมงงเพราะตั้งแต่น้องกุ้งเข้ามาทำงานที่นี้เป็นครั้งแรกที่กุ้งมาหาผมถึงห้องทำงาน
ตั้งแต่วันศุกร์ กุ้งเห็นพี่พลกับเพื่อนไปฉลองวันเกิดที่กู้ดวิว กุ้งคิดว่ากุ้งน่าจะคิดถูก
กุ้งพูดตรงประเด็นทำให้ผมเริ่มร้อนตัว แต่ผมก็ดึงสติกลับมาพูดกับกุ้งว่า
พี่ก็เห็นว่ากุ้งไปกับเพื่อนสองต่อสองอย่างนั้น พี่คิดว่าพี่ก็น่าจะคิดถูก 
 
ผมสบตากุ้งแบบประมาณว่าต่างคนต่างรู้ทันกัน
พี่พลคิดว่าพี่คิดอะไรถูก? กุ้งถามผม
ไม่รู้สิ ! แล้วน้องกุ้งคิดว่าน้องกุ้งคิดอะไรถูกล่ะ  ผมมองหน้ากุ้ง
ก็นี่ล่ะ กุ้งเลยอยากจะมาถามนี่ล่ะ
..........  
เงียบ....ต่างคนต่างหยุดพูด เราเอาแต่มองหน้ากันด้วยสายตารู้สึกขบขันสิ่งที่ต่างคนต่างปกปิดไว้  แต่สายตาที่เรามองกันมันทำให้รู้ว่ากุ้งมาอย่างเป็นมิตร ผมจึงพูดขึ้นว่า
เอางี้...เรามาถามพร้อมๆ กัน  
กุ้งพยักหน้า
กุ้งเป็นทอมเหรอ
พี่พลเป็นเกย์ใช่ไหม  
เราถามพร้อมกัน ถามเสร็จ ต่างคนก็ต่างหัวเราะที่ได้เปิดเผยถึงเนื้อในของแต่ละฝ่าย และดูเหมือนเราทั้งคู่จะโล่งอก ที่อย่างน้อยจะมีเพื่อนในบริษัทที่สามารถพูดคุยถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้
กุ้งยิ้มให้ผมแล้วถอนหายใจบอกกับผมว่า
โล่งอก ! กุ้งก็ไม่แน่ใจนะ แต่ก็ลองเสี่ยง ถ้าพี่พลมีใจนักเลงพี่พลก็คงพูดตรงๆกับกุ้ง เพราะกุ้งเห็นเวลาพี่คุยกันสายตาพี่นี้ อู้หู...หวานปานจะหยด คงไม่มีเพื่อนคนไหนส่งสายตาให้กันขนาดนั้นแน่ๆ
โอ้โห...ทำยังกับโต๊ะน้องกุ้งมดไม่ขึ้นงั้นแหละ สายตานี่ปิ๊งปั๊ง พี่ก็แอบมองเราเหมือนกัน   อีกอย่างท่าสูบบุหรี่ของกุ้งก็ใช่ย่อย ท่ามันเกินผู้ชายสุดๆ 
  
กุ้งยิ้ม คงนึกว่าผมชมที่มีท่ามาดแมนเกินชาย  ผมเลยถือโอกาสถามกุ้งถึงข่าวลือ
กุ้ง กุ้งเป้นทอมเลยจริงๆ หรือว่าเป็นเล่นๆ คิดว่าวันหนึ่งจะต้องแต่งงานแล้วจะเลิกล่ะ
แต่งงานกับผู้ชายไม่เคยคิดจะอยู่ในหัวสมองของกุ้งเลย  กุ้งบอกผม
ถ้างั้นกุ้งก็ต้องเลิกทำตัวเหมือนทุกวันนี้ รู้ไหมตอนนี้มันเกิดข่าวลือทั่วบริษัทแล้ว
ข่าวลืออะไรพี่  กุ้งทำหน้าแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ
ก็เรื่องที่กุ้งทำตัวใกล้ชิดกับพี่ธวัชชัย เพื่อหวังก้าวหน้าทางการงานนะสิ รู้ไหมตอนนี้มีแต่คนมองกุ้งในแง่ลบ ถ้ากุ้งไม่ชอบผู้ชาย แล้วกุ้งจะหลอกว่ามีใจให้พี่ธวัชชัยไปทำไม รู้ไหมพี่ธวัชัยเค้าก็มีเมียมีลูกแล้วนะ  ถึงแม้เค้าจะจีบกุ้ง ถ้ากุ้งไม่เล่นด้วยมันก็ไม่ควรให้เกิดเรื่องขนาดนี้
ผมสังเกตเห็นหน้าของกุ้งถอดสีขณะที่ผมกำลังพูดกุ้งก็เคร่งขรึมพูดแทรกขึ้นว่า
ขนาดที่วันหยุดควรจะหยุดพัก  ก็หาโอกาสมาทำโอทีเพื่อจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้กันใช่มั้ย ? 
พูดเสร็จกุ้งก็มองหน้าผม
แล้วพี่พลเชื่ออย่างที่เค้าพูดกันมั้ย? น้ำเสียงกุ้งดูจริงจังจนเทียบจะกราดเกรี้ยว
ผมเว้นจังหวะให้ต่างคนต่างสงบหายใจออกจังหวะยาวแล้วเอ่ยว่า
พี่ยอมรับว่าตอนแรกพี่ก็มีใจเอนเอียงไปกับช่าวลือ  เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทำให้พี่ไม่เชื่อข่าวลือต่างๆ  แต่มันทำให้พี่คิดของพี่เองว่ากุ้งกำลังเล่นกับไฟ โดยการปั่นหัวผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วเหมือนกุ้งอยากจะแกล้งผู้ชายเล่นๆ ทั้งๆที่กุ้งก็ไม่เคยชอบผู้ชายเลย
ผมพูดเนิบๆพยายามไม่เอาอารมณ์เข้ามาในน้ำเสียงให้ดูเหมือนติเตียน แต่เหมือนกำลังแค่แสดงความคิดเห็นจากคนสังเกตการณ์ที่หวังดีคนหนึ่ง   กุ้งมีท่าทีที่สงบลงแต่สิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดก็เกิดขึ้น  กุ้งมีน้ำตาไหลออกจากตาทั้งสองข้าง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตากุ้ง
มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด และไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจสักนิดเดียว
ผมรีบหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะทำงานให้กุ้งเช็ดน้ำตา
ถ้ากุ้งพิสูจน์ตัวกุ้งได้ว่าไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจ พี่พลจะอยู่ข้างกุ้งไหม 
 
กุ้งมองตาผม ถามผมด้วยคำถามเหมือนกับว่าเค้าไม่มีใครแล้วจริงๆ
พี่อยู่ข้างคนที่ถูกต้องเสมอ  ผมให้คำตอบที่ดูดีที่สุดไป
กุ้งจะพิสูจน์ให้พี่พลเห็นว่ากุ้งเป็นคนที่ถูกต้อง....
ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อ เสียงออดเตือนให้รู้ว่าหมดช่วงพักเวลาคอฟฟี่เบรคและอีก 5 นาทีจะเริ่มทำงานในสายการผลิตอีกครั้ง กุ้งจะต้องไปดูแลการผลิตตามหน้าที่เสียแล้ว
บ้านพี่พลอยู่ไหนคะ สักสามทุ่มกุ้งจะไปหาพร้อมกับกุ้งจะพิสูจน์ให้พี่พลเห็นว่ากุ้งเป็นคนถูกต้อง
โทรหาพี่ตามเบอร์นี้แล้วกันแล้วพี่จะบอกทาง    
ผมจดเบอร์โทรศัพท์ที่พักของผม พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์มือถือให้กุ้งได้ติดต่อ 
เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน ผมกลับบ้านตอนห้าโมงเย็นก่อนกลับผมจดที่อยู่ของคอนโดและแผนที่ให้กุ้ง และเหมือนเช่นเคย กุ้งจะต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาตามคำสั่งของพี่ธวัชชัยเหมือนเช่นเคย  ขณะที่ผมนั่งรถของบริษัทกลับบ้าน ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องกุ้ง เมื่อน้องกุ้งเป็นเลสเบี้ยนไม่มีใจปฏิพัทธ์ต่อเพศชาย ทำไมกุ้งถึงไม่ปฏิเสธไมตรีของพี่
ธวัชชัย  ลึกๆแล้วผมก็ยังไม่เชื่อกุ้งว่ากุ้งไม่ได้ปั่นหัวพี่ธวัชชัยเล่น  นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ หรือผมก็เป็นอีกคนที่กำลังโดนน้องกุ้งปั่นหัวอีกคน  ผมเริ่มมองโลกในแง่ร้าย 
เมื่อกลับมาถึงที่พัก หลังจากทำธุระทุกอย่างเสร็จเวลาก็เกือบจะสองทุ่ม   สองทุ่มคือเวลาที่น้องกุ้งเลิกจากการทำงาน และคงใช้เวลาประมาณ ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงจากลำพูนมาที่พักผมในเชียงใหม่ ผมเปิดโทรทัศน์ดูข่าว ดูเพลินจนเหลือบมาดูเวลา ก็สองทุ่มสี่สิบห้านาทีแล้ว  เสียงกริ่งประตูหน้าห้องของผมดังขึ้นผมเดินมาที่ประตูแล้วมองผ่านช่องประตูที่ใช้มองคนข้างนอกห้อง....เป็นกุ้งนั้นเอง
....................................จบตอนที่ 8...................................				
comments powered by Disqus
  • ชายชัช

    2 กุมภาพันธ์ 2549 10:18 น. - comment id 89359

    ขอให้สนุกกับเรื่องที่ผมแต่งนะครับ แวะทักทายกันบ้างนะครับ หลังจากอ่านเสร็จ...ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
  • นักอ่านนิยายเกย์

    2 กุมภาพันธ์ 2549 11:23 น. - comment id 89364

    30.gifฮ้า จบแบบนี้ทำให้คนอ่านติดตามพรุ่งนี้อีกละ แล้วไม่ใช่หายไปอีก 3 - 4 วันละ มาโพสเร็วๆนะ เรื่องของกุ้งกำลังเร้าใจ มาเร็วๆนะ เป็นกำลังใจให้นะ คับ
  • ช๊อบ ชอบ

    2 กุมภาพันธ์ 2549 12:22 น. - comment id 89365

    แม่นแล่วเหมือนคุณนักอ่านนิยายเกย์ว่าอ่ะ อยากอ่านต่อพรุ่งนี้เลยนะ ความจริงอยากรู้เรื่องของพี่พลมากกว่าอ่ะ ติดตามตลอดนะจะบอกให้
  • ชายชัช

    2 กุมภาพันธ์ 2549 16:16 น. - comment id 89370

    ขอบคุณนักอ่านขาประจำนะครับ พี่นี้จะมาโพสครับ
  • ชายชัช

    2 กุมภาพันธ์ 2549 16:17 น. - comment id 89371

    แก้คำผิด จาก พี่นี้ เป็น พรุ่งนี้ครับ
  • พระจันทร์เศร้าฯ

    2 กุมภาพันธ์ 2549 17:45 น. - comment id 89372

    แวะมาอ่านจ้ะ
    ตอนต่อไป คงมาอ่านได้อาทิตย์นู้น
    จะไปทำงานที่เชียงใหม่
    เอ จะเจอพระเอกพลหรือเปล่าน้า
ชื่อเรื่องสั้น-นิยาย

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน