...ป รั ช ญ า ใ ส่ ก ร อ บ ล้ อ ม ร อ บ ด้ ว ย คำ พู ด ห รู ห ร า ...เ อ่ ย อ้ า ง ต่ า ง ว า จ า ค ว า ม ช่ า ง คิ ด ...ป รั ช ญ า ห รื อ ม นุ ษ ย ปุ จ ฉ า ลิ ขิ ต ...เ อ่ ย คำ คิ ด ค้ น ค ว า ม ต า ม แ ต่ เ ห ตุ
ความฝันมีปีกที่จักโบยบิน ไปได้ทุกอาณาจักรในผอง จักรวาลอันอจินตัยนี้ ผู้มีความฝันจึงเป็นคนที่ไม่สิ้นหวัง ตราบที่ยังฝันจินตนาการที่แตกต่าง ยิ่งฝันมากมากจิตเริ่มเปรมปรีด์
...ภาพนั้นดูอบอุ่น ...เป็นการรู้แจ้งเห็นจริงว่า ...ความจริงก็คือความจริง ...จึงไม่ปฏิเสธความเป็นจริง ที่มันเป็นไป ...บ่งบอกถึงความอดกลั้น ...เข้มแข็งอดทนยอมรับความจริง ...มีรอยยิ้มเศร้าๆเจืออยู่บ้าง ...แต่นั้นไม่ใช่สาระ ...สาระอยู่ที่ว่า การรู้จักสงบเสงี่ยม ...เจียมตน รู้จักตัวเอง ว่าไม่ใช่นางฟ้า ...ไม่มีปีกให้ได้โบยบิน ...แต่เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ต้องเดินบนดิน ...เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ใช่ว่าจะประสบหวังได้ทุกสิ่งเสมอไป
...รถไฟ ตั๋วชั้นสาม คนทั่วๆไปสามารถเดินทางไปได้โดยไม่ลำบากนัก ...ทุกหมู่เหล่า ทุกชนชั้น ล้วนมีปลายทางเดียวกัน ...ผู้ที่ขึ้นรถไฟได้ ต้องมีตั๋วโดยสาร ...ตั๋วบางคนได้มา เพราะดิ้นรนหา บางคนมีตั้งแต่เกิด พ่อแม่จัดสรรให้ ...บางคนมีตั๋วกำไว้แน่น ...บางคนปล่อยให้ตั๋วหลุดปลิวหาย ...ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม หรือตู้นอน ...มันก็ถึงปลายทางเวลาเดียวกัน ...แต่ความผาสุกในขบวนรถต่างกัน ...ผู้ที่เดินตามขอนรถไฟไปเรื่อยๆ ...ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหลงทาง ...การเดินนับขอนไม้ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา..ซึ่งเดินบนไปเรื่อยๆนั้น ...ก็ย่อมไม่หลงทาง ...หากแต่จะเดินต่อไป ไม่หยุดยั้ง ...ตราบใดที่รถไฟซึ่งแล่นตามรางรถไฟ ไปได้ถูกทาง ...ไม่มีพรมปูนอน ไม่มีผ้าผวยลายดอกไม้ ...มีแต่กระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ...กล่องกระดาษผุๆหนึ่งใบ ใส่สัมภาระที่สำคัญยิ่ง ...ในอุ้งมือ.. ไม่มีแม้แต่เศษเหรียญที่จะพอสำหรับค่าตั๋วรถไฟชั้นสาม ...มองไปหนทางข้างหน้า เส้นทางที่ทอดยาวไกล ...จะก้าวเดินไปอย่างไร ในเมื่อทุนรอนแต่เดิมไม่มีเลย ...ชะงักงันทุกครั้ง เมื่อมีสิ่งมากระทบโสตประสาทให้หวาดหวั่น ...แต่เมื่อคิดจะก้าวเดินแล้ว ย่อมไม่คิดถึงการถอยหลัง ...หยุดบ้าง เพื่อตั้งหลักและพิจารณา นั่นคือสิ่งที่ทำอยู่ ...เพียงลำพัง สองเท้า ..นับ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ..ขอนไม้ที่วางเรียงราย ...ข้ามสะพานสูง มุดลงถ้ำมืด เลาะเลียบภูผา ป่ารกชัฏ... ...เหน็บเนื้อหนาวสั่นท่ามกลางราตรีที่โดดเดี่ยว ...หวาดหวั่นทุกครั้งเมื่อสรรพเสียงของสัตว์ร้ายรุกเข้าใกล้
...ยังคงเดินต่อไป ...ในอ้อมกอดมีเพียง กล่องกระดาษผุๆ กระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ...เท้าเปล่า แต่ใจแกร่ง .. ...ผู้คนมองผ่านหน้าต่างมาด้วยความสงสัย ...ใครกัน เดินช้า ช้า ค่อย ค่อย ก้าว อย่างมั่นใจ ...แต่ ! เดียวดายตามลำพัง ...โอ้ ! .. อัศจรรย์ใดในหล้าโลก ...หรือโศกโถมทับดับหฤหรรษ์ ...มากทุกข์ หลากเศร้า โรมเร้าชีวัน ...ก็เพื่อหนึ่งวิญญาณนั้น พร้อมทดสอบใจ ...แลมองท้องฟ้าแดงฉาน ...อัสดงตระการทาบทุ่งงามสรรพสาย ...รัตติกาลสยายปีกย่างกราย ...แต่ยังคล้ายมีเพื่อนร่วมทาง ...ปรายตามองเห็นเช่นจำแลง ...ภาพแสดงปรากฏรูปร่าง ...การค้นหามีวิธี-และวิถีทาง ...บ้างเยื้องย่างคาราวานบนผืนภพ ...ตัวเรายังคงต่ำต้อย ...ทุนน้อย เบี้ยน้อย ที่ประสบ ...คงก้าวเดินตามขอนคาคบ ...นับหนึ่งจบ แล้วเรียงใหม่ ซ้าย ขวา ...ดูเถิด..ภราดรทั้งมวล ...ที่ล้วนมีตั่วเดินทางถ้วนหน้า ...หากพานพบเห็นอัลมิตรา ...หวังว่าจะได้รับถึง ซึ่งไมตรี ...แม้เท้าจะระบมแตกเจ็บ ...กายหนาวเหน็บฝ่าพงหนามตามที่ ...รินเลือดหยาดหยดรดอินทรีย์ ...สองตายังปรี่มุ่งเส้นชัย ...ยังคงสมบัติดังเดิม ...มิเพิ่มเติม ทรัพย์ ศฤงคาร จากใครไหน ...หนึ่งลังกระดาษผุๆหนึ่งใบ ...อีกหนังสือพิมพ์เก่าๆไว้ปูนอน ...เดียวดายครั้นกำเนิดบนโลกกว้าง ...อ้างว้างข้ามทุกถิ่นทุกสิงขร ...ทะเลทราย ทะเลน้ำ ตามบทจร ...แต่มิอ่อนใจล้า ...ยังกล้าเดิน
...นับวนเวียน ...ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ...สองตรรกะ ที่เริ่มมีมาติดจากกาย ...หน้ามือ หลังมือ แบ่งเขตไว้ ...ให้ชวนคิดติดตามถึงเหตุผล ...มีด้านหน้า ด้านหลัง เสมอ ...สว่าง คละเคล้า ความมืดหม่น ...ครุ่นคิด วิเคราะห์ ถึงตัวตน ...จึงดั้นด้น ค้นหาทางเดิน ...หนทางข้างหน้าที่ยาวไกล ...จะมีจุดหมาย คือเส้นชัยข้างหน้า ...นานไหม เร็วไหม ใครกำหนดได้ในเวลา ...ก็ยังไม่รู้ว่า จะฟันฝ่าไปได้ไหม ...เป็นเพียงมนุษย์ ที่กล้าแกร่งด้วยแรงใจ ...แต่ไม่อาจ หยุดสังขารได้สักครา ...แต่ละวันที่เวียนผ่าน ...พบพาน สิ่งเลวร้าย ดีสุข คลุกทั่วหน้า ...เดินต่อไป เดินต่อไป เดินต่อไป ด้วยใจศรัทธา ...นับ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ด้วยตัวเอง ...ทั้งๆที่รู้...ว่าไกล จะไปแม้ไกลกว่านั้น ...กี่เดือนกี่ปี...กี่วัน คืบคลานทนทานเพื่อเธอ
บ า ง เ รื่ อ ง . . . ย า ก ยิ่ ง นั ก เ กิ น ขั บ ข า น บ อ ก ผ่ า น เ ป็ น ตัว อั ก ษ ร ป ว ด แ ป ล บ หั ว ใ จ สั่ น ค ล อ น ทุ ก ข์ ย้ อ น ค ว า ม เ ห ง า เ ศ ร้ า ต ร ม ข ม เ อ ย เ ค ย ผ่ า น ม า ม า ก ย า ก พ ร า ก ลื ม เ ล ย ร ส ข ม ห ว า น เ ชื่ อ ม ใ จ จิ ต ชิ ด ช ม ติ ด ล ม ดื่ ม ดำ ร ส ห ว า น บ า ง เ รื่ อ ง บ า ง ร า ว ย า ว นั ก ค ว า ม รั ก ค ว า ม ทุ ก ข์ ยุ ค ผ่ า น ฝั ง ใ จ ฝั ง จำ ตำ น า น เ ป็ น ม า ร เ ป็ น ม ว ล ก ว น ใ จ บ า ง ค รั้ ง พ ลั้ ง จิ ต คิ ด บ้ า บ า ง ค ร า ง ว ย ง ง ห ล ง ใ ห ล บ า ง ข ณ ะ ร ะ รื่ น ชื่ น ไ ป บ า ง ที อ า ลั ย ไ ม่ ลื ม
แอบซบหมอนซ่อนสะอื้นในคืนเหงา ป่านนี้เขาเคียงใครอยู่ไหนหนอ กี่คืนแล้วกี่คืนเล่าหลงเฝ้ารอ ใจมันท้อเกินทนแล้วคนดี เคยมาหามาเห็นกลับเร้นหาย หรือมนต์ขลังรักคลายจึงหน่ายหนี อยากทักท้วงทวงถามความปรานี . เผื่อยังมีเยื่อใยในใจเธอ
.
2 สิงหาคม 2548 14:01 น. - comment id 85788
เหนือจรดใต้ ... เดินดุ่มๆตามทางรถไฟ..
3 สิงหาคม 2548 11:18 น. - comment id 85804
.. เดินตามทางรถไฟ .. มีไม้หมอนกำหนด .. .. ก้าวที่หนึ่ง .. ต่อก้าวที่สอง .. .. เดินตามเส้นที่ใครสักคนขีดไว้ .. คงเป็นช่างก่อสร้างทางรถไฟกระมังที่วางไม้หมอนก้าวแรก .. .. อย่างน้อยก็อุ่นใจ .. ไม่หลงทางแน่นอน .. .. ทางรถไฟ คงสิ้นสุด ณ ปลายทางที่ไหนสักแห่ง .. .. แม้มีสมบัติเพียงแค่กล่องกระดาษผุๆ .. .. แม้ก้าวเดียวดาย บนทางที่มืดมิด .. แต่ ณ ปลายทางฝั่งโน้น .. คงมีที่สักแห่งให้พักพิง .. .. ปลายทาง .. ที่อาจมีที่ซุกหัวนอนได้เพียงคนเดียว .. .. ดีแล้ว .. ที่ไม่มีเพื่อนร่วมทาง .. ที่ยังไม่รู้ว่าเขาจะแบ่งปัน หรือ แย่งชิง .. ลมหายใจรวยรินแทบสิ้นสูญ.. เปลี่ยวอาดูรเงียบเหงาเศร้ามิหาย.. เหนื่อยเหลือเกินท้อแท้ทั้งใจกาย.. อยากสลายตายลง..ณ ตรงนี้.. ขยับปีกมิไหวด้วยพ่ายแพ้.. ฉันอ่อนแอสิ้นไร้ใคร่จะหนี.. หลบไปพักหลับตาล้าเต็มที.. อาจจะมีที่สักแห่งเติมแต่งใจ..
3 สิงหาคม 2548 12:36 น. - comment id 85807
อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้แล้ว นึกถึงนวนิยายเรื่องนึงที่เคยฉาย ช่อง 7 เรื่อง แหวนทองเหลือง ที่นางเอกเดินตามทางรถไฟจากทางเหนือมาหาพระเอก ....ผมว่า ยังดีน่ะครับ ยังไงก็ไม่หลงทาง เดินนับหมอนรถไฟมาเรื่อย เดินไปอย่างมีจุดหมายปลายทาง รู้ว่ามันไปสุดทางที่ใด แต่ไม่รู้ว่าจะไปถึงตรงนั้นหรือเปล่านี่สิ ปัญหา เอาเถอะครับ ยังไงก็ยังมีทางรถไฟให้คลำไป ดีกว่า อีกหลายคนนัก ที่เดินอย่างมืดบอดตลอดทาง เศร้าไปใย ?
3 สิงหาคม 2548 14:45 น. - comment id 85809
ลองดูหนัง The letter อีกรอบซิ...ชอบอรรถพรนะที่ได้บทแบบนี้..แม้ว่าตอนจบจะเศร้า....
3 สิงหาคม 2548 15:21 น. - comment id 85812
เอาเสาไฟ มาปักให้หนทางสว่างไสวครับ ศิษย์พี่
3 สิงหาคม 2548 23:47 น. - comment id 85828
น้องจ๋า .. เดินดุ่มเดี่ยวเสียจนชิน ค่ะ คุณกีกี้ .. หากเพื่อนร่วมทางบอกว่าจะแบ่งปัน อัลมิตราก็จะเชื่อมั่นในคำกล่าวของเขาค่ะ ถึงแม้ว่าในความเชื่อมั่นนั้น มีความสั่นไหวบางตอน เพราะมันคือความรู้สึกไหวเอน คุณเรไร .. เสียดาย ที่อัลมิตราเป็นเพียงตัวประกอบ จึงได้แต่กอดลังเดินไปเรื่อยเปื่อย บางที การคาดหวังที่จะพบจุดหมายปลายทาง อาจเป็นเพียงความฝันที่ปลอบใจตัวเอง คนตาบอดเดินตามรางรถไฟ ก็อันตรายเช่นกัน คุณบินเดี่ยวหมื่นลี้ .. รอบแรก ก็ยังไม่เคยดูเลยค่ะ จะให้ดูรอบสองเสียแล้ว ศิษย์น้อง .. แต่ศิษย์พี่มองไม่เห็นไฟนะ
4 สิงหาคม 2548 11:21 น. - comment id 85839
ไฟ..ดวงน้อยลอยล่องอยู่กลางฟ้า ส่อง..ลงมาไล่มืดมิดได้นิดหน่อย หน..ทางมืดยาวไกลไร้คนคอย ทาง..สายน้อยอาจคอยจันทร์อัลมิตรา มืด..เช่นนี้หากมีจันทร์ส่องสว่าง มิด..หนทางใช่ไร้มิตรเพียงคิดหา หนาว..เพียงไรจุดไฟส่องใจมา เหน็บ..อุราก็อบอุ่นละมุนใจ
4 สิงหาคม 2548 12:43 น. - comment id 85847
คุณท่องเมฆา .. ไฟดวงนั้นยังคงลอยคว้างอยู่กลางฟ้า ไม่เคยส่องลงมาเอื้อแสงแด่ผู้หลงทาง อัลมิตรายังคงมืดมน โศกนี้..ยังคงเป็นสีน้ำเงิน ตราบนาน
4 สิงหาคม 2548 13:31 น. - comment id 85850
แอบซบหมอนซ่อนสะอื้นในคืนเหงา ป่านนี้เขาเคียงใครอยู่ไหนหนอ กี่คืนแล้วกี่คืนเล่าหลงเฝ้ารอ ใจมันท้อเกินทนแล้วคนดี สัมผัวถึงความปวดร้าวในใจ ด้วยเคยใกล้ชิดกับความรู้สึกนี้บ่อยๆค่ะ หายไวๆๆนะคะ
4 สิงหาคม 2548 13:36 น. - comment id 85851
คุณเพียงพลิ้ว .. จำหักห้ามดวงจิตมิคิดฝัน ขอปิดกั้นปรารถนามิคว้าไขว่ ยอมอยู่อย่างลำพังมิหวังใด แม้หวั่นไหวบางหนอดทนเอา :) ยังสุขอยู่เสมอ ค่ะ