อาม่า - หญิงชราวัยเจ็ดสิบกว่า นั่งนิ่งเงียบ อยู่ภายในบ้านของตัวเองที่ประตูเปิดกว้าง ฉัน - คนเดินทางผ่านมา ที่ชอบฝากสายตาไว้กับบ้านหลังนี้ วันเสาร์ - วันที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับชีวิต แต่เป็นวันที่เรื่องราวดีๆ มักเกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว ในวันที่น่าเบื่อหน่าย ลืมตาตื่นหลังดวงตะวันส่องฟ้า วันเสาร์ วันเสาร์ วันเสาร์ และก็วันเสาร์... พยายามแสวงหาสิ่งที่ทำให้ชีวิตเบิกบาน ออกจากบ้านเดินไปซื้อมติชนสุดสัปดาห์มาอ่าน ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะฝากสายตาไว้กับบ้านหลังนี้ อาม่าหญิงชราวัยเจ็บสิบกว่าที่ฉันรู้จักกำลังนั่งอยู่ภายในบ้านที่ประตูเปิดกว้าง ฉันเดินเข้าไปทักทายอย่างเคยเช่นทุกครั้ง สิ่งหนึ่งที่คนผ่านทางอย่างฉันจะได้กลับคืนมาตลอดก็คือ รอยยิ้ม และคำถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบของคนที่บ้านตั้งแต่แม่ ป๋าและอีกหลายๆ คนที่อาม่ารู้จัก ล้วนแล้วคือความห่วงใยที่ยังคงมีแก่กันเสมอมา ช่วงวัยและวันคืนของคนเรามักจะพ้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจนน่าใจหาย จำนวนเส้นผมสีขาวบนศีรษะ อาจจะไม่สามารถบ่งบอกถึงเรื่องราวของชีวิตคนๆ หนึ่งได้ทั้งหมด อาม่าพร่ำบอกถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร และอาการความเจ็บปวดตามร่างกาย ทานข้าวไม่ค่อยลง และอาการปวดหัวเข่ายังคงเป็นอุปสรรค์ที่ทำให้เดินเหินอย่างก่อนเก่าไม่ค่อยได้ ฉันจึงมักจะเห็นอาม่านั่งอยู่ตามลำพังอย่างเดียวดาย อาม่าชวนเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ คนสองวัยจึงเริ่มสนทนาในเรื่องต่างๆ ตลอดจนเรื่องสัพเพเหระ เป็นเวลานานพอดูที่ได้พบเห็นรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เรื่องเก่าถูกนำมาเล่าใหม่ให้รำลึกถึง "ตุ่ม" เรื่องที่อาม่าถูกขโมยยกตุ่มปลาขึ้นรถไฟหายไปจากหน้าบ้าน ยังคงอยู่ในความทรงจำของฉัน เพราะตอนนั้นฉันมีโอกาสมาช่วยดักจับขโมยที่ขโมยตุ่มกับหลานของแก ในที่สุดแล้ว...ก็ไร้ร่องรอยของหัวขโมยและตุ่มใบนั้น หลังจากเหตุการณ์ได้ผ่านไป ฉันจึงเห็นตุ่มใบใหม่ที่เล็กกว่าเดิมหลายเท่าถูกนำมาแทนที่ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องจะยังไม่จบเพียงแค่นั้น อาม่าเลี้ยงปลาไว้ในตุ่มแต่ปลาก็ถูกมือดีขโมยตักไปอีก ฉันจึงคิดว่าเย็นๆ จะแอบเอาปลาหางนกยูงที่บ้านมาปล่อยไว้ในตุ่มของอาม่าเผื่อแกจะได้ดีใจ และคอยเป็นเพื่อนคุยยามที่เหงา แต่ก็คงไม่มีโอกาสแล้วเมื่อวันหนึ่งฉันเดินผ่านมาแต่บ้านกลับถูกปิดสนิท จนได้มารู้ความจริงว่าอาม่าย้ายบ้านไปแล้ว ฉันยังคงนึกถึงอาม่าหญิงชราวัยเจ็ดสิบกว่า นั่งนิ่งเงียบอยู่ภายในบ้านที่ประตูเปิดกว้าง ครอบครัวของอาม่านั้นอบอุ่น แต่ทุกครั้งที่ฉันเป็นเพียงคนเดินทางผ่านมา มักจะมองเห็นดวงตาคู่นั้นมองเหม่อไปบนฟ้าไกลแสนไกล จนบางครั้งที่ฉันมองตามไปยังจุดหมายของสายตาคู่นั้นกลับไม่พบจุดสิ้นสุด บางทีเวลานี้ฉันอยากให้สายตาคู่นั้นมองผ่านฟากฟ้ามาถึงฉันบ้าง...
16 มิถุนายน 2548 08:49 น. - comment id 85319
เมื่อก่อนข้างร้านขายของของแม่ที่ตลาดก็มียายคนนึงเหมือนกัน.. ท่าทางแกท้วมๆขาวๆ แก่มากแล้ว คลับคล้ายคนจีน แต่ไม่มีใครเรียกอาม่า เรียกแกยายกันทุกคน.. แกก็นั่งขายพริกแห้ง ขายกระปิไปตามเรื่อง แกชอบคุยกับแม่เพราะร้านติดกัน.. แกชอบกินมะเดื่อจิ้มกะปิกับข้าว เป็นอาหารกลางวัน.. (ไม่รู้เหมือนกันว่ารสเป็นไง ไม่กล้าลอง) เวลาแกลุกนั่งก็จะปวดแขนปวดขา ด้วยความชราของแก แล้วแกก็จะบ่นเป็นกลอนออกมาทุกที ..ลุกก็โอย นั่งก็โอย เหมือนดอกไม้โรยยามเช้า.. ไม่รู้แกเอามาจากไหน แต่เห็นภาพดีจัง.. ยังจำติดใจมาจนทุกวันนี้..
16 มิถุนายน 2548 09:51 น. - comment id 85321
เรื่องสั้นที่น่าอ่านและให้ข้อคิดดีค่ะหนูนิ เรื่องราวของวัย วันเวลา และการกระทำ มักจะไม่ค่อยสอดคล้องอย่างลงตัว ภายนอกมิได้บ่งบอกถึงภายในที่ทุกข์หรือสุขอย่างแท้จริง แวะมาอ่านงานของน้องด้วยความชื่นชมค่ะ
16 มิถุนายน 2548 18:22 น. - comment id 85331
พี่หมอกจาง ◄ อืม...อาม่าคนนั้นเป็นอาม่าของเพื่อนค่ะ เวลาที่ได้เดินผ่านหน้าบ้านที่ทาประตูสีฟ้าหลังนี้ทีไร... คิดถึงทุกทีเลย บ้านหลังเล็กๆ ที่เคยได้เข้ามานั่งคุยกับอาม่า ที่มีเรื่องเล่ามากมายที่ฟังแล้วต้องทำให้ตาโตทุกครั้ง และเรื่องบางเรื่องก็เป็นสิ่งดีๆ ที่ผู้ใหญ่จะเล่าให้เด็กๆ ได้ฟัง แต่ตอนนี้บ้านหลังนี้ปิดประตูเงียบทุกวัน ไม่มีเรื่องเล่า... ไม่มีความฝัน... แต่มีเพียงความทรงจำ ดีดี ขอบคุณค่ะที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ
16 มิถุนายน 2548 18:27 น. - comment id 85332
พี่ดอกแก้ว ◄ วันวัยที่ล่วงเลยไป บอกให้เรารู้ว่า... ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันสลายไปตามกาลเวลา ร่างกาย สังขารก็มีวันเปลี่ยนแปลงไป... เรื่องราวเพียงภายนอก ก็ไม่สามารถบ่งบอกความรู้สึกภายใน ได้อย่างแท้จริง อย่างที่พี่ดอกแก้วบอกจริงๆค่ะ... หนูนิขอบคุณพี่ดอกแก้วมากๆ นะคะ รักษาสุขภาพด้วยะคะ
17 มิถุนายน 2548 15:47 น. - comment id 85342
แล้วเรื่องอื่นๆจะตามมาอีกไหม?