+++ChiNa VoL v+++
ardin
วันที่ 16
เช้านี้เราต้องเสียเวลารอรถตู้ที่จะมารับนานมาก ซึ่งทางไกด์ก็อธิบาย ไม่ใช่แก้ตัวนะครับ ว่านักท่องเที่ยวเยอะเหลือเกิน ซึ่งต้องรอคิวรถบนเกาะที่วิ่งกลับไปกลับมา หลังจากรอท้าลมหนาวอยู่หน้าโรงแรมอยู่นาน ในที่สุดพวกเราก็ได้ออกเดินทางสักที ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำด้วยการซิ่ง ปาดซ้ายขวาของโชเฟอร์ก็ทำให้เรามาถึงที่หมายโดยปลอดภัยทุกท่าน สถานที่แรกของวันนี้ คือ วัดฝาอี่
วัดฝาอี่ ทางเข้ายังต้องเดินขึ้นเนินไปอีกพอสมควร และสองข้างรายทางก็เต็มไปด้วยแผงขายของที่ระลึกเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็น ระฆังโลหะ เก๋งจีน ตุ๊กตาจีน ลูกแก้ว ป้ายสลักอักษร สารพัดที่จะมาตั้งให้พวกเราได้มองหาจับจ่ายเงินที่พกกันมาเต็มที่ เมื่อขึ้นไปถึงวัดสะดุดตาด้วยกำแพงที่ทาสีเหลืองอมส้ม โดยรอบ บริเวณแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตั้งวิหารใหญ่น้อยเรียงรายไป มีทั้งหมด 5 วิหาร ซึ่งก็จะมีวิหารใหญ่อยู่ตรงกลางเช่นวัดอื่นๆ ตรงข้ามจะเป็นกำแพงหินแกะสลักรูปมังกร 9 ตัว บริเวณกว้างขวางสามารถเดินทะลุไปทางด้านหลังซึ่งจะมีบันไดก่อจากหินขึ้นไปเป็นวิหารภายในมีเจ้าแม่กวนอิมพันมือประดิษฐานอยู่
เจ้าแม่กวนอิมพันมือ ในวัดฝาอี่
ออกจากวัดฝาอี่ ก็นั่งรถต่อไปยังวัดเจ้าแม่กวนอิมไม่ยอมไป อยู่ติดทะเลมีลมเย็นโชยตลอด และได้ยินเสียงคลื่นซัด ซึ่งวัดนี้มีตำนานว่าจะมีการขนย้ายเจ้าแม่กวนอิมไปยังญี่ปุ่น แต่เกิดมีดอกบัวกั้นไว้ไม่ให้ไป และยังมีอีกครั้งที่จะนำเจ้าแม่กวนอิมไปโดยทางเรือ แต่เกิดพายุ ฝนตก ไม่ยอมให้ไปเช่นกัน จึงเชื่อว่าเจ้าแม่กวนอิมคงไม่ยอมไปจริงๆ จึงได้สร้างวัดขึ้นที่นี่ ประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งจากในภาพคือ องค์ที่มีขนาดเล็กที่สุด นั่นคือองค์จริง ทางเดินเข้าไปจะเป็นระเบียงโดยรอบจะมีเจ้าแม่กวนอิมในปางต่างๆ ตั้งอยู่ในตู้กระจกใสตลอดทาง หลังจากได้ไหว้สักการะเรียบร้อย เดินออกมาอีกด้านซึ่งติดกับทะเล จะมีโขดหินที่สามารถปีนบ่ายขึ้นไปรับลมทะเล หรือชมวิวเวิ้งว้างของทะเลได้ไกลสุดลูกหูลูกตา พวกเราก็ได้เก็บภาพกันจนพอใจ แล้วจึงทยอยเดินออกมาตาม ทางเก่า มารวมตัวกันทางด้านหน้าวัด เพื่อที่จะเดินไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของเจ้าแม่กวนอิมองค์ยืน
เจ้าแม่กวนอิมองค์ยืนนี้ขนาดใหญ่สูงถึง 33 เมตร ซึ่งว่ากันว่าสร้างตามจำนวนปางของเจ้าแม่ 32 ปาง รวมองค์จริงอีกปางเป็น 33 ระยะทางต้องเดินประมาณ 1 กม. เป็นทางเดินคล้ายๆเดินขึ้นเขาวัง เพชรบุรี บ้านเรา ที่ต้องมีขึ้นลงเนินเป็นระยะๆ ระหว่างทางก็มีบางคณะที่แต่งตัวเป็นเสื้อคลุมเหมือนนักบวชธิเบต เดินสวดมนต์ถือลูกประคำ ดูขลังมากๆ เมื่อไปถึงเราก็ยืนรวมกันเพื่อฟังไกด์แนะนำประวัติความเป็นมาเช่นเดิมก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ทางด้านหน้าเป็นลานโล่ง ซึ่งมีกระถางธูปขนาดใหญ่ จากลานที่ยืนอยู่มองขึ้นไปจะมีตุ๊กตานักรบจีน ที่เป็นหินแกะสลัก สูงประมาณ 2 เมตร ตั้งอยู่ทางด้านหน้า และสูงขึ้นไปอีกจะมีอาคารทรงกลม 2 ชั้น ภายในชั้นล่างมีภาพเรื่องราวต่างๆ เทพเจ้าต่างๆ ส่วนชั้นบน จะมีองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดเล็กในปางต่างๆสีทองอร่าม อยู่เต็มตู้กระจกรอบๆผนัง ด้านบนของอาคารคือที่ตั้งองค์เจ้าแม่กวนอิมปางยืน ขนาดใหญ่ สีทองอร่าม ที่เสมือนยืนท้าคลื่นลมฟ้าฝนในทะเลเสียจริงๆ
ออกมาทางด้านหลังของอาคาร ซึ่งเป็นลานโล่ง จะมีกำแพงหินแกะสลักขนาดยาว เป็นรูปเทพเจ้าต่างๆ และองค์เจ้าแม่กวนอิม ระเบียงโดยรอบเป็นเหมือนภาพเขียนเรื่องราวต่างๆ คล้ายภาพรามเกียรติ์ในวัดพระแก้วของบ้านเรานั่นเอง เมื่อเราชมความอลังการขององค์เจ้าแม่กวนอิมกันเรียบร้อยก็เดินตามทางเก่านั้นแหละกลับมายังที่เดิมเพื่อขึ้นรถกลับไปทานอาหารเที่ยงที่โรงแรม และเตรียมพร้อมสำหรับบ่ายนี้ที่จะขึ้นเรือ ต่อไปยังท่าเรือเซี่ยงไฮ้ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งจะเร็วกว่าการเดินทางด้วยรถยนต์ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เรือที่ใช้ไปยังเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้เป็นเรือขนาดใหญ่พอสมควร มีความจุได้ประมาณ 400 คน ภายในมีร้านขายขนม และยังมีการเปิด VCD ขายเหมือนเดิม แต่ดูท่าคลื่นลมทะเลคราวนี้ค่อนข้างรุนแรง ทำให้เรือของเราโคลงเคลงไปตลอดทาง เล่นเอาผมที่ว่าไม่เคยเมาเรือยังอดปวดหัวไปด้วยไม่ได้ ผมรู้สึกเลยว่าถ้าต้องนั่งอยู่บนเรือนานกว่านี้อีกสักชั่วโมง มีหวังได้ต้องใช้บริการห้องน้ำเข้าไปอาเจียรเป็นแน่ แต่ในที่สุดผมก็ผ่านพ้นการนั่งเรือคราวนี้ไปได้ด้วยดี เรือเทียบท่าเซี่ยงไฮ้เวลาประมาณ 4 โมง โดยโชเฟอร์ของเราก็ขับรถคันเดิมที่มีสัมภาระส่วนใหญ่ของเรา มาจอดรอรับที่ท่าเรือพร้อม เพื่อที่จะพาเราไปทานอาหารเย็นก่อน มื้อนี้เราได้ทานบนเรือมังกร แต่ยังดีที่เป็นเรือขนาดใหญ่มีหลายชั้น และจอดนิ่งๆอยู่ที่ท่า ไม่ใช่การล่องเรือทานอาหารมิเช่นนั้นผมคงไม่มีความสุขสักเท่าไหร่กับอาหารมื้อนี้เป็นแน่ เอ้ นี่ผมไม่ได้เมาเรือใช่ไหม หลังจากทานอาหารเรียบร้อย คืนนี้เรายังมีโปรแกรมกันอีกยาวที่จะย้ำราตรีเมืองเซี่ยงไฮ้
ที่แรกที่เราจะไปเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวพอๆกับ กำแพงเมืองจีนเลยทีเดียว นั่นคือ หอไข่มุก ซึ่งเป็นหอส่งสัญญาณทีวี ที่มีความสูงที่สุดของเอเชีย รูปทรงเป็นเหมือนกระสวย มีลูกโลกกลมๆ ทั้งใหญ่และเล็ก เป็นสถานที่ขึ้นไปชมวิวได้ทั่วเมือง ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้ชมวิวในเวลาค่ำ เพราะแสงสีจากตึกต่างๆที่ประดับประดาไว้จะเปิดไฟแข่งกัน สวยงามมาก เรามาถึงหอไข่มุกในเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เมื่อมาถึงก็เกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อยเพราะคนเฝ้าประตูที่จะเก็บบัตรเราไม่ยอมให้เราเข้า ไกด์สาวของเราก็ไม่เข้าใจเพราะก็ซื้อมาจากอีกด้านให้มาอย่างนี้ เขาก็โวยวายไม่ให้เข้าไม่ว่าเราจะพูดยังไง แต่โชคดีที่เราได้โชเฟอร์ มาเฟียใหญ่ อืม โชเฟอร์ของเราเป็นชายวัยกลางคน มาดเข้ม ตัวใหญ่มาก ใส่สูทดำ สวมแว่นดำ จนพวกเราตั้งฉายาว่าเจ้าพ่อมาเฟีย มาโล้งเล้งอะไรผมก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับ รู้แต่ดูมีพาวด์มากๆ จนพี่หนุ่มน้อยที่เฝ้าประตูต้องยอมให้พวกเราผ่านเข้าไป โดยการนับจำนวนอย่างดี ก่อนหน้าเรามีเด็กท้องถิ่นแถวนั้นที่มาป้วนเปี้ยน แอบทำตัวกลมกลืนจะเข้าไปเฉย แต่เสียใจด้วยเมื่อหลอกเจ้าหน้าที่เขาไม่สำเร็จจึงต้องถูกจับโยนออกมาแทน หลังจากเข้าไปได้เราก็ยังต้องทึ่งกับคอกกั้นเข้าแถวเหมือนเวลาเราเข้าแถวเล่นเครื่องเล่นตามสวนสนุกนั้นแหละ แต่นี่คิวยาวมากๆผมต้องเดินวนกลับไปกลับมาจนแทบจะเมาคอกกันเลยทีเดียว มีสมาชิกในกรุ๊ปหลายคนบ่นว่า นั่งเรือยังไม่เมาเท่ามาเดินวนเวียนไปมาอย่างนี้เลย แล้วยังเครื่องสแกนกระเป๋ากับประตูตรวจจับโลหะ เหมือนเวลาตรวจคนเดินทางเข้าออกประเทศที่สนามบินยังไงยังงั้น สงสัยถ้าเมืองไทยจะนำมาใช้กับสถานที่ท่องเที่ยวกันบ้างคงไม่ต้องกลัวระเบิด บึ้มอย่างทุกวันนี้ แต่ผมก็ยังว่ามันไม่สะดวกด้วยส่วนหนึ่ง และที่สำคัญคืองบประมาณทางด้านรักษาความปลอดภัยเรายังไม่มีถึงขั้นนั้น เรายังต้องรอขึ้นลิฟท์กันอีกเป็นแถวยาว แม้ว่าลิฟท์จะเร็วมากและบรรทุกคนได้ถึง 53 คน 4000 ตัน ลิฟท์แรกขึ้นถึงเพียงชั้น 90 เราต้องไปอัดกันเพื่อรอขึ้นต่ออีกลิฟท์หนึ่ง จนถึงชั้น 263 กว่าเราจะขึ้นมาถึงก็เป็นเวลาประมาณทุ่มสี่สิบห้า ให้เวลาเราเพียงสิบนาที เพื่อเดินชมวิวยามค่ำคืนรอบๆ ในลูกโลกที่เป็นทรงกลมได้ครบรอบพอดี ส่วนมากจะเป็นวิวมองด้วยสายตาจะสวยงาม แต่ถ่ายรูปออกมาดูจะมืดไปสักหน่อย มองออกไปด้านนอกข้ามแม่น้ำฮวางผู่ เห็นฝั่งไหว่ทานซึ่งเป็นตึกสถาปัตยกรรมเก่าแก่แบบฝรั่ง ที่เป็นพื้นที่เช่าของจักรวรรดิ์สมัยก่อน เห็นตึกจินเม่าซึ่งเป็นตึกที่มีความสูงที่สุด และเห็นป้ายโฆษณาตามตึกต่างๆที่มีแสงสีโดดเด่นมากมาย ส่วนตรงแกนกลางจะเป็นเคาน์เตอร์ขายของที่ระลึกจำพวก แบบจำลองหอไข่มุก มีให้เลือกหลายขนาด หลายราคา หรือพวงกุญแจ โปสการ์ดมากมาย ผมก็ได้พวงกุญแจที่เป็นรูปหอไข่มุก มาเป็นของฝากเหมือนกันให้รู้ว่าอย่างน้อยเราก็เคยได้มาเยือนถึงบนนี้แล้ว เมื่อรวมตัวกันครบเราก็ต้องไปเข้าคิวอีกครั้งเพื่อรอที่จะลงลิฟท์ไปข้างล่างซึ่งผมว่าเวลาส่วนใหญ่เสียไปกับการรอคิวขึ้นลง มากกว่าชมวิวบนหอไข่มุกซะอีก เมื่อลงมาได้เราก็เดินตัดไปเพื่อลงไปขึ้นรถกระเช้า เป็นกระจกใสรอบคันให้เรามองเห็นแสงเลเซอร์ได้รอบๆ คันหนึ่งจุได้ประมาณ 40 คน แล่นลอดอุโมงค์เลเซอร์ อยู่ใต้แม่น้ำฮวางผู่ 9 เมตร คล้ายๆกับนั่งเครื่องเล่นสวนสนุก DreamWorld ที่มีแสงเลเซอร์ส่องไปมา ก็ดูเพลินไปอีกแบบ เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็มาโผล่ที่อีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งไหว่ทานหรือหาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเห็นจากบนยอดหอไข่มุก แต่เมื่อมองจากที่นี่กลับไปจะเห็นวิวยอดไข่มุกอยู่อีกฝั่งมีแม่น้ำกั้น มีลานสำหรับชมวิวริมแม่น้ำมองออกไปอีกฝั่ง เห็นตึกมากมายประดับประดาแสงสีสวยงาม หรือถ้ามองกลับมาทางด้านฝั่งนี้จะเห็นตึกเก่าแก่ทรงฝรั่งสวยงามมากมาย ส่วนมากคือ โรงแรม และธนาคารต่างๆ เมื่อถ่ายรูป ดื่มด่ำบรรยากาศโดยรอบกันเรียบร้อยก็ขึ้นรถต่อไปยังถนนนานกิง ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งหนึ่งที่โด่งดัง ส่วนใหญ่จะเป็นร้านแบรนเนมเสื้อผ้าดังๆ เรียงราย ตลอดถนนแต่พวกเรามีเวลาเพียง15 นาทีเดินดูบรรยากาศคราวๆ มากกว่าที่จะซื้ออะไร พอเวลานัดก็ออกมารอรถกันที่หัวมุมทางเข้าถนน เพราะแถวนั้นไม่มีที่จอดรถจึงต้องส่งเราลงแล้ววนรถไปอีกที่หนึ่งเมื่อพวกเรามากันครบจึงค่อยโทรเรียกรถมารับ ทำให้เราต้องยืนท้าลมหนาวยามสามทุ่มเศษ อยู่แถวนั้นเพื่อรอรถมารับ
โปรแกรมสุดท้ายของคืนนี้คือ ถนนซินเทียนตี้ หรือที่เขาว่าคล้ายๆกับ RCA บ้านเรานั่นเอง เป็นถนนยาวที่พวกเราเดินเล่นดูบรรยากาศสองข้างทาง เข้าไปเรื่อยๆ ร้านสองข้างทางเปิดเป็นทั้ง ร้านอาหาร นั่งทานกาแฟ ดริ้งซ์เครื่องดื่มต่างๆ ฟังเพลง ร้านส่วนมากก็มีโต๊ะตั้งด้านนอกร้านเพื่อให้ลูกค้านั่งรับลม ชมบรรยากาศ มีผับเปิดเพลงเสียงดัง แสงสีผู้คน จะเห็นว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นฝรั่งซะมาก เมื่อเทียบกับที่ผมไปอยู่ซูโจว หังโจว หรือเกาะผู่ถ่อซาน ที่แทบจะไม่เห็นฝรั่งเลยสักคน ระหว่างทางก็มีร้านขายของทั่วๆไป มีร้านหนึ่งที่ผมประทับใจในของที่เขาขาย คือเป็นร้านที่รวบรวมของลวดลายอียิปต์ มีตุ๊กตา ปากกา แก้ว ผ้า จาน ที่เป็นลายฟาโรห์ สฟิงซ์ และที่เด็ดสุดคือกระดานหมากรุกที่ตัวเดินเป็นตัวละครอียิปต์ มีคิง ควีน จัดไว้สวยงาม และแน่นอนราคามันก็สูงตามความสวยงามด้วยครับ ผมจึงได้แต่มองและจากมา เมื่อผมเดิมเข้าไปด้านในสุดด้วยห้างสรรพสินค้า มีหน้าต่างเป็นกระจกใสทั่งตึก มีจอภาพ LCD ขนาดใหญ่ติดอยู่ด้านบน ฉายโฆษณา ตัวอย่างหนัง เหมือนในห้างบ้านเรานี่แหละ เก็บบรรยากาศกันจนจุใจก็ทยอยเดินออกมาขึ้นรถเพื่อกลับไปพักผ่อนยังโรงแรม คืนนี้กว่าผมจะได้ลงนอนพักผ่อนก็ปาเข้าไปเกือบตี 1 แต่ก็เป็นวันที่คุ้มค่าครับ