แสงส่องใจ
ทิว รวงทอง
แสงไฟในเมืองใหญ่ คงจะส่องลงไปไม่ถึงใจคนเมือง
ครั้งหนึ่งในเมืองที่เรียกตัวเองว่าเจริญ ผู้คนที่เรียกตัวเองว่าคนเมือง อาจจะลืมไปว่า แสงไฟในค่ำคืนที่สวยงามนั้น ช่างมืดมนในห้วงหนึ่งของความรู้สึก ผมก็อยู่ใต้แสงนั้น..
จำได้ว่า เมื่อครั้งที่ผมเข้ามาในเมืองหลวงของประเทศไทย เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2546 เพื่อทำตามกระบวนการของภาคการศึกษาของรัฐ ที่ขีดเส้นทางให้ผมต้องเดินตามโดยไม่มีข้อแม้ ครั้งนั้น ผมเข้ามาเพื่อฝึกงานในวิชาชีพที่ได้ร่ำเรียนมา 3-4 ปี ครั้งแรกของชีวิตชนบทคนหนึ่ง ไม่ต่างเลยกับหนังหรือละครที่เคยดู ในยุคที่เทคโนโลยี (เค้าเรียนกันว่าความเจริญ) กำลังพัดพาวิถีชีวิตเดิม ๆ ของผมไป ที่ต้องอยู่ท่ามกลาง สังคมแห่งการใช้ชีวิต นี่ผมไม่ได้โป้ปด เป็นครั้งแรกที่ผมต้องค้างพักแรมในเขตเมืองหลวง เป็นระยะเวลานานถึงเกือบ 2 เดือนเป็นครั้งแรก
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในเมืองหลวงของประเทศนะ ผมเคยเข้ามาครั้งแรกเลยจริง ๆ ประมาณ ปี 2534-35 ตอนนั้นเกิดบ้าบอ อยากเป็นทหารนายร้อยประดับยศ ตำแหน่ง ก็เลยด้นดั้นเข้ามาสอบกับเพื่อน ๆ เขา บุญมาแต่วาสนาไม่ส่ง แม่อุตส่าห์ตักข้าวในเล้า(ภาษาอิสาน แปลว่ายุ้งฉางครับ)ไปขาย ได้ค่ารถส่งลูกชายแล้ว แต่ผมดันเจอพิษเมืองหลวง ทั้งฝุ่นทั้งควันเข้าตา จนผมเป็นตาแดงไปสอบ โถชีวิต..
ต่างกันนะ ที่บ้านเพิ่งมีไฟฟ้าเข้ามาให้ได้เห็นหลอดไส้ หลอดนีออน เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง สมัยเด็กจะได้เห็นไฟแสงสี ก็ต่อเมื่อมีงานวัดหรือมีงานดนตรี รำวงอะไรเทือกนั้น ได้ยินเสียงเครื่องปั้นไฟแล้วใจก็อดน้ำตาซึมไมได้ พ่ออุ้มผมและจูงน้องชายไปที่วัด เพื่อไปดูเครื่องปั่นไฟ ที่ผู้ใหญ่บ้านของบมาจากทางราชการมาได้ ผมจ้องดูด้วยความตื่นเต้น พ่อบอกว่า พ่อเคยเห็นตอนไปเที่ยวงานรำวงที่เขาเดินสาย ไม่อยากเชื่อเลยว่า บ้านเราจะมี ไม่ทันไร พอพวกลุง ๆ พากันติดเครื่องปั่นไฟขึ้นเท่านั้น แสงจากหลอดไฟก็วาบเข้ากระทบสายตา พร้อมกันกับเสียงเฮโลของชาวบ้าน บ้างพากันร้อง และเต้นระบำกันรอบหลอดไฟ เสียงเครื่องปั่นไฟกับจังหวะการเต้นเข้ากับเสียงแคนของพ่อลุงจาน ช่างจับใจของผมนัก
ค่ำคืนนั้น ผมนั่งมองผ่านระเบียงหอพัก แสงดาวดวงเดิมที่เคยมองที่บ้าน ทานแสงไฟของเมืองหลวงไม่ไหวแล้ว เหมือนกับใจคนนัก แสงไฟในเมืองใหญ่ คงจะส่องลงไปไม่ถึงใจคนเมือง