โศกนาฏกรรมแห่งเครื่องจักร
hallelujah
โศกนาฏกรรมแห่งเครื่องจักร
กิติคุณ คัมภิรานนท์
นี่เป็นเรื่องของมนุษย์คนหนึ่ง...
....................
ท่ามกลางมวลอากาศที่รายล้อม เขายืนอยู่บนเทือกเขาสูง เบื้องบนเขาคือไม้ใหญ่ที่แผ่ กิ่งก้านกินอาณาบริเวณของอากาศเหนือศีรษะ เบื้องซ้ายและขวาคือแนวเทือกเขาที่ทอดตัวยาวไกลสู่เส้นขอบฟ้าเบื้องหน้า ณ ที่นั้น เส้นที่แบ่งคั่นผืนดินและผืนฟ้าออกจากกัน หรืออีกนัยหนึ่ง คือเส้นที่รวมผืนดินและผืนฟ้าเข้าด้วยกัน กำลังรองรับการทิ้งตัวลงของดวงอาทิตย์ที่กำลังหมดภาระหน้าที่ให้พลังงานแก่สรรพชีวิตแห่งซีกโลกนี้ ก่อนจะเคลื่อนคล้อยไปให้พลังงานอันอบอุ่นแก่สรรพชีวิตในอีก ซีกโลกหนึ่งต่อไป
ดวงตาเขาปิดสนิท ในขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆทิ้งตัวจมลง จมลง ณ เส้นขอบฟ้า การเคลื่อนไหวลงสู่เบื้องล่างตามวิสัยแห่งสายตามนุษย์นั้นเป็นไปอย่างสุภาพและนุ่มนวล ขณะนี้ แสงสีแดงส้มได้อาบไล้ไปทั่วอาณาบริเวณ ห้วยน้ำกลางเทือกเขาอันสงบนิ่ง เปล่งผิวสะท้อนแสงแห่งอาทิตย์อัสดงเป็นประกายระยิบระยับไหว คล้ายเพชรรัตน์ยามต้องแสง ไม้ต้นที่ยืนรายล้อมหุบห้วยแห่งประกายเพชรรับแสงแห่งการสิ้นสุดของวัน ใบไม้ส่องประกายสะท้อนแสงสีแดงส้ม พร้อมๆกับไหวกายเอนอ่อนตามลมโชยที่พลิ้วมาทักทาย คล้ายเป็นการตอบรับปรารถนาแห่งความเอื้ออารีที่ สายลมนั้นมีให้ แล้วสายลมก็พลิ้วพัดต่อไป โปรยหว่านความปรารถนาดีและไมตรีอันเอื้ออารีแก่ สรรพชีวิตอื่นที่ยืนหยัดต่อไป
จิตรกรรมแห่งธรรมชาติไม่มีวันหยุดนิ่ง แม้ในความนิ่งงันก็ยังมีความเคลื่อนไหวซ่อนอยู่ เขารับรู้ถึงข้อนี้ดี ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าคือพลวัตแห่งความมีชีวิต แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับภาพจิตรกรรมที่ถูกสรรค์สร้างโดยปลายพู่กันอันถูกติดตรึงอยู่ในกรอบไม้ จิตรกรรมแห่งธรรมชาติไม่เพียงแต่มอบความสุนทรีรมณีย์แด่ชีวิตอันเปี่ยมอารยะ หากแต่ยังมอบพลังอันอารยะแด่ชีวิตอีกด้วย
สายลมพรมผ่านมา เขารู้สึกได้ยามที่สายลมลูบไล้เรียวหน้า สัมผัสนั้นช่างอ่อนโยนและอบอุ่น เขารู้สึกได้
แต่กับภาพจิตรกรรมแห่งธรรมชาติที่เคลื่อนไหวอยู่โดยรอบนั้น เขาไม่มีโอกาสที่จะมองเห็นแม้เพียงเส้นสีอันบางระยิบนั้นเลย
ไม่มีโอกาสเลยจริงๆ...
(นี่เป็นเรื่องของเครื่องจักรตัวหนึ่ง...
....................
ท่ามกลางมวลอากาศที่รายล้อม เขายืนอยู่ ณ ป้ายรถประจำทาง หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางใจเมือง เครื่องจักรมากมายทั้งเพศผู้-เพศเมียเดินผ่านไปผ่านมา ต่างวัย ต่างชื่อเรียก ต่างรายละเอียดในชีวิต แต่เหมือนกัน ตรงที่เขาและเครื่องจักรเหล่านี้ เกิดมาบนโลกใบเดียวกัน
รถประจำทางสายหนึ่งแล่นมาจอดเทียบป้ายฯ ยังไม่ทันที่เครื่องจักรบนรถฯจะทยอยลงมา เครื่องจักรที่หมายปองรถฯสายนี้ก็เข้ากลุ้มรุมล้อม จับจองบริเวณบันไดทางขึ้นไว้หมด ไม่มี ช่องทางพอสำหรับให้เครื่องจักรที่อยู่บนรถฯได้เดินลงมาอย่างสะดวก ต้องแทรกตัวเบียดกับเครื่องจักรที่อออยู่ตรงประตูลงมา เนิ่นนาน...กว่าที่เครื่องจักรบนรถฯจะลงมาได้หมด และคงจะเนิ่นนานกว่านี้ถ้าเครื่องจักรตัวที่ทำหน้าที่กระเป๋ารถฯไม่ส่งวาจาเชิงสั่งสอนลงมายังเครื่องจักรเบื้องล่าง ว่ากรุณาเปิดช่องทางให้เครื่องจักรที่อยู่บนรถฯได้ใช้เดินลงมาหน่อย เมื่อคิวขาลงจบ ก็ถึงคิวของขาขึ้น ...และนั่นก็เป็นเวลาอีกพักหนึ่ง กว่าที่รถฯจะแล่นออกไปจากป้ายฯ
เขามองสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย ด้วยสายตาที่ชาชิน และเบื่อหน่าย เขาเป็นเพียงเครื่องจักรทางสังคมตัวหนึ่งที่หมดหน้าที่ในหนึ่งวัน และกำลังจะกลับบ้าน เขาไม่มีเครื่องจักรทางกายภาพที่เครื่องจักรทางสังคมเรียกว่า รถยนต์ เป็นของตัวเอง ด้วยเงินตอบแทนค่าเหนื่อยอันเล็กน้อยที่เขาได้รับในแต่ละเดือนนั้น ไม่เพียงพอที่จะนำไปแปรรูปเป็นเครื่องจักรทางกายภาพที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายขึ้นได้ เขาจึงต้องใช้บริการจากเครื่องจักรทางกายภาพที่ทางรัฐบาลและเอกชนจัดขึ้นมาให้บริการเครื่องจักรทางสังคมเช่นเขาและเครื่องจักรตัวอื่นๆได้ใช้เดินทาง จากที่อยู่อาศัยไปที่ทำงาน และจากที่ทำงานไปที่อยู่อาศัย เท่านั้น! ใช่ เครื่องจักรไม่จำเป็นต้องพักร้อน แค่การพักผ่อนในแต่ละวันก็มากเกินพอแล้ว ถึงทางภาครัฐจะยังไม่ได้ตราออกมาเป็นพระราชบัญญัติ แต่เครื่องจักรทุกตัวก็รู้ดีว่าการยื่นใบขอลาพักร้อนแก่ผู้บังคับบัญชานั้นเหมือนกับการยื่นเศษกระดาษลงถังขยะ ไม่ได้หมายความว่าผู้บังคับบัญชาเป็นถังขยะ แต่หมายความว่ากระดาษที่เครื่องจักรตัวนั้นคาดหวังอยากให้เป็นความจริงนั้น จะกลายเป็นเศษกระดาษในมือของผู้บังคับบัญชา และเป็นผู้บังคับบัญชาเอง ที่จะช่วยเป็น ตัวกลางให้เครื่องจักรตัวนั้นกับถังขยะ เป็นการช่วยผ่อนแรงให้เครื่องจักรตัวนั้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปทิ้งเศษกระดาษนั้นด้วยตัวเอง สู้เอาเวลาไปใช้แรงงานเสียดีกว่า ถือเป็นสวัสดิการที่เครื่องจักรทุกตัวได้รับนอกเหนือจากค่าเหนื่อยในแต่ละเดือน
เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นที่เข่า ร่างกายที่กรำงานหนักมาตลอดเริ่มเรียกร้องถึงการพักผ่อน มันเริ่มปวดขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ทนยืน และมันจะปวดยิ่งขึ้น ถ้าเขายังดันทุรังที่จะยืนต่อไป กว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่เขายืนรอรถฯคันที่จะผ่านบ้านเขา แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารถฯคันที่ว่าจะมา เขาเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาที่นั่ง แน่นอน ภาครัฐคงไม่ใจดำถึงขนาดไม่เตรียมที่นั่งไว้ให้เครื่องจักรได้นั่งรอรถฯหรอก ที่นั่งนั้นมี แต่ไม่มีสำหรับเขา ที่นั่งทุกที่ถูกจับจองโดยเครื่องจักรตัวอื่นๆหมดแล้ว เขามาช้าเกินไป ที่จริง มันก็เต็มมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตั้งแต่ที่เขามาถึงนั่นแหละ ครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังเต็มอยู่เช่นเดิม ไม่มีวี่แววว่าจะว่างให้เขาได้เดินเข้าไปทรุดกายลงนั่ง ทุกที่ล้วนมีเครื่องจักรตัวอื่นๆที่ไม่ได้นั่ง เล็งพร้อมที่จะเดินไปนั่งในทันทีที่เครื่องจักรตัวที่นั่งอยู่ลุกไป และไม่จำเป็นหรอกว่าเครื่องจักรตัวที่นั่งนั้นจะต้องเป็นเครื่องจักรเพศเมีย ไม่มีหรอก เพศผู้ทั้งนั้น ที่อาศัยความแข็งแรงเบียดเอาชนะความอ่อนแอได้ มันก็เหมือนกับสภาวการณ์บนรถประจำทางนั่นแหละ พวกที่นั่งเป็นเพศผู้ทั้งนั้น จะมีบ้างก็เป็นเพศเมียที่อาศัยขึ้นรถฯตั้งแต่ต้นๆสาย หรือไม่ก็จับจองพื้นที่ตรงที่ชิดกับที่นั่ง เพื่อที่ว่าถ้าเครื่องจักรตัวที่นั่งลุกไปเมื่อไร หล่อนก็จะได้นั่งต่อในทันที ไม่ทันให้ตัวอื่นได้แย่งทัน นั่นเป็นภาวะปกติบนรถประจำทาง
เขาเหลียวซ้ายแลขวา ไม่มีวี่แววของที่นั่งอันว่าง เขาเบนหน้ากลับสู่ภาวะปกติ ชะเง้อมองรถฯที่แล่นเข้ามาใกล้ป้ายว่าใช่รถฯที่เขาหมายปองหรือไม่ นั่น! มาแล้ว ในที่สุด การรอคอยกว่าครึ่งชั่วโมงก็เป็นอันยุติ รถฯคันที่ว่าแล่นมา เขากระชับกระเป๋าเอกสารให้มั่น พร้อมที่จะแข่งขันกับเครื่องจักรตัวอื่นเพื่อแย่งชิงขึ้นรถฯ แข่งขัน... ใช่ เดี๋ยวนี้อะไรๆก็ต้องแข่งขันกันทั้งนั้น มันเป็นยุคสมัยแห่งการธุรกิจ อะไรๆก็ต้องเป็นธุรกิจ ขนาดธรรมชาติก็ยังโดนแปรรูปให้กลายเป็นธุรกิจได้เลย เดี๋ยวนี้มันเป็นยุคสมัยที่ทุนนิยมครองโลก ตามที่ประเทศมหาอำนาจประเทศนั้นอยากให้เป็นเสียตัวสั่นระริก มันเผยแพร่ทุนนิยมเข้ามา เข้ามาเปลี่ยนวิถีอันดีงามให้กลายเป็นวิถีอันโหดร้าย วิถีที่ต้องแข่งขันกันทุกอย่าง มนุษย์ถูกเปลี่ยนให้เป็นเครื่องจักร เพื่อเงินตรา เพื่อชื่อเสียง เพื่ออะไรก็ตามแต่ ที่จะสนองกระแสแห่งอัตตาให้ฟูเฟื่อง ยุคนี้คือยุคนี้ ยุคที่มนุษย์กลายเป็นเครื่องจักร
เครื่องจักรไม่จำเป็นต้องมีหัวใจ!
เขาเคยอ่านนิตยสารสารคดีเกี่ยวกับการแพทย์ บนหน้ากระดาษ---ในห้องทดลอง พวกแพทย์ทำการผ่าศพเครื่องจักรตัวหนึ่งที่สิ้นใจลงเนื่องการทำงานอันหนักหน่วง พวกเขาสันนิษฐานว่าเครื่องจักรตัวนี้สิ้นใจเพราะหัวใจล้มเหลว จากภาพที่พวกแพทย์ทำการผ่าศพ เขาเห็นหัวใจของ เครื่องจักรตัวนั้น หัวใจอันบอบช้ำ เล็กลีบ ดำคล้ำ เห็นแล้วให้รู้สึกสะอิดสะเอียน หัวใจเขาจะเป็นอย่างนั้นไหมหนอ? เพราะดูแล้ว เขากับเครื่องจักรตัวนั้นก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย ตื่นตั้งแต่ตีห้า เพื่อไปรอรถฯ เดี๋ยวนี้ตีห้ารถฯก็แน่นไปหมดแล้ว เพราะจำนวนเครื่องจักรที่ล้นประเทศ การคุมกำเนิด บกพร่อง เดี๋ยวนี้เครื่องจักรอายุการใช้งานแค่สิบหกสิบเจ็ดปีก็มีเครื่องจักรน้อยกันแล้ว เครื่องจักรมากขึ้น แต่ประเทศเท่าเดิม เครื่องจักรเลยล้นประเทศ รอรถฯตั้งแต่ตีห้า กว่าจะถึงที่ทำงานก็เกือบแปดโมงเช้า แน่นอน เมื่อเครื่องจักรเพิ่มขึ้น รถยนต์ก็เพิ่มขึ้น เป็นอุปสงค์-อุปทาน และเมื่อรถยนต์เพิ่มขึ้น ก็พานทำให้การจราจรติดขัดไปด้วยเป็นธรรมดา แปดโมง---ทำงาน ยันสี่โมงเย็น รวดเดียวไม่มีพักเที่ยง อย่างที่บอก เครื่องจักรไม่จำเป็นต้องพักผ่อนมาก สี่โมงเย็น---กลับบ้าน เสียเวลาให้กับการคอยรถฯอีกประมาณครึ่งชั่วโมงถึงชั่วโมงต่อวัน เป็นปกติ ถ้าวันไหนรอน้อยกว่านี้สิ ผิดปกติ กว่าจะกลับถึงบ้านก็สองทุ่มเกือบสามทุ่ม ทำงานที่หอบมาจากที่ทำงานต่อ---ถึงประมาณเที่ยงคืน แล้วแต่ บางวันอาจไม่ถึงเพราะทนความง่วงไม่ไหว หลับคาโต๊ะทำงานไปเสียก่อน ตีห้าก็ตื่นนอน แล้วก็ไปทำงาน ไม่มีโอกาสได้ไปพักผ่อน ไปเที่ยว พวกที่จะไปเที่ยวได้นั้นต้องเป็นพวกที่รวยจริงๆ พวกที่เป็นเจ้านายของเครื่องจักรตัวอื่นๆ พวกที่ยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์ทางกายภาพอยู่บ้าง ในขณะที่ความเป็นมนุษย์ภายในนั้นไม่มีหรอก ศีลธรรม คุณความดีไม่มีอยู่ในจิตใจของพวกนี้ ศาสนาตายไปแล้ว ธรรมชาติเป็นแค่สิ่งดูเล่นยามเซ็งๆเท่านั้น นอกนั้นก็เพื่อกอบโกยใส่ตัวเอง พวกเครื่องจักร เบื้องล่างก็เหมือนกัน ถึงจะไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเหมือนพวกผู้บังคับบัญชา แต่คุณค่าความเป็นมนุษย์ก็หมดหายไปแล้วจากใจพวกนี้ ใช่ คุณค่าความเป็นมนุษย์มันหมดหายไปนานแล้วจากหัวใจ หัวใจของแต่ละตัวจึงลีบเล็ก แห้งเหี่ยว
เพราะเครื่องจักรไม่จำเป็นต้องมีหัวใจ!
ถ้าว่ากันตามทฤษฎีวิวัฒนาการ อีกสักสิบยี่สิบปี เครื่องจักรทางกายภาพหรือที่เรียกว่ามนุษย์นั้นคงไม่จำเป็นต้องมีอวัยวะที่ชื่อว่าหัวใจ เพราะตามทฤษฎี อวัยวะใดที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานานๆ อวัยวะนั้นย่อมค่อยๆเล็กลง และหายไปในที่สุด ก่อเกิดอวัยวะใหม่ขึ้นมาแทนที่ เหมือนกับที่สัตว์โลกยุคก่อนที่ปรับสภาพร่างกายไปตามสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย เครื่องจักรทั้งหลายแหล่ก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนไปตามวิถีทางสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันตลอด อีกหน่อย เครื่องจักรทั้งหลายแหล่คงจะปรับสภาพ มีมือแค่สองมือคงไม่พอ ต้องมีสักสิบยี่สิบมือแบบทศกัณฐ์ จึงจะพอที่จะใช้โรมรันประหัตประหารกันได้ ใช่ ประหัตประหาร ประหัตประหารทางธุรกิจ ฆ่ากันท่ามกลางสายพิรุณแห่งเงินตราที่ไหลหลั่งลงมา ฆ่าเครื่องจักรที่ขวางทาง ฆ่าเครื่องจักรที่อ่อนแอ เครื่องจักรตัวไหนที่ไม่แข็งแกร่งพอก็จะถูกกำจัด ความอ่อนโยนไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะมันเป็นบ่อเกิดแห่งความอ่อนแอ ความรักไม่ จำเป็นต้องมี เพราะมันเป็นบ่อเกิดแห่งความอ่อนโยน เขาเชื่อกันอย่างนั้น ทุกวันนี้สิ่งที่ต้องใช้และเครื่องจักรทุกตัวจำเป็นต้องมีคือความโหดเหี้ยม ความเย็นชา ที่พล่าความเห็นอกเห็นใจในตัวตนให้หายไป ที่เหยียบความสงสารให้จมดิน และกระทืบซ้ำความดีงามแห่งความเป็นมนุษย์ให้แหลกสลายไป และเมื่อนั้น... ในร่างกายของเครื่องจักรแต่ละตัวก็จะไม่มีที่ว่างให้หัวใจได้อยู่อาศัยอีกต่อไป
รถฯแล่นเข้าเทียบป้ายฯ ฝูงเครื่องจักรต่างเร่งรุดเข้าไปหา คุมเชิงตรงบันไดทางขึ้นไว้หมด ต้องรอให้เครื่องจักรที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋ารถฯมาด่า ถึงจะยอมเบี่ยงทางให้เครื่องจักรบนรถฯได้แทรกตัวเดินลงมา เมื่อคิวขาลงหมด คิวขาขึ้นก็แห่กันขึ้นไป เครื่องจักรตัวที่ไวกว่า อายุน้อยกว่า สดกว่าต่างเร่งรุดขึ้นไปบนรถฯ จนกระทั่งจำนวนเครื่องจักรเต็มพื้นที่ว่างของรถฯ เกือบจะทะลักออกมาด้วยซ้ำ เครื่องจักรวัยดึกเช่นเขาจึงหมดโอกาสที่จะขึ้นไปได้ เพราะสู้เครื่องจักรอายุน้อยกว่าไม่ไหว รถฯเคลื่อนตัวออกไป เขารู้สึกเหนื่อย ความอ่อนล้าเข้าครอบงำสรรพางค์กาย ความระโหยล้าเข้าครอบงำความนึกคิด เข่าที่ปวดเริ่มปวดมากขึ้น เขาพยุงร่างที่ผิดหวังเดินไปหลังซุ้มรถฯ แต่ละก้าวช่างทรมาน ด้วยความเจ็บปวดที่พุ่งจากหัวเข่าขึ้นสู่ประสาทการรับรู้ เขามาอยู่ที่นี่ทำไม? อยู่ท่ามกลางสมรภูมิแห่งการแก่งแย่งแข่งขัน มันควรแล้วหรือ? ความสมเพชเวทนาในตัวเองค่อยๆกัดกินจิตสำนึกก่อนที่ซากแห่งจิตสำนึกนั้นจะค่อยๆกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำเอ่ออยู่ที่เบ้าตา
ตรงพื้นซีเมนต์หลังซุ้มรถฯ เขาทรุดตัวลงนั่ง แล้วร้องไห้ออกมา...
....................)
ดวงอาทิตย์ทิ้งตัวลงหลังเส้นขอบฟ้า อีกเพียงเสี้ยวบาง ก็จะหมดดวง บรรยากาศโดยรอบเริ่มมืดลง แสงแห่งวันใกล้จะหมดลง พร้อมๆกับที่ความมืดแห่งคืนจะเริ่มต้น เหล่าจักจั่นเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งไพรพฤกษ์ต้อนรับการมาเยือนของราตรีกาล สายลมยังคงพัดโชยมา ไล้ใบหน้า และเรือนกาย หากแต่สายลมเริ่มไม่อบอุ่นเหมือนช่วงอาทิตย์อัสดงใหม่ๆ หากแต่เริ่มเย็นเยียบ คงจะเย็นเยียบเข้าไปกรีดหัวใจได้เลยกระมัง หากเขาจะยืนอยู่เช่นนี้ต่อไปจนคืนค่ำ เขากระชับเสื้อคลุม กอดอก เมื่อคิดถึงความเย็นเยียบที่จะมาถึงในอีกไม่นาน ที่มือขวา เขารู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ ที่ชำแรกผ่านหน้าอกและเสื้อคลุมออกมากระทบกับมือขวาของเขา มันเต้นช้า แต่ยังคงหนักแน่น
เขารับรู้ถึงเสียงฝีเท้าที่ย่างเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลัง
หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามายืนข้างเขา แล้วพูด-
ดูพระอาทิตย์เป็นไงคะ?
ก็ดีจ้ะ
พูดยังกับว่าคุณมองเห็น
คุณก็ถามยังกับว่าผมมองเห็น
ฉันขอโทษ
ไม่เป็นไร ผมไม่โกรธหรอก เขายิ้ม ก่อนจะพูดต่อ-
กับสิ่งที่ผ่านมา คงมากเกินพอแล้ว มันเลยไม่อยากจะมองเห็นหรือรับรู้อะไรอีก
เธอรู้สึกผิดที่ล้อเขาเล่น เธอจับมือเขามากุมไว้
ดวงอาทิตย์ลับเส้นขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดแห่งรัตติกาลค่อยๆผุดเผยกายออกมาครอบงำมวลอากาศโดยรอบ เหมือนทุกครั้งยามแสงแห่งทิวาปลดระวางตัวเองเมื่อครบรอบหนึ่งวัน สายลมพัดมา... จริงอย่างที่เขาคิด สายลมนั้นเริ่มหนาวเย็นขึ้นตามเวลาที่เลยล่วง เธอก็รู้สึกเช่นกัน สายลมอันหนาวเย็นที่จะเข้าครอบคลุมสรรพางค์กาย ความเย็นเยียบที่จะกรีดเข้าไปครอบงำหัวใจ
ดวงอาทิตย์จากไปแล้ว... เขาเอ่ยขึ้น
เธอตีสีหน้าประหลาดใจเล็กๆเมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น
คุณมองเห็น... เธอเรียบเรียงคำพูดได้ไม่ครบองค์ประโยค ด้วยไม่รู้จะสรรหาคำใดมาต่อท้ายวลีให้ชัดเจนสมบูรณ์
หัวใจผมสะท้อนแสงอาทิตย์นะ คุณไม่เห็นหรือ?
เธอยิ้ม ค่ะ... ฉันเห็นแล้ว ทิ้งช่วงอีกนิดหนึ่งก่อนกล่าวต่อ-
ความมืดกำลังใกล้เข้ามา
สายลมยามดึกพลิ้วม้วนตัวต้องก้านกิ่งไม้เหนือศีรษะคนทั้งสอง ก่อเกิดเสียงหยาบกระด้างระคายหู เขารู้สึกได้ว่าสายลมเริ่มหนาวเย็นและก้าวร้าวรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ใช่ ความมืดกำลังใกล้เข้ามา เขาเอ่ย แล้วหันไปยิ้มให้เธอ
พร้อมไหม?
เธอยิ้มตอบ พร้อมกุมมือเขาไว้แน่น...
สายลมยามคืนค่ำพัดมาอีกระลอก... ผมของเธอปลิวสยายไปตามแรงลม...
........................................