"ถ้อยคำหวาน สาส์นรักจาก
แม่
ทิวสน
โดย ทิวสน ชลนรา
ช่างดีอะไรเช่นนี้ สัมมนาภาคบ่ายเสร็จไม่ถึงกับเย็นมาก เลยทำให้ฉันพอมีเวลาได้ออกมารับลมทะเล เดินเปลือยเท้าย่ำทรายขาวเม็ดละเอียดเช่นตอนนี้ ที่ผ่านมาเมื่อมีการสัมมนาต่างจังหวัด จะกี่ครั้งก็มีอันเลิกประชุมเสียเย็นค่ำ ทานข้าวแล้วยังมีสัมมนาต่อ จึงน้อยครั้งที่จะได้ออกมาซึมซับความสดชื่นจากธรรมชาติ กับอากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะชายทะเล ที่ฉันชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ...
ชายหาดแห่งนี้เป็นส่วนตัว เพราะเป็นที่ส่วนบุคคล กวาดสายตาพบแต่ชาวต่างชาติ ที่ทอดตัวนอนยาวบนเปลรับลมทะเล บ้างก็เล่นน้ำ บ้างก็จูงมือลูกเดินริมหาด
ระรอกคลื่นซัดสู่ฝั่งสม่ำเสมอ ลมทะเลพัดหอบไอเค็มบางๆ มาเป็นระยะ ฉันรู้สึกผ่อนคลาย... ความขึงเครียดจากการประชุมตลอดทั้งวัน มลายไปหมดสิ้น
ฉันทอดสายตาออกไปไกล สำรวจริมหาด ฟองคลื่นขาวน่าเดินเอาเท้าแช่น้ำเสียจริง... ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแห่งความเปรมปรีดิ์ พาสายตาฉันหันไปสะดุดกับภาพหนึ่ง เด็กหญิงผมแดง หยิก ฟู กำลังยิ้มร่า หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข แก้มยุ้ยนั้นแดงอย่างกับผลมะเขือเทศสุก น่าหยิกเสียจริงเชียว... แม่หนูแก้มแดงสวมชุดว่ายน้ำสีขาว ลายดอกไม้สีแดงเล็กๆ ตรงเอวมีระบายคล้ายกระโปรงแลดูน่ารัก กับวัยคงไม่เกิน 2-3 ขวบ เธอกำลังวิ่งไล่จับผู้เป็นแม่ จับได้บ้าง ไมได้บ้าง ครั้งจับได้ก็หัวเราะชอบใจ จับไม่ได้ก็ทำท่าโยเย
ขณะหนึ่งแม่หนูโถมตัวไปข้างหน้าหมายจะคว้าแม่ให้ได้ แต่เป้าหมายข้างหน้าเบี่ยงหลบ จึงล้มคมำคว่ำไปข้างหน้า และดูเหมือนความสนุกจะสะดุดหยุดอยู่เพียงนั้น เสียงหัวเราะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง จะด้วยความเจ็บหรือความตกใจก็สุดจะเดาได้ เสียงร้องจ้าทำให้ผู้เป็นแม่ชะงักเท้าหันกลับ ปราดเข้าไปหา
ก้มลงคว้าประคองตระกองกอดไว้ในอ้อมอก แล้วอุ้มลูบหลังปลอบโยน เสียงร้องไห้ฟังคล้ายจะแผ่วลง ขณะที่แม่หนูยังคงสะอื้นตัวโยน...
จากภาพเบื้องหน้า...มีอะไรบางอย่างเข้ามาสัมผัสใจฉัน...
ใช่ฉันยังจำได้ เมื่อครั้งที่ยังเด็ก ฉันก็เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ และเพราะความที่เป็นเด็กซน จึงเกิดขึ้นกับฉันอยู่บ่อยหน และทุกครั้งสิ่งที่ฉันได้รับคือ แม่ได้กระทำสิ่งที่วิเศษสุดต่อฉัน...
* * * * * *
ตอนที่ฉันยังเด็กและเริ่มจำความได้
คราใดที่ฉันหกล้ม คนที่มาถึงฉันเพียงชั่วอึดใจก็คือ แม่
เมื่อมาถึง แม่จะพยุงฉันลุกขึ้น แล้วอุ้มไปที่เตียงของแม่ ประคองให้ฉันนั่งลง แล้วแม่ก็หอมลงไปที่ตรง โอ๊ย! ฉันมักจะร้องออกมาให้แม่ได้ยิน จะได้รู้ว่าฉันเจ็บมากมายเหลือเกิน ทั้งที่แท้จริง บางครั้งก็ไม่ได้เจ็บมากถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็ทำให้เหมือนจะสมจริง จากนั้น แม่จะขึ้นมานั่งข้างๆ ฉันบนเตียง จับมือน้อยของฉันไปกุมไว้...จ้องตาฉัน...แล้วพูดว่า...
ปราย..เวลาที่ลูกเจ็บ ปรายบีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ
ฉันพยักหน้ารับคำ ด้วยสีหน้าที่แลดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะค่อยๆ เอนตัวลงนอน โดยมีแม่นอนอยู่ข้างๆ กุมมือฉันไว้ ฉันบีบมือแม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า.... และทุกครั้ง...ไม่มีพลาด ฉันจะได้ยินเสียงแม่ตอบรับกลับมาว่า
แม่รักลูกจ้ะ ทุกครั้งไป
ฉันยอมรับว่า บางครั้งก็แกล้งทำเป็นเจ็บ เพียงเพื่อจะให้แม่ทำแบบนั้นอีก...
ครั้นโตขึ้น วิธีการปลอบประโลมของแม่ก็เปลี่ยนไป แม่เป็นนักสร้างสรรค์ ชอบคิดหาวิธีใหม่ๆ ปลอบใจเอาใจให้กำลังใจฉันเสมอ ทุกสิ่งที่แม่ทำล้วนแต่เป็นวิธีที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น...
ในช่วงเรียนมัธยมปลาย แม้จะมีภาระยุ่งยากและเหนื่อยตลอดทั้งวัน แต่แม่ก็จะเตรียม
เอแคร์ไม่ก็เค้กกล้วยหอมที่ฉันชอบ พร้อมน้ำส้มคั้น ไว้รอเมื่อฉันกลับถึงบ้านเสมอ..
พออายุ 19 เข้าเรียนมหาวิทยาลัย มีบ่อยครั้งที่ตอนสายๆ แม่จะโทรมาหาฉัน ชวนออกไปทานข้าวกลางวันอย่างกะทันหัน เพียงเพราะรู้สึกว่าวันนั้นอากาศดี แม่กับพ่อจึงขับรถจาก
ชานเมือง เพื่อมาทานข้าวกับฉัน และทุกครั้งที่พ่อกับแม่กลับไป แม่จะส่งการ์ดขอบคุณมาให้ฉันทางไปรษณีย์เสมอ ทั้งที่เราจะได้เจอกันทุกๆ วันเสาร์ เมื่อฉันกลับบ้านปลายสัปดาห์อยู่แล้ว
ฉันรู้ว่าสิ่งนี้แม่ทำเพื่อย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่า ฉันเป็นคนพิเศษสุดสำหรับแม่เสมอ...
ทว่า วิธีที่ประทับแน่นในความทรงจำของฉันมากที่สุด ก็ยังเป็นวิธีที่แม่กุมมือฉันไว้ และบอกว่า เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ...แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ อยู่นั่นเอง
* * * * *
คืนหนึ่ง ในวัยสามสิบเศษ ฉันกลับถึงบ้านจวนเที่ยงคืน ทำธุระ อธิษฐาน เตรียมจะเข้านอน พลันโทรศัพท์ได้ดังขึ้น...พ่อโทรมา!
ทุกครั้งพ่อจะดูเป็นผู้นำ ความคิดชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะทำสิ่งใด แต่คืนนั้นจากน้ำเสียงของพ่อ ฉันสัมผัสได้ว่า พ่อกำลังสับสนและตื่นกลัว
ปรายแม่ไม่สบาย เป็นอะไรไม่รู้ พ่อไม่รู้จะทำยังไงดี...ลูกรีบมาบ้านเราด่วนเลยนะลูก
ขอบคุณพระเจ้า ที่การขับรถจากกลางเมืองไปชานเมืองใช้เวลาอันสั้น เพียง 30 นาที ต่างจากกลางวันลิบลับ ตลอดเวลาที่อยู่หลังพวงมาลัยเป็นช่วงเวลาที่ฉันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวได้แต่อธิษฐาน เพราะห่วงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่
ครั้นก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน ฉันเห็นพ่อมีสีหน้ากังวล เดินวนไปมา อธิษฐานอยู่ที่ห้องรับแขกเพื่อรอฉัน ฉันเปิดประตูเบาๆ เข้าไปในห้องนอนของแม่ที่เปิดไฟสลัวที่หัวเตียง พบแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง หายใจรวยริน...สองมือประสานไว้ที่อก...
ฉันรู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็พยายามเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบที่สุด
แม่คะ...หนูอยู่นี่ค่ะ
ปรายเหรอ
]
ค่ะแม่
ปราย...ใช่หนูรึเปล่าลูก
ใช่ค่ะแม่...หนูเองค่ะ
ฉันไม่ทันจะตั้งตัวเตรียมรับคำถามใดๆ ที่จะตามมา และเมื่อได้ยินฉันก็ถึงกับตัวแข็ง ด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี
ปราย...แม่กำลังจะตาย...แม่กำลังจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้วใช่มั้ยลูก เสียงนั้นเบาหวิว แต่กรีดลึกลงกลางใจฉัน
ภาพแม่ที่อยู่เบื้องหน้าพร่าเลือนด้วยน้ำตาของฉัน ที่เอ่อท้นเต็มสองตา จ้องมองดูแม่ที่แสนรัก นอนอยู่แบบช่วยอะไรตัวเองไมได้..
ความคิดของฉันวิ่งพล่าน กระทั่งคำถามหนึ่งแว่วผ่านเข้ามาในสมอง... แล้วถ้าเป็นแม่ล่ะ แม่จะตอบว่าอย่างไรนะ
ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่เหมือนเวลาผ่านไปนานนับล้านปี กระทั่งคำพูดหนึ่งหลุดออกมา
แม่คะ ...หนูไม่รู้ว่าแม่จะตาย และกำลังจะไปอยู่กับพระเจ้ารึเปล่า...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ก็ทำใจให้สบายเถอะนะคะ...เพราะวันหนึ่งเราจะได้พบกันที่สวรรค์ และ...หนูรักแม่ค่ะ
ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบดี แม่ก็ร้องครางออกมา ปราย...แม่เจ็บเหลือเกินลูก
อีกครั้งที่ฉันนึกว่า ควรจะพูดอะไรดี ฉันนั่งลงข้างเตียงแม่ คว้ามือขวาแม่ขึ้นมากุมไว้ที่อก และได้ยินเสียงของตัวเองพูดออกไปว่า
แม่คะ...ถ้าแม่เจ็บ แม่บีบมือหนูนะคะ...แล้วหนูจะบอกว่า...หนูรักแม่ค่ะ
แม่บีบมือฉัน..
แม่คะ...หนูรักแม่ค่ะ
การบีบมือและเสียงตอบ หนูรักแม่ค่ะ เกิดขึ้นระหว่างแม่กับฉันหลายครั้งตลอดเวลา 2 ปีต่อมา... กระทั่งแม่จากไปอยู่กับพระเจ้าด้วยโรคมะเร็งที่มดลูก
ฉันไม่รู้ว่า นาทีแห่งชีวิตของแต่ละคนรอบกายฉันจะมาถึงเมื่อใด แต่ฉันรู้แล้วว่า เมื่อนาทีนั้นมาถึง ไม่ว่าฉันจะอยู่กับใครก็ตาม นอกจากจะอธิษฐานเผื่อเขาแล้ว ฉันจะมอบวิธีปลอบประโลมแสนหวานของแม่ที่เคยกระทำกับฉันให้คนนั้นเสมอ..
เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ
************
สุดปลายฟ้า ผืนฟ้าสีครามม่วงหม่นกำลังมาเยือน ความมืดกำลังโรยตัว... ขณะที่ลมเย็นจากทะเลยังคงพัดผ่านมา พร้อมเกลียวคลื่นทะยอยซัดสู่ฟังหยอกล้อผืนทรายสม่ำเสมอ ทุกสิ่งยังคงดำเนินไปเช่นเดิม ตามที่พระเจ้าทรงจัดสรรระบบสำแดงความยิ่งใหญ่ไว้ เฉกเช่นเดียวกับถ้อยคำหวานที่ยังคงขับขาน ดังก้องเป็นกำลังใจแก่ฉันเสมอมาทุกวันเวลา และจะยังคงประทับอยู่ในใจเสมอไป.