ใต้ผ้าเหลือง

ธรรณกับวุ้นเส้น

ณ บ้านเสงียว อำเภอเมืองหนองคาย  ได้มีข่าวครึกโครมเขย่าขวัญผู้คนทั้งบางว่าครอบครัวเจ้าของโรงงานน้ำดื่มได้โดนฆ่าชิงทรัพย์เสียชีวิตลงอย่างอนาถ มีพ่อ แม่ ลูกสาว (ชื่อ แหม่ม)  แล้วก็ลูกชายหนุ่มที่ขอมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ  ศพทั้งหมดได้โดนคนร้ายหั่นเป็นชิ้นๆแล้วถ่วงแม่น้ำโขง บางชิ้นส่วนของศพลอยไปเกยตลิ่งที่โคนหญ้าอ้อยหนู บางชิ้นส่วนลอยไปตามกระแสน้ำหาไม่เจอเลย  ทำให้ชาวบ้านระแวกนั้นหวาดกลัวทั้งผีทั้งคนร้าย  ตำรวจกำลังสืบหาร่องรอยของฆาตกรเลือดเย็น ซึ่งตำรวจสัญนิฐานว่าฆาตกรคงจะมีมากกว่าหนึ่ง  
กานร์เป็นคู่รักของลูกสาวเจ้าของโรงงานผลิตน้ำดื่ม   หลังจากแฟนสาวของกานร์ (หนุ่มหน้าตาดี) และครอบครัวตายได้ไม่กี่วัน กานร์เสียใจมากจึงได้ตัดสิ้นใจย้ายถิ่นฐานมาบวชอยู่ที่หมู่บ้านเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี   ซึ่งที่นั้นกานร์ก็มีญาติทางแม่(น้าหญิง)ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยจัดหาที่พักให้กานร์ก่อนจะบวชเป็นพระ  น้าหญิงของกานร์มีกิจการค้าไม้ในตัวอำเภอซึ่งก็ทำรายได้ดีพอสมควรในแต่ล่ะเดือน  นานๆทีน้าถึงจะไปวัดทำบุญแล้วก็แวะเยี่ยมเยียนทักทายพระกานร์เพราะน้าหญิงก็มัวแต่ยุ่งๆกับงาน
หมู่บ้านเกวียนหักเป็นหมูบ้านที่มีประชากรแค่ 38 หลังคาเรือน ถือว่าเป็นบ้านเล็กๆหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านแถวนั้นจะทำสวนผลไม้เป็นอาชีพหลัก  ทุกฤดูก็จะมีผลไม้ของฤดูนั้นผลิดอกออกใบ  ชาวบ้านจะไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกันเพราะต้องทำงานที่สวนใครสวนมัน นานๆถึงจะมีงานทำบุญที่วัดหนหนึ่งซึ่งชาวบ้านก็จะพากันมารวมตัวทำบุญที่วัด วัดเกวียนหักเป็นวัดที่มีพระอยู่สองรูป (ร่วมทั้งพระกานร์) แล้วก็มีสามเณรน้อยอยู่อีกสองรูป  กานร์ได้บวชเป็นพระและได้อยู่อย่างสงบสุขใต้ร่มผ้าเหลืองของพระมาเป็นเวลาหกพรรษา  ในระยะหกปีมานี้เจ้าอาวาสซึ่งอายุห้าสิบสามปีก็ได้มรณะภาพลงด้วยโรคหลับไม่ตื่น ทำให้พระกานร์ได้กลายเป็นเจ้าอาวาสโดยชอบธรรม  
ชาวบ้านรู้เรื่องการสูญเสียที่เจ็บปวดของความรักของพระกานร์ก่อนมาบวชเป็นพระ  บางคืนชาวบ้านบางคนเดินผ่านไปวัดก็จะเห็นพระกานร์นั่งอยู่ในมุมมืดคนเดียวเหมือนกับรออะไรหรือใครบางคน  บ่อยครั้งชาวบ้านจะเห็นเงาผู้หญิงผมยาวแต่งชุดดำเดินในความมืดในบริเวณกุฏิของพระกานร์  บางคืนก็จะเห็นเงาสลัวๆของรูปร่างผู้ชายหนุ่มแต่งชุดดำเดินออกไปจากบริเวณวัด  ชาวบ้านแถวนั้นกลัวขนลุกขนชันกันเป็นแถวๆ  ชาวบ้านบางคนก็กลัวจนไม่กล้าออกไปเดินดึกๆคนเดียว  แล้วก็ไม่กล้าเดินผ่านบริเวณวัดเลย
ด้วยความกลัวและสงสัย สีกาแก่คนหนึ่งไปถวายเพลที่วัด  หลังจากพระฉันเพลเสร็จแล้ว  แกก็ได้ถามพระกานร์ขึ้นว่า  "ท่านเคยเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดดำ หรือว่าผู้ชายหนุ่มใส่ชุดดำเดินดึกๆในบริเวณวัดบ้างไหมเจ้าค่ะ"  พระกานร์ก็ตอบเป็นปริศนาว่า "สรรพสิ่งในโลกนี้ถึงตายไปแล้วจะไม่มีตัวตนแล้วก็ตาม จิตวิญญาณยังคงอยู่สืบต่อไป"  ชาวบ้านที่ได้ยินคำพูดของพระกานร์ต่างก็เข้าใจในปริศนานั้น แล้วก็กลัวหนักยิ่งกว่าเดิมพอตกดึกมา
ชาวบ้านหวาดผวามากจน พระกานร์ได้แนะนำให้ทุกคนมาร่วมใจทำอะไรเพื่อให้ชาวบ้านได้อยู่เย็นเป็นสุข  พระกานร์บอกกับทุกคนว่าท่านได้สนทนากับวิญญานชายหญิงที่ว่านี้บ่อยๆวิญญาณไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งถึงได้มาเดินเพ่นพ่านให้คนเห็นตอนดึกๆ  ถ้าหมู่บ้านไหนอันเชิญวิญญาณมาสิงสถิตย์เป็นที่เป็นทาง หมู่บ้านนั้นก็จะมีความเจริญมั่งคั่ง  ชาวบ้านจึงพากันทำสุสานให้วิญญาณหญิงชายคู่นี้ที่บริเวณวัดเพื่อที่จะไม่ให้พวกเค้าได้มีที่อยู่อาศัยและไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกต่อไป  บางคนเคารพมากจะนำข้าวของอาหารมาถวาย  บางคนก็ขอหวยเพื่อตนจะได้ร่ำรวย  บางคนก็มาบนเวลาของหายหรือว่าอยากได้อะไรตามที่ต้องการ สุสานนั้นกลายมาเป็นสุสานวิญญาณคู่หมู่บ้านเกวียนหัก
หญิงสาวหน้าตาสวยน่ารักคนหนึ่ง (ชื่อ หน่อย)  ซึ่งเป็นลูกสาวคนร่ำรวยได้ย้ายหนีพ่อแม่จากกรุงเทพได้เกือบห้าปีแล้วมาอยู่คนเดียวเพราะไม่อยากแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนรักพ่อแม่ซึ่งพ่อแม่จัดหาให้  เธอปลูกบ้านสองชั้นอยู่ติดวัดแต่ไม่เคยไปเหยียบวัดเลย ยิ่งจะให้ไปเชื่อเรื่องสุสานวิญญาณด้วยแล้วเธอยิ่งไปกันใหญ่  เธอเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับชาวบ้านคนอื่น  แต่เธอก็ได้รู้จักคุ้นเคยกับลูกสาวเจ้าของกิจการค้าไม้ที่ชื่อว่า บีม เพราะอยู่ในวัยเดียวกัน (ลูกสาวของน้าพระกานร์)  ทั้งสองสนิทสนมกันมากจนหน่อยได้เล่าเรื่องตัวเองและเรื่องครอบครัวทั้งหมดให้กับบีมฟัง
อยู่ๆวันหนึ่งหน่อยก็ท้องขึ้นมาทั้งๆที่หน่อยก็ไม่มีสามีหรือแฟนเลย หน่อยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันใครเลย ไม่มีเพื่อนด้วยซ้ำ มีแต่บีมคนเดียวที่เป็นเพื่อน  จากที่เคยเล่าเรื่องตัวเองให้บีมฟังบ่อยๆหน่อยก็เริ่มเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว บีมถามว่าหน่อยท้องกับใคร หน่อยก็บอกว่าไม่รู้ หน่อยไม่ได้นอนกับผู้ชายคนไหนเลย   จนชาวบ้านชาวช่องสงสัยว่าทำไมหน่อยถึงท้องได้  แต่ทุกคนก็มีความเห็นตรงกันว่าเพราะหน่อยไม่เชื่อเรื่องวิญญาณคู่ชายหญิงนั้น  ไม่ยอมไปสักการะบูชาสุสานวิญาณคู่บ้าน ท่านจึงได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นเป็นการลงโทษ  
หน่อยท้องได้หกเดือนแล้ว ชาวบ้านต่างก็อยากรู้อยากเห็นว่าหน้าตาของเด็กจะเกิดมาเป็นยังไง จะหน้าเหมือนผีหรือคน  หน่อยทนอายชาวบ้านไม่ไหวจึงได้ประกาศขายบ้านพร้อมที่ดินเพื่อจะได้ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ซึ่งที่ไม่มีคนรู้จักตน เพื่อให้ไม่อับอายขายขี้หน้าต่อไป  หลายคนมาติดต่อจะซื้อบ้านแต่ตกลงราคาไม่ได้   คนมาซื้อก็อยากกดราคาเพราะรู้ว่าหน่อยต้องการจะหนีจากหมู่บ้านเกวียนหักให้พ้นๆ  หน่อยจึงไม่ได้ขายสักที  และแล้วก็มีชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งมีที่ดินติดกับที่ของหน่อยอยู่แล้วก็ได้มาเสนอราคาที่หน่อยพอจะขายได้  หน่อยจึงย้ายออกจากหมู่บ้านนั้นไป แล้วทุกคนก็ไม่มีข่าวคาวของหน่อยอีกเลย   
สองวันต่อมา พระกานร์เห็นว่าตนบวชมานานแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีกิเลสจิตใจก็ไม่สงบอยู่ดี พระกานร์จึงไปบอกเรื่องราวที่จะสึกให้น้าหญิงฟัง  น้าหญิงก็ไม่ว่าอะไรตามใจพระกานร์ว่าเห็นสมควรสิ่งใดก็ทำไป  พระกานร์กำหนดจะสึกภายในหนึ่งเดือน  ชาวบ้านต่างพากันอาลัยอาวรว่าคนดีๆมีแต่โปรดสัตว์ต้องมาจากบ้านเกวียนหักไป   ชาวบ้านก็อดใจหายไม่ได้  แต่ไม่มีใครห้ามพระกานร์ไม่ให้สึกได้เพราะนั่นเป็นความประสงค์ของท่าน
อีกสองอาทิตย์ต่อมา สารวัตรธีรพงษ์ ได้นำกำลังตำรวจอีกสิบสองนายมาล้อมพี่กุฏิพระกานร์ไว้ แล้วตำรวจอีกสี่นายก็บุกกุฏิพระกานร์  ค้นพบชุดดำหนึ่งชุดแล้วก็หมวกดำอีกหนึ่งใบซ่อนอยู่ใต้เตียงของพระกานร์  ตำรวจจับพระกานร์ใส่กุญแจมือ ชาวบ้านต่างฮือฮากันเป็นแถวๆว่าทำไหมตำรวจต้องทำแบบนั้น พระกานร์เป็นคนดีมีศีลธรรมไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลย ท่านมาอยู่บ้านเกวียนหักก็มีแต่คนเคารพนับถือ  ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลย  ชาวบ้านต่างพูดจาเป็นเสียงเดียวกันว่าตำรวจจับผิดคนแล้ว  ตำรวจขับรถพาพระกานร์ไปสอบสวนที่โรงพักข้อหาคดีฆาตกรรมและก็ทำผิดวินัยสงฆ์
ในโรงพัก  นางสาว แหม่ม หรือ หน่อย (ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เพื่อปลอมตัวเป็นคนอื่น) เป็นลูกสาวเจ้าของโรงงานน้ำดื่มที่จังหวัดหนองคาย ที่ทุกคนคิดว่าได้ตายไปแล้ว ได้นั่งเศร้าอยู่ในคุกเป็นห้องขังเดียว  เพราะตอน แหม่ม หรือ หน่อย ได้ขายบ้าน ขับรถออกไปตามถนนพหลโยธินหวังว่าจะไปตั้งถิ่นฐานที่ใหม่  บังเอิญรถได้เกิดอุบัติเหตุชนเด็กที่กำลังจะข้ามถนนพอดี  เด็กได้เสียชีวิตคาที่  แล้วแหม่มก็พยายามจะขับรถหนี โชคไม่ช่วยแหม่มอีกต่อไป คนที่เห็นเห็นการณ์จับแหม่มส่งตำรวจ  
พอตำรวจค้นประวัติแหม่มจริงๆ ก็ได้ทราบว่าแหม่ม ได้แจ้งตายไปหลายปีที่แล้วเพราะโดนฆ่าหั่นศพพร้อมกับคนในครอบครัวคนอื่น แต่แท้ที่จริงแหม่มยังมีชีวิตอยู่ ตำรวจที่ สถานีอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ได้ติดต่อกับตำรวจ สถานีตำรวจที่จังหวัดหนองคาย และสุดท้าย  แหม่มก็ยอมรับว่าตนได้ร่วมมือกับแฟนหนุ่มที่ชื่อกานร์วางแผนฆ่าพ่อแม่และน้องชายของเธอเอง เพื่อที่จะได้เอาเงินทั้งหมดเป็นจำนวน 13.2 ล้านบาทที่พ่อแม่เพิ่งจะขายกิจการให้กับนายทุนคนอื่นมาเป็นของตนคนเดียว   ถ้าหากพ่อแม่เอาไปใช้หนี้และก็ไถ่บ้านที่จำนองไว้ก็จะเหลือเงินเพียง 2 ล้านกว่าบาทเท่านั้น แล้วกว่าจะเอามาใช้อยู่กินแต่ละวัน แล้วยังจะต้องแบ่งน้องชายที่ไม่ใช่สายเหลืดของตัวเองอีก  แหม่มก็เลยคิดอุบายกับแฟนหนุ่มเพื่อจะได้เงินทั้งหมดมาครองโดยไม่ต้องไปใช้หนี้เลย  
แหม่มสารภาพว่า วันที่พ่อแม่ขายเส็งกิจการให้เจ้าของคนใหม่นั้น เค้าได้จ่ายเงินสด แล้วพ่อกับแม่ก็ให้แหม่มเอาเงินไปฝากธนาคาร  เย็นนั้นแหม่มกลับมาบอกพ่อและแม่ว่าเงินได้อยู่ในบัญชีทั้งหมดแล้ว  และในคืนเดียวกันกานร์ก็ได้มาบ้านแหม่มคนรักของตน  กานร์ได้ร่วมทานอาหารค่ำกับครอบครัวคนรัก  พอเที่ยงคืนทุกคนเข้านอนหมดแล้ว กานร์กับแหม่มก็ได้ลงมือทำตามแผนการที่วางไว้  กานร์ลงมือฆ่าพ่อ แม่ และ น้องชาย ของคนรักโดยใช้ปืนเก็บเสียง หลังจากนั้นก็กานร์กับแหม่มก็ช่วยกันหั่นศพแต่ละศพอยู่ที่ตรงพวกเค้านอนตายให้เหมือนกับว่าแหม่มก็ถูกตัดเป็นชิ้นส่วนด้วย แล้วก็นำชิ้นส่วนไปโยนลงแม่น้ำโขง  ชึ่งไม่ไกลจากหลังบ้านนัก  
หลังจากคืนนั้นแหม่มก็ได้เอาเงินใส่กระเป๋าสะพายไปหลบซ่อนอยู่ที่จังหวัดยะลาปีกว่าๆ   จนกานร์ได้เขียนจดหมายไปบอกกับแหม่มที่ยะลาให้แหม่มย้ายมาอยู่ที่จันทบุรี   แหม่มได้แกล้งสนิทสนมกับบีมเพื่อที่จะบอกเรื่องที่แหม่มกุขึ้นมาเกี่ยวกับตัวเองเพื่อไม่ให้ใครสงสัยตน แล้วแหม่มก็อยู่เงียบโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเท่าไร  แหม่มสารภาพต่อไปว่าได้ใส่ชุดดำลอบเข้าไปในวัดดึกๆเพื่อไม่ให้ใครมองเห็นตนเพื่อจะไปร่วมหลับนอนกับกานร์ บางครั้งกานร์ก็นุ่งชุดดำและใส่หมวก  แอบออกมาหาตนที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด   พอนานวันเจ้าอาวาสเกิดรู้ความจริงว่ากานร์กับตนได้แอบลักลอบได้เสียกัน ดึกวันนั้นตอนเจ้าอาวาสนอนหลับสนิทแล้วกานร์ก็เลยจัดการย่องเข้าไปฆ่าเจ้าอาวาสโดยการเอาหมอนกดทับบนใบหน้าจนเจ้าอาวาสจนขาดใจตาย  แล้วกานร์ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสแทน
ความสัมพันธ์ของกานร์กับแหม่มจึงได้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีเสี้ยนหนาม  กานร์ได้รับความสะดวกสบายจากการเป็นพระ แล้วก็มีคนมากราบไหว้ทุกเช้าเย็น ทำอาหารให้กินแล้วก็ยังเอาเงินมาให้ใช้อีก  จนกระทั้งแหม่มท้องขึ้นมาทำให้ชาวบ้านฮือฮา  แหม่มกับกานร์จึงปรึกษากันว่าถึงเวลาที่จะต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่กินกันแบบสามีภรรยาเหมือนคนอื่นสักที แล้วอีกไม่นานลูกก็จะเกิดและกานร์ต้องการที่จะทำหน้าที่พ่อและสามีที่ดีของลูกของเมีย   
แต่โชคไม่ยอมเข้าข้างคนชั่ว  ก่อนที่ฝันของกานร์และแหม่มจะเป็นจริง เวรกรรมก็ตามทันพวกเค้าในชาตินี้  โดยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า  พวกเค้าทั้งสองคนถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต  แต่ต้องรอแหม่มคลอดลูกก่อน  ซึ่งเป็นการชดใช้ความผิดที่พวกเค้าได้ก่อขึ้น				
comments powered by Disqus
  • อัลมิตรา

    9 ธันวาคม 2547 00:40 น. - comment id 79765

    ใจร้ายกันจัง แย่เลยแบบนนี้

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน