ฉันน่ะ! รองเท้าปอนๆ คุณน่ะ! หมวกใบแพง ตอนที่๒

TANOI_ZA


          ที่ไหนเนี่ย! อืมม์... เจ้านาย! " ฉันหันไปร้องทักเจ้านาย พรางส่ายหัวพองาม บิดขี้เกียจสุดฤทธิ์เท่าที่ฉันจะทำได้เพื่อไล่อาการมึนหัวออกไป ก่อนเริ่มสำรวจไปรอบๆ ตัว จนกระทั่งสายตาเจ้ากรรมที่อยากให้บอดขึ้นมาซะดื้อๆ ไปสะดุดเอาความหล่อสมาร์ท ที่ฉันเฝ้าฝันถึงตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา
"อ้าวคุณ! ยังอยู่อีกเหรอ สงสัยจะยังไม่เข็ด เพราะฉันรีบพูดไฟแล่บเมื่อเห็นชายแปลกหน้าที่อยากคุ้นเคยกำลังยืนมองฉัน ด้วยสายตานิ่งเฉย
เมื่อกี้ฉันคงไม่สบาย หูบอดตาหนวกไปสินะ ถึงได้ยินเจ้านายบอกว่า คุณเป็นประธานบริษัท MORE & MOST ตลกชะมัดเลยเนาะ! ประธานบริษัทดีๆ ที่ไหน จะใฝ่ต่ำรักความลำบาก อยากลองของแปลก เสล่อขึ้นรถประจำทางทั้งๆ ที่ไม่รู้แม้แต่สายที่จะต้องนั่งมาทำงานกันน่ะ ดูสิ! ฉันเลยเป็นลมเพราะความช็อคไปฟรีๆ เสียเวลาทำงานจริงๆ เลย ฉันพูดด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นเพียงฝันร้ายในรอบ 20 กว่าปีที่ผ่านมา พร้อมกับหันไปขอความคิดเห็นจากชายร่างสูงโปร่งในชุดสูทที่ตอนนี้มองฉันด้วยสายตาที่ยากเกินเข้าใจ
ก็ประธานบริษัทเราไงล่ะ ยายประกายชล บอสฉันพูดเสียงเข้มและดังกังวานเต็มรูหูฉันได้หลายอาทิตย์ พรางกอดอก ขึงตาใหญ่เท่าไข่ห่านจ้องฉันด้วยแววตา ที่ทำให้ฉันกลัวจนอยากมุดหัว กลับเข้าไปนอนเล่นในท้องแม่อีกสักปี เพื่อหลบระเบิดลูกเบ้งนี้
ไม่เป็นไรครับคุณดุสิต เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ผมไม่ถือหรอก เขาหันไปพูดกับเจ้านายฉันด้วยน้ำเสียงของผู้มีอำนาจสูงกว่า ก่อนเบนหน้านิ่งไร้อารมณ์ อย่างที่เราเจอกันวินาทีแรกมาทางฉันพรางอธิบายด้วยน้ำเสียงแบนราบเป็นโฟโมตส์ขนาดกระทัดรัดของฉันเอง
วันนั้นรถของผมเสีย แถวป้ายรถประจำทางที่คุณยืนอยู่ และบังเอิญว่าวันนั้น ผมจะรีบไปเตรียมงานกับเลขา เพื่อเข้าร่วมประชุมตอนเช้าด้วย...  เขายังพูดไม่ทันจบดี ความสงสัยปนอารมณ์บ้าๆ บางอย่างทำให้ฉันเอ่ยปากขัดเขา
แล้วทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ล่ะ 
เธอก็ฟังให้จบก่อนซิประกายชล มัวแต่พูดขัด แล้วเมื่อไรเธอจะฟังจบล่ะ
ผมก็ขึ้นไม่เคยขึ้นเหมือนกันครับ พอดีผมเห็นคุณใส่เครื่องแบบพนักงานของบริษัทเรายืนอยู่ตรงนั้น ผมจึงคิดว่า คุณน่าจะไปทำงานที่บริษัทแน่ๆ เลยเข้าไปขอความช่วยเหลือจากคุณ
แล้วไงคะ ฉันเริ่มเบื่อที่จะฟังคำอธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างนั้นเหลือทนแล้ว
เอ้อ! วันนั้นผมยังไม่ได้ขอบคุณ ที่คุณช่วยพาผมมาส่งที่บริษัทเลย ขอบใจ นะ เอาไว้ผมมีโอกาสเมื่อไร จะตอบแทนคุณให้สมกับที่คุณช่วยประธานบริษัทไว้เลย ขอบใจบ้างล่ะ ส่งบ้างล่ะ! แบ่งชั้นกันเหลือเกินนะ เหอะ! บ้าสินดีเลย แล้วจำไว้ด้วยว่า ฉันก็ไม่ได้เป็นสารถีให้ เจ้าชายใจกาแฟเย็นอย่างคุณหรอกนะ อยากจะตะโกนกรอกหูกลับไปเหลือเกิน เพราะอารมณ์จี๊ดๆ ที่สร้างความรู้สึกปวดหนึบให้อกข้างซ้ายนี่ มันร่ำร้องจะวิ่งหนีเขาไปจากตรงนี้ซะให้ได้ แต่ก็ทำได้แค่ ปั้นหน้านิ่งเฉยสนิทกลับไปอย่างเป็นทางการ แถมยังพูดจาแบบที่ฉันไม่ชอบให้ใครทำเลยกับเขาอีกต่างหาก
คงไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ดิฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ ที่ท่านประธานยังอุตส่าห์ ขอบใจ พนักงานระดับล่างอย่างดิฉัน ดิฉันขอรับไว้แค่น้ำใจก็ซึ้งเกินพอแล้ว ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอึดอัดหัวใจ แรงอะไรบางอย่างบีบหัวใจแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฉันยิ่งพูดอะไรที่ตรงข้ามใจ
คนระดับอย่างท่านประธาน ไม่ควรเสียเวลาอันมีค่า เพื่อตอบแทนเศษน้ำใจของพนักงานบริษัทอย่างฉันหรอกค่ะ เป็นครั้งแรก ที่ฉันรู้สึกเหมือนคำพูดของตัวเอง แปรสภาพเป็นเสมือนมีดคมที่กรีดลึกลงหัวใจฉัน ทุกครั้งที่แต่ละคำพรั่งพรูออกมา โอ๊ย! ไม่ไหวแล้วโว้ย! มันอารมณ์ไหนกันเนี่ย! นี่ฉันเป็นบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย! พูดบ้าอะไรของเธอประกายชล! พูดแล้วมันได้อะไรกัน! 
ถ้าท่านประธานไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวนะคะ สวัสดีค่ะ ไม่เข้าตัวเองเลย ให้ตายเถอะ! ทำไมฉันต้องพูดจาหมาไม่แดกกับคนที่ฉันเฝ้าคิดถึงมาตลอดอย่างนั้นด้วย ไอ้ปากโรคจิตนี่ก็เป็นต๊องอะไรของมันเนี่ย! พูดอะไรตรงข้ามใจมันยกประโยค ไม่ได้ฟังฉันเล๊ย!..  แทนที่คิดได้ขนาดนั้น หน้าเรียวของฉันที่เชิดอยู่เมื่อครู่ จะลดระดับลงบ้าง แต่มันกลับเชิดสูงต่อไป แถมสะบัดหนีสายตาตื่นตกใจของเขา ที่พยายามควบคุมให้มันกลับมาเฉยชาเช่นเดิม ไปทางเจ้านาย ผู้เปิดเผยเรื่องราวชวนร้องไห้นี่ เมื่อเวลา 8 นาฬิกา 30 นาที ของวันเดียวกัน
เจ้านายคะ! เดี๋ยวชลจะไปเตรียมข้อมูลให้ที่ห้อง! กรุณาเร็วๆ ด้วยนะคะ หนูไม่ชอบรอใครนาน! 
เอ่อ.. ครับ! แล้วผมจะรีบไป ฉันเดินออกมาจากห้องนั้น โดยไม่สนใจหน้าตาฉงนของเจ้านาย เพราะพฤติกรรมแปลกออกแนวบู๊ล้างผลาญของฉัน ที่ปะทะวาจาแข็งกระด้างใส่ประธานบริษัทคนโปรดของเขา (ถึงแม้ว่า ปกติฉันจะพูดไม่เพราะ แต่ก็ไม่เคยกระด้างใส่ใครจนไม่แหกหูแหกตาขนาดนี้)
เอ่อ.. ฮะๆๆ ตกลง ผมเป็นเจ้านายมันหรือมันเป็นเจ้านายผมกันแน่เนี้ย เจ้านายฉันหันไปพูดติดตลก เพื่อเอาใจชายร่างหนุ่มร่างสูงที่ยืนหัวโด่ อยู่ในห้องกับเขาอีกคนอย่างเกรงใจ แต่รู้สึกว่า ผู้ที่บอสหวังจะหาแนวร่วมด้วยนั้น กลับไม่กระดิกตัวให้รู้สึกถึงอารมณ์โกรธที่คนระดับไอตะวันควรมี เมื่อถูกพนักงานระดับล่างพูดจาเสียมารยาทด้วยสักนิด ร่างสมาร์ทกลับนิ่งเหม่อราวกับไร้จิตใจ เหตุมาจากหัวใจอมชมพูของไอตะวัน ได้ลอยตามติดมากับฉัน ผู้ที่ทิ้งความรู้สึกปวดหนึบหัวใจไว้ให้เขาก่อนจากมา (อุ้ย! เขินจังเลยอ่ะ ผู้อ่านจะคิดว่าฉันเล่าเรื่องเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าเนี้ย) (แสนซน: ชัวร์เลย! คิดแล้ว! คิดแน่ๆ เพราะอย่างน้อย ฉันคนหนึ่งที่คิดไปแล้ว! )
นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาหญิงอย่างฉัน (อย่าเพิ่งตื่นตกใจ! สงสัยว่า นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาหญิงมันมีด้วยหรือ เพราะมันไม่มี หรือถ้ามีจริง! ฉันว่า มันคงจะเป็นสาขาหนึ่ง ที่บูมในหมู่ผู้ชายตาดำๆ ซื่อปนเชื่อง ที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมหญิง จนคุณนักอ่านต้องรู้จักแล้วล่ะค่ะ) ไม่สามารถหาคำอธิบาย ทฤษฎีการแตกกระจุยของต่อมสะดิ้งที่ซ่อนอยู่ ณ ลืบไหนของจิตใจฉันเอง ถึงขนาดที่ผู้ป่วย ซึ่งก็คือ ฉัน! มีอาการระห่ำแตก แสดงท่าทีต่างขั้วกับใจจริง กระด้างกร้าวร้าวกับผู้มีอิทธิพลกับจิตใจอย่างไอตะวัน ไปแบบนั้น
ฉันควรจะดีใจ ที่ได้เจอกับ เขา คนที่ฉันเฝ้าหามาตลอด 2 อาทิตย์สิ! ไม่ใช่ทำตัวบ้าบอ! สนับสนุนหน้าตาเอ๋อๆ ของตัวเองแบบนี้! โอเค! ฉันยอมรับว่า ผิดหวังอยู่บ้าง..นิดหน่อย เอ่อ ก็มากโขเหมือนกัน นั่นแหละ! มันก็แค่ผิดหวังที่ได้รู้ว่า เขาที่เฝ้าคิดถึงกลายเป็นคนไกลเกินรอ เป็นคนที่ฉันไม่มีสิทธิ์คิดถึง ไม่มีสิทธิ์หวัง เป็นใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่ควรตีสนิทด้วย
เวลาเพียงสองอาทิตย์ ที่ฉันมีแต่เขาในหัวใจ เฝ้าคิดถึงแทบจะกอดเพื่อนจนกระดูกแหลก เฝ้ารอด้วยความหวังที่ว่า เราจะมีโอกาสได้สนิทกันมากกว่าวันนั้น มันคงไม่มีค่ามากพอ ที่จะแลกกับเสียงหัวเราะในวันนั้นให้กังวาลอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่ฉันละเมอมาฝ่ายเดียวตลอด 2 อาทิตย์ แลกได้เพียง แววตาเฉยชา น้ำเสียงวางอำนาจ ใบหน้าเรียบเฉย ท่าทางเย็นชาราวกับไม่เคยมีช่วงชีวิตเกี่ยวข้องกันมากกว่าเรื่องงาน (แสนซน: ฉันตอบได้ค่ะ ว่าประกายชลทำไมถึงบ้าได้ขนาดนั้น ยายนี่กำลังน้อยใจ เลยพูดจาประชดไม่เข้าเรื่องไงคะ คนเราเมื่อผงเข้าตาตัวเอง มักโง่งี่เง่าไม่รู้เรื่องว่าตัวเองเป็นอะไร จะแก้ยังไงเสมอ) 
เหตุการณ์สะเทือนประสาทส่วนไฮเปอร์ที่ขึ้นเมื่อเช้านี้ กระแทกจิตใจ จนฉันกลับมานั่งเอ๋อ เหม่อลอย ไม่รับรู้เรื่องราวอะไร แม้แต่เรื่องนินทาชาวบ้าน ที่ฉันสุดจะชอบฟังแต่ไม่ชอบร่วมนินทา ก็ไม่สามารถดึงสติทึบๆ ให้ตื่นตัวได้ตลอดทั้งวัน ทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง ได้แต่เป็นเส้นๆ เล่นเอาเจ้านายด่าเปิงอารมณ์เสียใส่คนทั้งแผนกเพราะฉันคนเดียว
ประกายชลใบเสนอราคาประมูลของบริษัท WORLD ที่ผมให้ไปถ่ายเอกสารอยู่ไหน เอาเข้ามาให้ผมด้วย เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะ ที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษกรีดเป็นฝอย แฟ้มเอสาร โดยปราศจากการแตะต้องดังขึ้นผ่านระบบ Intercom
ชล..ชล! ชล! นี่อยู่หน้าห้องหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าไปนั่งฟังคนอื่นเขานินทาเรื่องชาวบ้านอีกแล้ว ชล! เอามาให้ผมด่วนเลยนะ!  ท้ายน้ำเสียงของเจ้านายบ่งบอกให้รู้ ถึงอาการรีบร้อน หากแต่อวัยวะที่เคยปราดเปรียว กลับหนักอึ้งเกินตอบโต้อย่างเคย ฉันรวบรวมกำลังใจอยู่นาน กว่าจะลุกขึ้นหอบฝอยกระดาษที่เกลื่อนโต๊ะไปหาเจ้านายในห้อง
หนูเผลอเอาไปใส่เครื่องทำลายเอกสาร ขอโทษด้วยค่ะ
เธอทำอย่างนี้ได้ไงประกายชล! เอกสารสำคัญแบบนี้ทำไมไม่รักษาให้ดี! ดูสิเอากลับมาเป็นเส้นเลย! ตายเลย! แล้วอย่างนี้ผมจะไว้ใจคุณได้ไงเนี่ย  น้ำใสๆ ร่วงเผาะลงบนมือฉัน อย่างที่ฉันไม่ทันได้ห้าม
เธอร้องไห้ทำไม! ทำผิดแล้วถูกดุแค่นี้! จะร้องไห้แล้วหรือไง ผมว่าเราคงต้องมาตกลงกันใหม่แล้ว ไม่งั้นอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ฉันเริ่มสะอื้นไห้ออกมา ทันทีที่เจ้านายพูดประโยคเมื่อครู่จบ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้องไห้ขนาดนี้ด้วย ฉันไม่ใช่คนที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับฟังคำต่อว่า ฉันรับได้เสมอ ถ้าอย่างนั้นฉันกำลังร้องไห้เพราะอะไรกัน
คือ เธอไม่ต้องร้องไห้นะ คือ ผมแค่อยากจะสอนคุณเท่านั้น เรื่องแค่นี้ เดี๋ยวคุณเอากลับไปพิมพ์หรือโทรติดต่อบริษัท WORLD มาส่งผมที่โต๊ะก็ได้ แต่คุณต้องขอโทษและให้เหตุผลเขาดีๆ นะ ฉันเริ่มปาดน้ำตาที่ไหลพรากเป็นสายธารไม่หยุด เมื่อมองอะไรไม่เห็น
ไม่ได้ว่าอะไรแล้วไง หยุดร้องสักทีสิ เดี๋ยวคนอื่นก็คิดว่าผมรังแกลูกน้องหรอก ผมให้ทำแค่นี้เอง เอากลับไปทำซะนะ ผมไม่ได้ว่าอะไรแล้ว ฉันเอื้อมมือไปกอบเอากองกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะเจ้านายมากอด หากแต่ยังยืนสะอึกสะอื้นไม่ยอมเดินไปไหน แถมยังดังกว่าเดิมจนไทยมุงนอกห้องที่มองเข้ามาแค่ 3-4 เมื่อครู่ พากันล้อมเป็นวงเพิ่ม 10 เมื่อฉันยืนสะอึกสะอื้นดังสะนั่น 
เจ้านายของฉันลุกขึ้นอย่างหัวเสีย เมื่อฉันยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินไปไหน ปาดสายตาคมกริบไปที่ประตูห้องที่แง้ม เพื่อสบสายตานับ 10 คู่ที่พยายามสอดส่องเข้ามาภายในห้อง ก่อนเดินตรงไปกระชากประตูเปิดแล้วร้องดังลั่นจนคนทั้งแผนกสะดุ้ง
โว้ย!!!!!! นี่มันอะไรกันวะ! ดุก็ไม่ได้!  
หลังจากเจ้านายเดินออกจากห้องไปไม่นาน ขาที่แข็งอยู่เมื่อครู่ก็อ่อนยวบทรุดลงที่กลางห้องทำงานส่วนตัวของบอส ซึ่งตอนนี้ไร้เงาของใครมากวนใจ และเริ่มคิดเรื่องของชายหนุ่มบนรถประจำทางกับประธานบริษัทหน้ายักษ์อีกครั้ง ได้แต่นึกโกรธใจตัวเองที่ไม่รักดี รู้ทั้งรู้ว่าเขาอยู่เกินเอื้อม แต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่เชื่อฟังสมอง ดื้อดึงคิดถึงเขาไม่เลิก แถมตอนที่เผลอหลับ (แสนซน: นี่ยังมีอารมณ์หลับลงด้วยนะ) ฉันยังแอบฝันว่า มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นกับเขา (แสนซน: นี่ขนาดห้ามใจตัวเองนะ ประกายชลยังเพ้อได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้ นี่ถ้าปล่อยเลยตามเลย พี่ท่านไม่ฝันว่า มีเหลนกับเขาเลยเหรอเนี้ย) 
หลังเลิกงานฉันพยายามลากสังขารไร้วิญญาณมาจนถึงลานจอดรถอย่างปลอดภัย ฉันเริ่มคิดเหลวไหล อยากเบี้ยวนัดกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยม ที่ร้านไอศกรีมเจ้าประจำเสียดื้อๆ เพราะอารมณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยนี้มันคงจะผิดสังเกตจนมันจับได้ หากฉันต้องไปรับตาเค้กไปด้วยกันนี่สิ ซึ่งตาเค้กรู้ดีเรื่องนัดครั้งนี้ หากเบี้ยวฉันจะต้องชดใช้กรรมครั้งนี้ด้วยเงินเดือนทั้งปีแน่ๆ ทำให้ฉันจำใจยอมถูกเพื่อนด้วยอารมณ์เซ็งสุดๆ
ทันทีที่ฉันเดินมาถึงที่ลานจอดรถ เสียงดังจากที่ไหนสักแห่งก็ตะโกนตามหลังมาลิบๆ หากฉันกลับเหนื่อยหน่ายเซ็งชีวิตเกินกว่าจะสนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง อยากหันไปมองเสียงทุ้มนุ่มนั้นเหมือนกัน เพราะท่าทางคนพูดน่าจะหน้าตาดีไม่แพ้ตาประธานบริษัทกาแฟเย็น หากใบหน้าเรียวเล็กของฉันมันกลับขยับไม่ไหว ทำได้แค่มองตรงไปที่ไอ้กระป๋องน้อยคันสีเหลืองอ่อนเพราะถูกแดดเลียมานานปีนิ่งอย่างไร้อารมณ์ เสียงนั้นยังคงดังอยู่ไม่ขาด และทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเจ้าของน้ำเสียงนั้นกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นทุกทีๆ 
เฮ้อ!... ฉันเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย
เมฆ! เมฆ! รอพี่ด้วย! มีเรื่องจะปรึกษานะ หน่อย คราวนี้เป็นเสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้นมาบ้าง คุ้นมากชนิดที่ทำให้สติสตึๆ ของฉันเกิดอาการรับรู้เฉียบพลันและสั่งการให้ขาที่ก้าวออกไปอย่างละเหี่ยใจเมื่อครู่ชะงักนิ่ง ใบหน้าที่หนักราวกับหมีสัก 10 ตัวขี่คอฉันเมื่อครู่ กลับเปลี่ยนเป็นเบาหวิวปลิวลม สามารถหันกลับไปมองที่ต้นเสียงได้ราวปาฏิหารย์ ฉันพยายามอ้าปากอยู่หลายครั้งเพื่อกล่าวทักทายตามมารยาท แต่ปากมันก็หนักเกินกว่าจะเผยอเอ่ยประโยคง่ายๆ เพียงไม่กี่คำออกไป เพียงเพราะความว่า เกินเอื้อม มันค้ำคออยู่ คนอย่างเขาคงไม่อยากเสวนากับพนักงานกระจอกอย่างฉันนักหรอก มันเสียศักดิ์ศรีท่านประธาน
คุณประกายชลกำลังจะกลับบ้านเหรอครับ โอ๊ย! พ่อสุภาพบุรุษ! มารยาทงามเหลือเกิ๊น! ฉันเสียมารยาทไปตั้งขนาดนั้น ยังอุตส่าห์ปั้นหน้ามารยาทักกันได้อีกนะ
ให้ผมไปส่งได้หรือเปล่า โอ๊ย! ท่าทางหูฉันคงเพี้ยน จากอาการชาที่เจ้านายโวยวายเมื่อกลางบ่าย แต่สายตาที่เขามองมาที่ฉันบอกให้รู้ว่า ฉันไม่ได้หูฝาดเป็นแน่แท้
ตอบแทนเศษน้ำใจน่ะเหรอคะ คงไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ! คนอย่างฉันมีปัญญากลับเองได้ 
ปัง! โครม! 
โอ๊ย!  นี่คือเสียงร้องของยายเปิ่น ที่อยากจะโต้ตอบเจ้าชายกาแฟเย็น ด้วยวาจาและท่าทางเย็นชา จนลืมมองทาง เป็นเหตุให้ชนป้ายห้ามเลี้ยวเข้าเต็มดวง หน้าขมำขาแทบขวิดหัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ เสียงของท่านประธานไอตะวันดูร้อนร้นชอบกล เมื่อก้าวขาพรวดเดียว มานั่งอยู่ข้างฉัน ที่นอนกองกับพื้นและก้มหน้าสบกระเป๋านิ่งด้วยความอาย
คุณ! ทำไมไม่ลุกขึ้นล่ะ! นอนอยู่ทำไม สกปรกนะครับ!  เสียงทุ้มที่ดูท่าจะอายุอ่อนกว่าท่านประธานดังตามติดๆ ฉันล่ะอยากจะสวนกลับไปว่า ถ้าไม่เต็มใจสมเพช จะเก็บปากไว้นิ่งๆ ก็ไม่มีใครจุดธูปเรียกหรอกนะ (แสนซน: ฉันว่า ประกายชลก็ปากเสียพอกันแหละค่ะ มากกว่าซะด้วยซ้ำ)
เจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ เสียงนี้ถึงแม้จะนุ่มนวล แต่ช่างบาดความรู้สึกน้อยใจของฉันให้เจียนขาดเข้าทุกที ทำไมเขาต้องมาทำดีกับฉันด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อเช้านี้ สิ่งที่เขาทำ มันกรีดความรู้สึกดีๆ ของฉันที่ให้เขาให้เปื่อยบางแทบขาดอยู่แล้ว 
ฉันสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ มือของชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉัน พยายามจับนู่นแตะนี่เพื่อสำรวจเครื่องจักรของบริษัท หากแต่ฉันกลับไม่ยอมรับความหวังดีใดๆ แกล้งลูบมือผ่านทุกที่ ที่เขากำลังจะเอื้อมแตะ ดูเหมือนเขาจะรู้ตัว จึงลุกขึ้นยืนขึงหน้าบึ้งปั้นหน้าตึง แต่ยังคงยื่นมือมาให้ฉัน
ไม่เป็นไรค่ะ! ขอบคุณ ฉันแข็งใจสะบัดหน้าหนีมือนุ่มที่เคยกุมไว้เมื่อวันนั้น เพื่อไปเก็บข้าวของที่กระจายเกลื่อนรอบตัว 
ทันทีที่ลุกอาการมึนจากความดันต่ำก็ทำพิษ เล่นเอาฉันขาเป๋ เซถลาไม่เป็นท่าไปชนเข้าที่ท้ายรถคันโก้สีดำวาว ชายร่างสูงที่พยายามยื่นความอนุเคราะห์ลูกนกตกรังเมื่อครู่ วิ่งเข้ามาจับมือฉันไว้อย่าลืม
ฉันเบิกตาโตด้วยความตกใจ ตกลงที่อุตส่าห์ใจแข็ง! ไม่ยอมจับมือเขาอยู่ตั้งนานสองนาน! ล้มเหลวลงง่ายๆ เพราะตาประธานหน้าซื่อตื่นตระหนกที่ฉันถลาน่ะเหรอ ทำไมตาคนนี้ถึงได้พยายามเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับฉันด้วยนะ! ไม่เข้าใจเลย!
ปล่อยมือฉันได้แล้วมั้งคะ! ฉันกำลังรีบ!  เมื่อฉันหายจากอาการตกตะลึง ต่อมสะดิ้งที่เพิ่งปะทุไปเมื่อเช้าก็เดือดพล่าน สั่งการให้ฉันพยายามดึงข้อมือเล็กกระจ้อยร่อยออกจากมือหนาแข็งแรง ที่ใหญ่ขนาดทาบทับใบหน้าเรียวเล็กของฉันสนิทได้สบายๆ
ให้ผมไปส่งดีกว่าไหมครับ น้ำเสียงทรงอำนาจต่างจากที่ฉันล้มเมื่อครู่ บีบบังคับฉันพร้อมกับความแข็งแกร่งของกุญแจมือ (กุญแจมือจริงๆ เพราะใช้มือจับเลย) ที่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดบริเวณข้อมือบางของฉัน หากบ่งบอกให้รู้ว่า เขาจะไม่ยอมปล่อยมือฉันแน่ๆ จนกว่าจะได้คำตอบที่ท่านประธานพอใจ
ใช่! ผมว่า ให้พี่ผมไปส่งเถอะ! ท่าทางคุณดูเอ๋อๆ นะ เกิดเซ่อซ่าจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยุ่ง อ๋อ! น้องชายหรอกเหรอ! ทำไมการพูดจาของพี่น้องคู่นี้คล้ายกัน แต่ปากหมาไม่เหมือนกันเลยนะ!  ฉันเชิดตั้งคอแข็งได้ไม่นาน หางตาเฮงซวยดันเหลือบไปสบสายตาอ้อนวอนแกมของชายร่างสูงที่พยายามคุมเกมส์ฉันอยู่จังเบ่อเร่อ เวรกรรม! ซวยแล้วไง! จะหันไปแลทำไมวะเนี่ย! 
รถฉันล่ะ! จะเอาไว้ที่นี่หรือไง! ฉันไม่ได้ร่ำรวยมีรถหลายคันหรอกนะท่านประธาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำงานสาย รายได้คุณหายไปหลายล้านไม่รู้ด้วยนะ
เดี๋ยวผมไปรับคุณที่บ้านพรุ่งนี้เช้าเอง เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นระหว่างวันวะเนี่ย! ทำไมตาประธานนี่เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้! แถมยังดูอารมณ์ดี ทำตัวเป็นกันเองต่างกับเมื่อเช้าอย่างกับหน้าเท้ากับหลังมือ!  
รถคุณอยู่ไหนล่ะ!  ฉันยังคงตีหน้าบึ้งเหมือนไม่พอใจ กระชากเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อยพอให้น่าเอ็นดูถามเขา เมื่อไม่มีทางเลือก (จริงๆ ก็เลือกได้ แต่ใจมันอ่อนไปแล้วนี่)
ก็ที่คุณยืนพิงอยู่นี่ไง เชิญครับ!  ชายเจ้าของรถยนต์ราคาเหยียบหลายล้านกดรีโมท คอนโทรล รถยนต์เพื่อปลดล็อค ก่อนคลายมือหนาที่เกาะกุมมือฉันออกช้าๆ ช้าจนฉันเริ่มขมวดคิ้วหนาที่เมื่อครู่คลายลงไปบ้าง ขึ้นมาเป็นปมอีกครั้ง เขาจึงปล่อยออกอย่างไม่ใยดี ก่อนเดินไปฝั่งคนขับโดยไม่หันมามองฉันอีกเลย ตกลงตานี่! เต็มใจพาฉันไปส่งไหมเนี่ย!  ฉันเดินฟึดฟัดอย่างหงุดหงิดกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนยากที่จะเข้าใจของเขาตามขึ้นรถ เมื่อเห็นประตูฝั่งที่นั่งของฉันแง้มออกเล็กน้อย จากฝีมือของผู้เป็นเจ้าของรถ ที่อุตส่าห์เอื้อมมือมาเปิดประตูให้ 
เมื่อปิดประตูรถยนต์ด้วยน้ำหนักมือที่ไม่แรงมากนัก แต่ก็พอให้เขาหันมามองฉันด้วยแววตาผู้ใหญ่ดุเด็กเรียบร้อย ฉันจึงเริ่มเล่นสงครามประสาทกับเขา โดยการเบือนหน้าออกนอกกระจกและนั่งนิ่งอย่างไม่คิดจะพูดอะไร รถคันหรูไม่ยอมขยับสักครู่ใหญ่ ก่อนขยับออกจากที่ หลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจของคนที่นั่งด้านข้าง (ไอเมฆน้องชาย ไอตะวัน: แล้วผมล่ะ เขาเอาผมไปไว้ไหน เขาคุยกันเหมือนไม่มีผมยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ แล้วนี่ยังลืมผมไปเลยอีกเหรอ) รถแล่นผ่านหน้าน้องชายเขาไปอย่างไม่มีทีท่าจะจอดพูดคุย ภาพที่ฉันเห็นคือ ชายผู้น้องของเขายืนทำหน้างงปนเอ๋อ เกาหัวแกรกๆ อย่างคนที่ถูกลืม อยากจะร้องทักท่านประธานจอมวางอำนาจว่า ลืมน้องชายหรือเปล่าคะ หรอกนะ ถ้าไม่ติดที่อารมณ์เดาไม่ถูกของเขากับปากเพิ่งหัดเสียของน้องชายเขาล่ะก็
เราสองคนเงียบกันสนิท ชนิดที่ฉันไม่กล้าหายใจ เพราะกลัวเขาจะเอาไปถอดรหัสออกมาเป็นความรู้สึกส่วนลึกในใจฉัน ก็เขาเล่นไม่ยอมเปิดเพลงหรือวิทยุอะไรสักอย่าง ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมเฉยตั้งพักใหญ่ จนฉันเริ่มทนไม่ไหวกับสงครามเงียบเป็นเป่าอากาศนี่ ยอมเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน
นี่! คุณ! 
คือ... ผม!  โธ่เว้ย! นั่งเงียบมาตั้งนานดันไม่พูด พอฉันจะพูด ก็ดันจะพูดมั่ง! เดาใจยากจริงๆ เลย! 
เชิญคุณพูดได้เลยค่ะ เพราะฉันจะบอกให้คุณพูดนั่นแหละ บรรยากาศอึดอัด! ฉันไม่ชอบ!  ฉันเริ่มเบนหน้ามาทางเขาหลังจากที่รวบรวมสมาธิอยู่นาน ชายร่างสูงกำพวงมาลัยนิ่งและมองตรงไปข้างหน้า ทั้งๆ ที่รถจอดเกือบสนิทบนถนนที่คลาคลั่งไปด้วยรถหลากสไตล์นับร้อย ไม่นานจึงมีเสียงจริงจังพอได้ยินกันสองคนดังขึ้น 
ผม... ไม่อยากให้คุณเข้าใจผมผิดเรื่องเมื่อเช้า
เรื่องไหนล่ะคะ ฉันจำไม่ได้แล้ว มันหลายเรื่อง! 
ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดปัง เรื่องที่ผมเป็น ประธานบริษัท แต่ 
โอ๊ย!... ฉันไม่ได้โกรธคุณด้วยเรื่องแค่นั้นหรอก! 
อ้าว! งั้นคุณโกรธผมเรื่องอะไรล่ะครับ คนอะไรวะเนี่ย! 
เมื่อเช้าทำอะไรไว้บ้าง! จำไม่ได้เลยเหรอคะ! 
ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่ครับ! แค่พูดอธิบายเรื่องวันนั้น ผมไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจตอนไหน คุณต่างหาก! ที่พูดจากระแทกแดกดันกันอยู่นั่นแหละ
ฉันไม่เชื่อหรอกว่า คุณไม่ได้ตั้งใจทำตัวเหินห่างกับฉันแบบนั้น! รังเกียจพนักงานต๊อกต๋อยอย่างฉัน! เลยไม่อยากให้คนอื่นเห็นก็บอกมาเถอะ! ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังอย่างนี้! 
ผมนี่เหรอเย็นชา ผมเปล่าเย็นชานะ
โอ๊ย! อมพระมาทั้งโบสถ์ฉันยังไม่เชื่อคุณเลย ไม่ต้องมาแก้ตัวกันน้ำขุ่นๆ เลย ทุกอย่างมันชัดเจนหมดแหละ
คุณเข้าใจผิดนะ เมื่อเช้าที่ผมไม่กล้าพูดอย่างคนเคยคุยกัน เพราะผมกลัวว่าคุณจะรังเกียจผมต่างหากล่ะ
โอ๊ยคุณ! ไม่ต้องมากลัวฉันรังเกียจหรอก เพราะฉันน่ะ! คิดถะ!... ถะ! ถะ! ถูกต้องแล้วคร้าบ!  โอ๊ย! งี่เง่าสิ้นดีเลย! ยายเบอะ! ไม่มีอะไรที่มันดีกว่านี้แล้วหรือไงยะ! ถึงได้ไหลไปแบบนั้นน่ะ! 
ฮึ! ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ คุณนี่ตลกอย่างที่ผมคิดเลยนะ พ่อรูปหล่อหัวเราะจนตาหยีหน้าแดงแจ๋ กับอีแค่ฉันพูดเลียนแบบประโยคยอดฮิตรายการดัง พร้อมลอกท่าทางมาด้วยแค่นี้เอง
แล้วที่คุณว่าคิดถูกน่ะ คิดอะไรถูกเหรอครับ บอกผมได้ไหม ฉันเสมองออกไปนอกตัวรถเรื่อยเปื่อย แกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับไม่ได้ยินประโยคคำถามชวนใจระทึกของเขา หากภายในจิตใจนั้น ร้อนร้นทั้งเรื่องความในใจที่เกือบหลุดออกไป แล้วยังเรื่องหาคำตอบ ที่จะพออ้อมแอ้มถูไถผ่านไปได้อีกเรื่องหนึ่ง แล้วจะตอบยังไงดีเนี่ย! รอดเรื่องแรก แต่ดันกลายเป็นว่า ขุดหลุมฝั่งตัวเองแท้ๆ เลย ยายชลเอ๊ย! 
ในทีสุดอาการดื้อปนด้าน ที่ทำเป็นไม่ได้ยินประโยคคำถามเมื่อครู่ ทั้งๆ ที่เขาออกจะเน้นชัดทุกคำ ราวกับรู้ว่าฉันเฉไฉตอบอะไรเรื่อยเปื่อย ก็ทำให้เขายอมแพ้ เปลี่ยนเรื่องคุย 
มีอีกเรื่องหนึ่ง!  ฉันสะดุ้งโหยง เมื่อเขาเริ่มอ้าปากพูดอีกครั้ง หลังจากที่เรานั่งเงียบไปอึดใจ
ผมไม่เข้าใจที่คุณพูดเหมือนว่า เราไม่ควรคุยกันอย่างสนิทสนม ทำไมเราจะต้องทำตัวห่างเหินกันแบบนั้น!  ฉันหันไปมองหน้าเขา เพื่อหาความหมายถูกต้อง ของประโยคที่ทำให้จังหวะหัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้นเมื่อครู่
คือ.. ผมหมายความว่า เราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ ถ้าไม่คิดถึงฐานะทางการงานของเรา" ฉันนั่งนิ่งอึ้งจมอยู่กับความคิดตัวเองอยู่เป็นพัก เพราะไม่รู้ว่า จะดีใจที่เขาอยากสนิทสนมกับฉัน หรือจะเสียใจที่เขาคิดกับฉันแค่เพื่อน 
เมื่อฉันไม่มีท่าทีจะให้คำตอบเขา ชายที่มากระชากหัวใจของฉันกลับไปอีกครั้ง จึงเริ่มพูดต่อ 
"ที่สำคัญ ผมไม่ชอบให้ใครดูถูกตัวเอง น้ำใจที่ดูถูกตัวเองว่า เศษน้ำใจ สำหรับผมแล้วมันน่าประทับใจที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเองเลยนะครับ" 
ฉันว่า เขาคงต้องการพูดปลอบใจฉัน มากกว่าต้องการสื่อความหมายอย่างอื่นที่ลึกซึ้งกว่านั้น ถึงจะแค่ปลอบใจ แต่มันก็ได้ผล เพราะตอนนี้ฉันนั่งแข็งเป็นหิน เบี่ยงหน้าออกนอกหน้าต่าง เพราะไม่อยากให้เขาเห็นหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกนี่ จนฉันเริ่มปรับสภาพผิวกลับมาสู่ปกติ จึงเริ่มพูดกวนเขา ราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรกับประโยคเมื่อครู่
"ประทับใจที่ฉันพาขึ้นรถเมล์ผิดน่ะเหรอ" เราสองคนหันมาสบตากันอย่างรู้ทัน เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเกรงใจใคร เสียงหัวเราะที่ดังประสานกันนั้น ช่างแตกต่างกับเหตุการมึนตึงเมื่อเช้านี้ราวกับว่า เราสองคนไม่เคยเย็นชาใส่กัน
"จะให้ผมไปทางไหนต่อครับ" เขารีบขัดเสียงหัวเราะทันที เมื่อเราสองคนใกล้ถึงทางแยก ตายแล้ว! มัวแต่เคืองตานี่! ทำตัวอะไรตามอารมณ์ จนลืมไปเลยว่าวันนี้มีธุระ! 
"คุณรู้จัก ร.ร.อนุบาลกระดานชนวน หรือเปล่าล่ะ! คือ ฉันต้องไปรับลูกชายก่อนน่ะค่ะ"
"คุณมีลูกแล้วเหรอครับ คุณหน้ายังเด็กอยู่เลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะแต่งงานมานาน ถึงขนาดมีลูกเรียนชั้นอนุบาลแล้ว" น้ำเสียงที่ถามมาราบเรียบ ไม่น่าจะมีอะไรแอบแฝง แต่คำถามที่ละลาบละลวงเกินคนเพิ่งรู้จักควรถามกัน ทำให้ฉันอดจ้องใบหน้าด้านข้างของเขาที่มองตรงไปที่รถคันหน้า เพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่าง ที่มากเกินกว่าความอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านทั่วไป 
ใจจริงฉันแค่อยากรู้ว่า เขาไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง ที่ฉันมีครอบครัวแล้ว ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ฉันต้องการให้เขาเข้าใจผิดก็ตาม หากสีหน้าและแววตาที่ไร้ความรู้สึกตื่นตกใจนั่น ก็ทำให้ฉันแอบถอนหายใจ ก่อนยอมอธิบายความจริงให้ฟัง
"ลูกน่ะมีแล้วค่ะ แต่ว่าออกมาจากท้องพี่สะใภ้ ที่เสียชีวิตไปพร้อมกับพี่ชายของฉัน ระหว่างไปทำงานต่างประเทศ เมื่อปีที่แล้วน่ะค่ะ ฉันเลยรับเป็นแม่บุญธรรมให้ตาเค้ก"
'เฮ้อ! ที่เขาอยากให้เราสนิทกัน เป็นเพื่อนกัน มันแค่นั้นจริงๆ เหรอเนี่ย เฮ้อ!... เอาวะ! เพื่อนก็เพื่อน! ดีกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย' 
บรรยากาศชวนอึดอัดเมื่อครู่สลายไปในอากาศได้พักใหญ่ ฉันจึงเล่าวีรกรรมบนรถประจำทางแสนน่าอับอาย ชนิดที่ว่า เล่าไปใครเขาจะเชื่อ!  อย่างสนุกสนานไร้ซึ่งยางอายอย่างหญิงสาวสามัญ เพียงเพราะเห็นเขาหัวเราะราวกับเด็ก ฉันมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ เฮฮากันจนกระทั่ง ตาเค้กเข้ามานั่งป้อกลองบนตักฉันและถามขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
"ลุงนี่! ใครเหรอ! จะไปกินไอติมกับเราด้วยหรือไง" ฉันที่กำลังก้มหน้าคุยกับตาเค้ก ที่นั่งยุกยิกเล่นอุปกรณ์ตกแต่งรถเพลินมือ นั่งก้มหน้ามองตาเค้กค้างอย่างรู้สึกเกรงใจ ก่อนรวบรวมกำลังใจเหลือบตาขึ้นมองหน้าคนขับอย่างช้าๆ 
"ลืมอีกแล้วค่ะ! ว่ามีนัดกับเพื่อนสนิทที่ร้านไอศกรีม เอ่อ สนใจจะไปด้วยกันหรือเปล่าคะ ฉันจะได้แนะนำว่าที่สา.. เอ้ย! คุณให้เพื่อนสนิทของฉันรู้จัก" เขาเงียบไปอึดลมหายใจ ฉันว่าเขาคงเขาคงเป็นอดีตนักว่ายน้ำระดับประเทศแน่เลย เพราะว่าอึดใจของเขามันนานจนฉันแทบจะขาดลมหายใจตาย
"แต่!.. ถ้าคุณติดธุระอะไรละก็! จะถีบหัวส่งเราสองแม่ลูกลงตรงนี้ก็ได้นะคะ!  ท่าทางท่านประธานที่นั่งเหม่ออยู่เมื่อครู่หันมองมองหน้าฉัน พร้อมคิ้วหนาที่ขมวดเป็นโบว์
คือฉันหมายความว่า จะให้เราสองคนลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ เพราะฉันผิดเองที่ทำอะไรโดยไม่คิดตั้งแต่แรก" 
"ว่างครับ! ผมเองไม่ค่อยได้ไปไหนนักหรอก เหงามานานแล้วเหมือนกัน! " ฉันว่าเขาควรไปหัดเรียนภาษาไทยใหม่จะดีกว่า เพราะแต่ละประโยคที่พูดมา ชวนให้คนใจง่าย อืมม์ ใจอ่อนอย่างฉัน ไหวหวั่นทุกทีเลย ดีที่คำว่าเพื่อนยังก้องอยู่ในหู ไม่งั้นฉันคงถอนตัวไม่ขึ้นแน่ๆ
แต่จะว่าไปแล้ว แววตาที่เคร่งขรึมอย่างปกติแปรเปลี่ยนเป็นเหม่อลอยไปวูบหนึ่ง ตอนที่เขาพูดว่า ผมเองไม่ค่อยได้ไปไหนนักหรอก เหงามานานแล้วเหมือนกัน! ' เขาดูเศร้าเหงาจับใจฉันให้อดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรกันที่ทำให้เขาเหม่อลอยได้อย่างนั้น แต่ท่าทีที่เขาพยายามตีสีหน้าเรียบเฉย เพื่อเก็บความเหงาไว้ในใจเพียงผู้เดียว ทำให้ฉันไม่กล้าเอ่ยปากแมวๆ ถามออกไป เพราะเกรงว่า จากความรู้สึกเหงาเศร้าซึมธรรมดาจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอยากตายขึ้น เมื่อได้ยินบางคำที่มันแทงใจดำ
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด  เสียงคุยระหว่างฉันกับเขาเงียบลงได้ไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์ (ระฆังกู้ภัย) ของฉันก็ดังขึ้นมา 'ยัยกลอนนี่เอง! ' เพื่อนสนิทที่นัดกันไว้ โทรมาขอเลื่อนนัด เพราะงานที่มหาวิทยาลัยมีปัญหากระทันหัน 
ฉันจึงเปลี่ยนโปรแกรมร้านไอศกรีม เป็นเริ่มต้นด้วยการดูหนัง 
เอาไงคะ! ยังอยากเที่ยวอยู่ไหม! วันนี้ตาเค้กแกบ่นอยากดูหนังเหมือนกันน่ะค่ะ โชคดีจริงๆ ที่ตาเค้กหลับไปแล้วเพราะนิสัยนิ่งเป็นหลับขยับเป็นเล่น ไม่อย่างนั้น โกหกคำโตของฉัน คงถูกลูกชายสุดที่รักขัดขึ้นกลางปล้องแน่!  (ทำไมต้องมองฉันด้วยสายตาระแวงด้วยล่ะ! ก็เพื่อนกันนี่นา! ชวนเขาไปเที่ยวต่อก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่! แปลกตรงไหนเหรอ! )
ฉันเลือกดูหนังกึ่งครอบครัวอมรสคอมเมดี้เล็กๆ แอบโรแมนติคหน่อยๆ เมื่อถึงเวลาเข้าโรงหนังตาเค้กรีบจัดแจงวางที่นั่งเรียบร้อย เพื่อกันฉันกับคุณน้าแปลกหน้าที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อให้ไกลจากกัน เรื่องนั้นฉันไม่ได้สนใจเท่าไรนัก เพราะมันมีเรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นอีก ก็คนที่เป็นเจ้ามือเลี้ยงเราสองแม่ลูกน่ะสิคะ ให้ตายเถอะ! สาบานได้ว่า ตั้งแต่ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ ฉันยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหน ที่ดูหนังแล้วร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายได้ขนาดนี้เลย ผ้าเช็ดหน้าผืนจ้อยเพียงผืนเดียว ที่เขายื่นให้ฉันเมื่อเห็นฉันเริ่มน้ำตาคลอเบ้า กลับถูกแย่งกันไป-มาโดยเราสามคน เมื่อถึงคราวต่อมเก็กแมนของตาเค้กและชายผู้เป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าสีเทานี่แตก จนได้ยินเสียงหัวเราะพร้อมประโยคน่าดีใจลอยมาอย่างแผ่วเบาจากด้านหลัง
ฮิๆๆ ดูสิที่รัก คุณพ่อยังหนุ่มคุณแม่ยังสาวพาลูกมาดูหนังแล้วร้องไห้ แย่งผ้าเช็ดหน้ากันใหญ่เลย น่ารักจังเลยค่ะ 
เสียงเพลงดังสนั่นไปทั้งโรงหนัง เมื่อฉากสุดท้าย แสนซึ้งประทับใจผ่านสายตาไปไม่ถึงเสี้ยวนาที ฉันหันไปจับมือตาเค้กและแอบสบตาพอให้รู้ใจกัน พรางเหลือบตามองชายตัวโต ที่บัดนี้ยกซับน้ำตาที่ไหลรินเพราะฉากเศร้าซึ้งเมื่อครู่เป็นการใหญ่ ฉันแอบอมยิ้มจนแก้มปริเพราะคิดว่า เขาน่ารักดี ที่ไม่ได้วางมาดแมนเต็มร้อย เมื่อได้ดูฉากเศร้าโศกเสียใจ การที่เราจะร้องไห้เพื่อแสดงความรู้สึกดีๆ ให้อะไรสักอย่างที่ซึ้งประทับใจเรา มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่ใช่การแสดงความอ่อนแอสักนิด แต่มันน่าภูมิใจที่เราสามารถรับรู้ความรู้สึกของคนรอบข้างได้ต่างหาก แต่ ตาเค้กนี่สิ! หัวเราะเปิดเผยเต็มที่ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเยาะหยันชัดๆ แถมมีชี้หน้าเขาพรางล้อเลียนอย่างเสียมารยาท จนเขาหน้าแดงแป๊ดเป็นลูกมะเขือเทศ เล่นเอาฉันอยากมุดหน้าลงดินให้มันรู้แล้วรู้รอดไป (แสนซน: เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะ! คุณผู้อ่านคิดเหมือนฉันไหม! ) 
ตาเค้กมักจะมีองค์เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประจำอำเภอลง ทุกครั้งที่มีผู้ชายเข้ามาทำความรู้จักฉัน (ซึ่งนานทีศตวรรษหนึ่งหน จะมีหลุด เอ้ย! หลง เอ้ะ! ไม่ใช่ๆ ต้องใช้คำว่า 'ผ่าน เข้ามาในชีวิตฉันสิ! ) และครั้งนี้ก็เช่นเคย ตาเค้กสอบถามที่มาที่ไปเสียยกใหญ่ จนฉันแทบไม่ต้องแนะนำสองคนนี้ให้รู้จักกันเลย
เค้กยืนสอบประวัติคุณลุงไอตะวันอยู่หน้าโรงหนังไม่นาน ท้องของฉันก็ร้องดังโครกใหญ่ ตาเค้กกับเพื่อนใหม่ของฉันสบตากันเพื่อหาที่มา ก่อนหันมาทางฉันพรางแอบยิ้มให้กันอย่างเข้าใจความคิดของกันและกัน แต่กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะกันเอิกเกริก แน่ล่ะ! ลองหัวเราะกันอย่างเริงร่าสิ คงมีงอนกันบ้างหรอก 
ฮึ! ไปกินข้าวกันเถอะครับ ฮึ! ผมหิวแล้ว 
ก๊าก!!! ฮ่า!!! โอ๊ย! ฮ่า!!!  คราวนี้ตาเค้กหลุดเสียงหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว เมื่อประโยคแสนสุภาพบุรุษของเขา ทำเอาฉันหน้าแดงแป๊ดขึ้นมาบ้าง 
งอนแล้วนะ! ทั้งพะ! เพื่อนทั้งลูกเลย!  ฉันสะบัดหน้าไปอีกทาง ก่อนเดินหนีไปนั่งในร้านอาหารขยะ ที่ฉันไม่ค่อยจะชอบนัก แต่ในเมื่อลูกชายสุดที่รักฉันชอบจึงจำใจต้องทานบ้างเป็นบางครั้ง (งอนก็ส่วนงอน กินก็ส่วนกิน รักก็ส่วนรักเหมือนกัน) 
ช่วงเวลาที่เราทานอาหารกันนี่ เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งของวัน ที่ฉันมีความสุขมากจนอยากจะลุกขึ้นมาเต้นแซมบ้าแก้บนตรงนั้นเสียให้ได้ เหตุมาจากได้รู้เรื่องส่วนตัวของเขา ที่ไม่คิดว่าเขาจะบอก
"ผมจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมมาเที่ยวกับเพื่อนอย่างมีความสุขแบบนี้ มันเมื่อไร 
"โห! อย่ามาพูดเอาใจเพื่อนฐานะชาวบ้านอย่างฉันเลยน่าคุณ ชีวิตคุณออกจะสมบูรณ์แบบ เพื่อนฝูงที่มีก็น่าจะร่ำรวยพอกัน ไม่ต้องมาทนเที่ยวอย่างคนฐานะพอมีพอกินแบบฉันหรอก" เขาตวัดหางตาดุเล็กน้อยเมื่อฉันพูดดูถูกตัวฉันเอง (แต่ฉันไม่ได้คิดว่าการที่ฉันมีฐานะแบบนี้ แล้วมันไม่ดีนะ ฉันแค่พูดไปตามเนื้อผ้า)
"ผมหมายถึง สุขทางใจต่างหากล่ะครับ ผมไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทหรอก ที่คุยกันได้ทุกเรื่องเห็นจะมีแค่ ไอเมฆ น้องชายในสายเลือกกับกวีเพื่อนสนิทรุ่นน้องสมัยมัธยม ที่ตอนนี้เรียนต่ออยู่ที่ต่างประเทศ ยังไม่กลับมาเลย"
"อืมม์" ฉันกับตาเค้กพยักหน้ารับพร้อมกันอย่างเห็นใจ จนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เพื่อนคนใหม่ของฉันต้องทำคุณไสยกับตาเค้กแน่ๆ เพราะตาเค้กนั่งนิ่ง ไม่ดื้อ ไม่กวน แถมยังตั้งใจฟังอย่าสนใจเสียด้วย
"นอกนั้นเป็นเพื่อนประเภทที่ คอยแต่จะหาผลประโยชน์จากผม กิจกรรมนันทนาการที่คนทั่วไปทำกันอย่างสุขกายสบายใจ พวกเขาทำให้มันเป็นสนามสงครามทางการค้า ที่ต้องปั้นหน้าเข้าหากันตลอดเวลา จนผมลืมบรรยากาศเที่ยวเล่นอย่างคนธรรมดาไปนานมากแล้ว" เขาหันมาสบตาฉันอย่างขอบคุณ
"จนกระทั่งผมมากับคุณวันนี้ จึงได้กลับมารู้สึกสนุกกับการทานข้าว ดูหนังอย่างคนทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกคบคุณอย่างเพื่อน คำว่าเพื่อนที่เขาพูดมา ทำให้ฉันเจ็บแปลบจนต้องหลบตาใสซื่อคู่นั้น 
ตั้งแต่วันที่เราเจอกันครั้งแรก ผมเอาแต่คิดว่า 'ถ้าได้คนแบบนี้มาเป็นเพื่อนคงดีไม่น้อย' ขอบคุณมากนะประกายชล ที่ชวนผมมาด้วยวันนี้"
"ไม่เท่าไรหรอก! เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ แม่ผมใจบุญอยู่แล้ว" 
"เค้ก! จุ๊! จุ๊! " ฉันหันไปยิ้มแห้งให้เขา หากเขากลับหัวเราะออกมากับท่าทีเราสองแม่ลูก
"อ๋อ! ฉันเข้าใจแล้วล่ะ! ที่แท้เพื่อนแต่ละคนก็ไม่มีใครน่าไปไหนด้วยสักคนนี่เอง คุณถึงดูไม่ยินดียินร้ายกับคำชวนของฉันสักเท่าไร" คงมีแต่รอยยิ้มที่ส่งมาแทนคำตอบ
เอาอย่างนี้ไหม! ถ้าฉันจะไปเที่ยวไหน! ก็จะชวนคุณไปด้วยกัน! เอาไหม!? 
ได้เหรอครับ! ผมไม่เกะกะคุณนะ!  
เพื่อนกันนี่คะไม่มีคำว่าเกกะหรอก ไปเที่ยวกับเพื่อนมันต้องหลายๆ คนถึงจะสนุก! 
ว่าแต่... น้องเค้กจะยอมให้น้าไปด้วยคนไหมครับ ฉันหันไปส่งยิ้มหวานแต่สายตาชวนสยอง พร้อมยกมือขึ้นลูบหัวตาเค้กด้วยน้ำหนักมือที่รู้กันสองคนแม่ลูกว่า รู้ใช่ไหมเค้ก! ถ้าขืนไม่ให้เขาไปด้วยกัน! จะเกิดอะไรขึ้นกับเค้กน่ะ! 
อืมม์! ก็ได้! เห็นว่าน่าสงสารหรอกนะ! ไม่งั้นอย่าหวังเลย! 
เค้ก! มากไปๆ อายุเท่ากับลุงเขาหรือไง! 
คิดจะมาเป็นเพื่อนกันชลก็ต้องยอมผมด้วย ไม่เคยได้ยินสุภาษิตฝรั่งที่เขาบอกว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายเชื่อฟังลูกเพื่อนแล้วจะดีเองเหรอ (ฉันว่าตาเค้กอาจจะต้องเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษใหม่ตั้งแต่ต้นละมั้งเนี่ย) 
สมกับที่คุณเลี้ยงมาเลยนะครับ เหมือนกันเหลือเกิน 
คำพูดเชิงแซวของเพื่อนใหม่ สร้างความรู้สึกภูมิใจให้ฉัน ที่สามารถเลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิด ถึงขนาดที่ตาเค้กซึมซับเอานิสัยฉันไปได้บ้าง เพราะสำหรับคำว่า ลูกบุญธรรมกับแม่บุญธรรม นั้น มันก็แค่กระดาษใบเดียว แต่ไม่ใช่เครื่องยืนยันความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่จับต้องไม่ได้ หากแต่ความสนิทสนมกลมเกลียว นิสัยที่คล้ายกันจนคนอื่นดูออกนี่ต่างหาก ที่เป็นเครื่องยืนยันความเป็นแม่ลูกกันจริงๆ 
รถหรูสีดำมันวับปราดมาจอดสนิทนิ่งถึงหน้ารั้วบ้านปิ่นทอง อันที่จริงฉันยังไม่อยากลงรถทันทีหรอก แต่ตาเค้กที่กุลีกุจอเก็บข้าวของเตรียมลงรถกับสีหน้าเรียบเฉยของคนขับรถที่เหม่อลอยเหมือนคิดอะไรอยู่นั่น ทำให้ฉันถอนหายใจและยอมเปิดประตูเตรียมออกจากรถ
กลับบ้านด้วยกันทุกวันได้ไหมครับ!  อยากกรี๊ด! ให้มันดังคับซอย! คำนี้แหละที่รอคอย! แต่ก็ทำได้แค่ ตีหน้าไม่รู้เรื่องหันไปมองเขา ราวกับได้ยินประโยคเมื่อครู่ไม่เต็มรูหู
เอ่อ! คือ วันนี้ผมสนุกมากจนอยากไปเที่ยวแบบนี้อีก คุณเองจะไปเที่ยวเมื่อไรก็ไม่รู้
เป็นเด็กเลยนะคะ พอได้ทานขนมอร่อยๆ ชิ้นหนึ่งแล้ว ก็อยากกินชิ้นที่สองต่อทันทีเลย
ตกลงหรือเปล่าล่ะครับ คราวนี้ถามด้วยสายตาอ้อนวอนที่บาดใจฉันมากขึ้นกว่าเดิม เล่นเอาฉันพูดไม่ออก
ก็ได้ไงลุงไอ ถามอยู่ได้! แม่เราใจดีจะตาย โดยเฉพาะกับ ลุง แต่ต้องไปรับเราที่ ร.ร. หลังเลิกเรียนทุกวันด้วยนะ! เข้าใจปะ!?  
กะ! เกิ๊น! เค้กอย่าเล่นหัวผู้ใหญ่สิลูก!  ฉันไปหันปรามตาเค้กก่อนหันไปตอบตกลงเขาด้วยน้ำเสียงปกติ
ด้วยความยินดีค่ะ! แต่ คุณต้องไปรับทะโมนเค้กที่ ร.ร. ทุกวันด้วยนะคะ! ไหวหรือเปล่า! 
ไหวอยู่แล้วครับ!  เขารีบละล่ำละลักตอบอย่างดีใจ
ตกลงแล้วนะครับ! เอ่อ แล้วผมอยากให้คุณเรียกผมว่า ไอ ส่วนผม ก็ขอเรียกคุณว่า ชล ได้ไหมครับ น้ำเสียงประโยคท้ายเบาลงเหมือนไม่มั่นใจ หากแต่ใจฉันนั้นตะโกนกู่ก้องไปแล้วว่า ยอมตั้งแต่เกิดแล้วน้อง! 
คุณเป็นประธานบริษัท จะเรียกฉันว่า ชล น่ะ! ได้อยู่แล้ว แต่ฉันเป็นพนักงานบริษัท เรียกชื่อคุณสั้นๆ คงไม่ดี คุณจะเสียการปกครองได้
อืมม์ งั้นเอาไว้เรียกหลังเลิกงานก็ได้! โอเคไหมครับ! 
ค่ะ! กลับบ้านปลอดภัยนะคะ วันนี้ขอบคุณมากค่ะ ตาเค้กขอบคุณ คุณลุงด้วยสิ! วันนี้อุตสาห์พาเราสองแม่ลูกไปตะลอนเสียนานเลย
ขอบคุณครับ ลุงมีบุญนะเนี่ย! ได้คำขอบคุณจากเราด้วย!  ฉันเขกหัวตาเค้กเบาๆ พองามก่อนบอกลาเขาอีกครั้ง
สัญญาแล้วนะครับ! ห้ามเบี้ยวผมนะ โอ๊ย! ถ้าฉันเบี้ยวก็โคตรโง่แล้วค่ะ
ค่ะ! ไปได้แล้วค่ะ โชคดีนะคะ สวัสดีค่ะ เมื่อคุณไอตะวันขับรถพ้นสายตาเราสองคน ฉันจึงชวนตาเค้กเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี แต่ก็ไม่ลืมที่จะทำหน้าที่คุณแม่สอนลูก
เค้ก! แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา!  แทนที่จะมีอาการสำนึกผิด ตาเค้กกลับสวนฉันกลับมาว่า
เอ้า! ของมันแน่อยู่แล้ว ผมลูกใครล่ะ เฮ้อ! ตาเค้กพูดอย่างนี้ทีไร ฉันทำอะไรต่อไม่ถูกทุกที ดูสิค่ะ! ตาเค้กแก่แดดขนาดจับจุดอ่อนของฉันได้แล้วว่า ฉันไม่ชอบสอนคนอื่น ในเรื่องที่ฉันเองก็ยังทำไม่ได้ แต่มีหรือที่คราวนี้ฉันจะยอม
แล้วที่แม่เป็นอยู่นี่มันดีนักหรือไงล่ะ! ใช่ว่าจะชอบนะ! คนอื่นก็ไม่ชอบ แล้วเค้กยังเด็กก้าวร้าวกับผู้ใหญ่แบบนั้น ถ้าเป็นคนอื่นมิตบลูกแม่ตัวทิ่มหรือไงครับ แม่น่ะ! ห่วงเรานะ ถึงได้เตือนน่ะ!  ตาเค้กไม่ยอมพูดอะไรแกล้งมองซ้ายมองขวา จับต้นไม้ใบหญ้าเล่นไปเรื่อยเปื่อยราวกับไม่ใส่ใจ แต่ฉันรู้ว่านั่นเป็นสัญญาณบอกว่า เขายอมฟังฉันแล้ว เพราะถ้าไม่ฟังตาเค้กไม่หยุดเถียงง่ายๆ หรอกค่ะ! 
โปรดติดตามตอนต่อไป				
comments powered by Disqus
  • )))**--ผลิใบสู่วัยกล้า--**(((

    5 กันยายน 2547 07:20 น. - comment id 76671

    เข้ามาอ่านเป็นกำลังใจให้นะครับ
    
    เขียนได้ดีจริงๆๆๆๆๆๆๆ...
    
    
    

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน