เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 14 )
สุชาดา โมรา
การแข่งขันดำเนินมาจนใกล้ถึงวันสุดท้าย ฉันฟิตทั้งร่างกายและการรุกคู่ต่อสู้ เมื่อมาอยู่ที่นี่ฉันก็ได้เรียนรู้ท่าใหม่ ๆ ที่จดจำมาอย่างถี่ถ้วนและลองมาทำดูก็เป็นอันว่าใช้ได้ ฉันดีใจเหลือเกินที่ฉันมีพรสวรรค์ในด้านนี้ทำให้ฉันก้าวมาถึงจุดนี้จนได้...
อาจารย์สุพจน์เรียกฉันไปแข่ง แต่คราวนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา
"ตั้งใจนะ ต้องมีสมาธิ หาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้ได้ อย่าลืมท่าและจังหวะที่ครูสอนเมื่อวานล่ะ ใช้สมาธินะเพราะคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ครูรู้สึกเป็นห่วงเธอมาเลย"
ฉันเดินขึ้นมาที่สังเวียนด้วยความรู้สึกที่หวาด ๆ กลัว ๆ แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าเราผ่านมาได้ถึงจุดนี้ก็ต้องสู้เพื่อชัยชนะและชื่อเสียงของชาติ ฉันจะแพ้ไม่ได้ เพราะอีกแค่เอื้อมเดียวก็จะได้ชัยชนะแล้ว
"ฮาจิเมะ...!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น
"เอี้ย..........!!!!"
คู่ต่อสู้สายดำส่งเสียงร้องข่มฉันอย่างน่ากลัว แต่ฉันก็รู้สึกชิน ๆ กับเสียงแบบนี้แล้วละ ฉันเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อทันทีแต่ก็ไม่สามารถที่จะทุ่มได้ ฉันเดินหาจังหวะอยู่พักหนึ่งก็รู้ว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่ขา ฉันจึงเกี่ยวโค-ยูชิ-คาริทันทีจนเขาล้มลงก้นกระแทกกับพื้น
"โคกา....!!!"
ฉันได้คะแนน 1 โคกาทันที จากนั้นฉันก็ตรงเข้าไปในขณะที่คู่ต่อสู้เขากำลังลุกขึ้น ฉันจึงเข้าไปล็อกทันทีด้วยท่าเกซา-กาตาเมะจนกระทั่งหมดเวลา
"วาซาริ วาซาเตะ อิปโป้ง..........!!!!"
เสียงกรรมการบอกว่าฉันชนะ ฉันดีใจมาก ๆ เข้าไปจับมือกับคู่ต่อสู้แล้วก็เดินออกมาที่ข้างเบาะ อาจารย์สุพจน์ขยี้หัวแล้วก็ให้ฉันไปนั่งดูพี่ ๆ แข่งเพื่อเป็นการพักเหนื่อยจนกระทั่งถึงเวลาแข่งอีกครั้ง
"ฮาจิเมะ.......!!!!"
"เอี้ย...!!!"
...เสียงร้องข่มคู่ต่อสู้ของฉันดังขึ้นพร้อม ๆ กับอารมณ์ที่บ้าครั่ง ฉันไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันกระชากคอเสื้อคู่ต่อสู้สายน้ำตาลปลายดำชาวต่างชาติคนนั้นแรงขนาดไหน ฉันคิดเพียงว่าจะไม่แพ้ ไม่แพ้ และก็ไม่มีวันแพ้... ฉันใส่ท่าโตโมนาเงะทันที
"อิปโป้ง...!!!"
อาจารย์ให้ฉันไปนั่งพักผ่อน ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ จึงหลับไป รู้สึกว่าจะหลับได้ยาวนานมาก ๆ พอมารู้สึกตัวอีกทีก็
"ดาว...คู่สุดท่ายแล้วนะ พี่เหลือคู่สุดท้าย ส่วนรุ่นของเธอเหลืออีก 6 คน ถ้าเธอแข่งชนะครวนี้ก็จะเหลือแค่ 3 คน คราวนี้จะชนะหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วว่าจะได้เหรียญอะไร"
พี่ติ๊กมาเตือนสติฉัน พี่เขาดีนะที่มาปลุกฉัน ฉันจึงวานให้พี่เขาพาไปที่ห้องน้ำ พี่เขาก็รออยู่ที่หน้าห้องน้ำส่วนฉันก็ไปล้างหน้า ฉันมองเห็นนักกีฬาหลายคนคุยกัน แต่ฉันก็ฟังไม่ออกหรอกแต่คิดว่าเขาน่าจะคุยเรื่องการชิงดำชิงแดงแน่ ๆ เชียวละ... อาจารย์ให้ฉันเตรียมตัวแข่งได้แล้ว ฉันจึงขอร้องให้พี่ติ๊กช่วยกระตุ้นให้ฉันตื่นหน่อยด้วยการตบหลังให้แรง ๆ จนกระทั่งตาสว่าง
"ฮาจิเมะ.........!!!!"
กรรมการบอกให้เริ่มต้น ฉันเดินหาจังหวะคู่ต่อสู้ จากนั้นก็กระชากคอเสื้อทันที ฉันรู้สึกได้เลยว่าคู่ต่อสู้แกร่งมาก ๆ จนฉันรู้สึกตัวว่าเขากำลังจะทุ่มฉันได้แล้ว ฉันจึงย่อตัวและหมุนตัวเข้าไปทุ่มด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออิ-นาเงะทันทีทำให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวและลงตบเบาะทันที แต่ด้วยความที่คู่ต่อสู้เจนสนามจึงทำให้ตบเบาะอย่างไม่เต็มตัว ฉันจึงพยายามไม่ให้คู่ต่อสู้มีโอกาสเข้าใกล้ได้ด้วยการจับคอเสื้อแล้วย่อตัวกระชากให้เขาออกมาห่างจากขอบเบาะและปัดทันทีทำให้คู่ต่อสู้ลอยและลงมาตบเบาะอย่างสวยงาม
"อิปโป้ง..........!!!!"
ฉันทำสำเร็จแล้ว....!!!! ฉันกู่ก้องร้องบอกตัวเองในใจ อย่างน้อย ๆ ฉันก็ได้เหรียญทองแดงแล้วละทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้แข่งคู่ต่อไปแต่ก้รู้ได้ทันทีด้วยสัญชาตญาณนักสู้ เพราะตอนนี้รุ่นน้ำหนัก 45 กิโลเหลือเพียง 3 คนสุดท้ายแล้ว...
แม่...หนูจะทำสำเร็จแล้วนะคะแม่ หนูจะเอารางวัลอันทรงเกียรตินี้มามอบให้แม่เป็นของขวัญให้ได้เลยค่ะ หนูสัญญา...
"ฮาจิเมะ.....!!!!"
กรรมการบอกให้เริ่มต้น ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วก็เข้าท่าทุ่มทันที แต่ทำยังไงก็ทำไม่ได้เพราะคู่ต่อสู้แกร่งมาก ๆ ฉันจึงต้องพยายามหาจุดอ่อนแต่ก็มองไม่เห็นทางเลย คู่ต่อสู้คนนี้สุดยอดจริง ๆ ฉันรู้สึกกลัว ๆ เสียแล้ว ตอนนี้ฉันคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทันที ฉันนึกถึงเจ้าพ่อศาลพระกาฬ นึกถึงหลวงพ่อขาวที่อยู่ในโรงเรียน นึกถึงพระเจ้าอยู่หัวฯ ฉันอธิษฐานในใจว่าถ้าหากว่าฉันมีชัยกลับไปฉันจะใส่ชุดยูโดวิ่งรอบหลวงพ่อขาว 9 รอบทันที
"อิปโป้ง..........!!!!"
เป็นไปได้ยังไงกัน กรรมการบอกให้ฉันชนะทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ฝ่ายนั้นแพ้ฟาว สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง จริง ๆ ด้วย งั้นถ้ากลับไปถึงเมืองไทยคราวนี้ฉันต้องไปแก้บนเลยละสิ...
ฉันยืนมึนอยู่บนสังเวียนจนกรรมการเดินมาสะกิดให้ฉันคำนับคู่ต่อสู้ จากนั้นฉันก็เดินลงมาหาอาจารย์สุพจน์ อาจารย์ยิ้ม
"โชคช่วยแท้ ๆ ดาวเราต้องมีสมาธินะเหลืออีกแค่คนเดียวเท่านั้นแล้วนะ"
"ค่ะ"
ฉันยังคงไม่เล่าอะไรให้ใครฟังทั้งนั้นจนกว่าจะแข่งเสร็จ คราวนี้เป็นคู่สุดท้ายแล้วที่จะชิงตำแหน่งแชมป์ยูโดแม็ทอาร์มี่อินดิอาเซี่ยน...ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อเกียรติของฉัน ของชาติ และของวงศ์ตระกูล......สู้..........!!!!
"ฮาจิเมะ..........!!!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น ฉันจึงเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อทันที คราวนี้ไม่หมูอย่างที่คิดไว้จริง ๆ คู่ต่อสู้นี่แกร่งมากทีเดียว ฉันคงแพ้แหง ๆ เลย ดู ๆ สภาพแล้วไม่น่าจะชนะได้เพราะเรามันกระดูกคนละเบอร์กัน
ฉันพยายามหาจุดบกพร่องของเขาแต่ก้ไม่มี ฉันจึงนึกไปถึงอาจารย์ดนัยที่สอนฉันให้เอาความอ่อนโยนเข้าพิชิดความแข็งแกร่ง ฉันจึงใช้ท่าที่ฉันคิดขึ้นเองอีกครั้งในการแข่งครั้งนี้คือท่าท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิถึงกับทำให้อาจารย์สุพจน์ถึงกับตะลึงทันทีเพราะไม่เคยมีใครเห็นท่าแบบนี้มาก่อน
"อิปโป้ง........!!!!!"
ฉันเคารพกันและกันแล้วก็เดินไปจับมือกัน ฉันดีใจมากที่ได้ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ถึงแม้ว่าสื่อมวลชนจะไม่รู้ว่ามีการแข่งขันระดับอามี่ชิงแชมป์เปี่ยนยูโดระดับอาเซี่ยนกันทำให้ไม่เป็นข่าวใหญ่แต่อย่างน้อย ๆ มันก็เป็นข่าวเล็ก ๆ ของหนังสือพิมพ์เฉพาะของวงการยูโดและทหาร...ฉันเดินลงจากเบาะแล้วก็ไปกอดพี่ตุ๊กด้วยอาการมือเย็นเฉียบเพราะความตื่นเต้น ความหวังและความฝันของฉันอยู่แค่เอื้อมมือแล้ว...
"ไปเอาท่านั้นมาจากไหน ครูไม่เคยเห็นมาก่อนเลย"
"คิดเองค่ะ หนูคิดมานาแล้ว"
"เก่งนี่ ท่านั้นชื่อว่าอะไรกัน..."
"ท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิค่ะ"
ฉันยิ้มแล้วอาจารย์ก็ขยี้หัวฉันและพาพวกเราไปกินข้าว และพาไปเที่ยวหาซื้อของฝากกลับบ้าน แต่ว่าฉันไม่รู้ว่าอาจารย์จะไปเลยขึ้นมาอาบน้ำแล้วก็นอนหลับยาว ไม่มีใครปลุกฉันด้วยสิ พวกเขาคงเห็นว่าฉันเหนื่อยละมั้งเขาเลยไม่ปลุก ก็แหมเสียดายจังเลยที่ไม่ได้เที่ยวนะแต่อย่างน้อย ๆ ขากลับฉันก็ได้ซื้อของฝากที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้กลับบ้านมาเหมือนกัน อาจารย์สงสารก็เลยพาไปซื้อที่สนามบินก่อนกลับ ฉันจึงได้เสื้อลายสกีนของฟิลิปปินล์มาฝากครบทุกคนเลย...
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...