เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 3 )
สุชาดา โมรา
ซ่า....
ฝนตกโหมกระหน่ำ ฉันรีบขึ้นรถเมย์มาด้วยความเร่งรีบเนื้อตัวเปียกโชคไปด้วยฝน ฉันต้องไปที่สมาคมเพื่อซ้อมยูโดทุกวัน...หมู่นี้ฝนฟ้าไม่ค่อยจะเป็นใจมากนักแต่ก็เอาเหอะฉันจะพยายามซ้อมให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าสนามหญ้าจะเปียกแต่ฉันก็ยังไม่สิ้นหวัง ไม่มีที่จะวิ่งฉันก็ไปวิ่งบนเบาะยูโดจนได้ ทั้งยุบข้อ ยึดพื้น ซิทอัพ ฉีกขา สไลท์ขา สืบเท้า ฉันพยายามฟิตร่างกายอย่างเต็มที่ เพราะนัดที่จะมีต่อไปนี้คงต้องแข่งกันอีกยาวนาน เพราะต้องไปแข่งอย่างไม่มีวันหยุด
หลังจากเลิกเรียนฉันมาซ้อมยูโดที่สมาคม แต่วันนี้มันแตกต่างจากทุก ๆ วันเพราะวันนี้ฉันต้องซ้อมให้หนักเพื่ออีก 5 วันจะมีการแข่งยูโดคัดสายเขตกัน ฉันตั้งใจซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังจนสามารถล้มคู่ต่อสู้อย่างรุ่นพี่ผู้ชายหลายคนได้
"ถามจริง ๆ เถอะดาว เธอไปเอาแรงฮึดมาจากไหนถึงได้เล่นรุดหน้าเด็กรุ่นเดียวกันได้"
"แรงอาฆาตไง...พี่โจ้"
ฉันตอบอย่างเครียดแค้น...เพราะฉันรู้สึกได้ว่าฉันชิงชังและต้องไปยืนในจุดที่เหนือกว่าทั้งเหมี่ยวและพี่นัท ฉันอาฆาตไว้กับตัวเองว่าถ้าฉันทำไม่ได้ก็ให้ไปลาหมาตายได้แล้ว
"ดาว...หมู่นี้ทำไมฝีมือดีจังเลย ท่าทางจะไปได้ไกลนะเนี่ย"
"แหมพี่โก้ทำเป็นชมไปได้...ไม่ได้มีอะไรมากนักหรอกแค่ขยันหน่อยฟิตร่างกายก็เท่านั้น"
"ที่จริงหายากนะเนี่ย เด็กที่เข้ามาเล่นยูโดได้แค่ 6 เดือนก็สามารถได้สายเขียวแล้วยังไปคว้าตำแหน่งนักกีฬาจังหวัดได้นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ เลือดนักสู้นี่หว่า...ใช่ไหมพวกเรา"
พี่โก้ตะโกนขึ้นทำให้พวกที่นั่นอยู่ข้างเบาะชมฉันไม่หยุดปาก ฉันจึงได้ฉายาสาวน้อยมหัศจรรย์เป็นครั้งแรกมันจึงทำให้ฉันเริ่มมีชื่อเสียงในวงการกีฬามากขึ้น
"เอ้า...นักกีฬาพรุ่งนี้เรามีนัดที่โรงยิมส์แห่งนี้ ขอให้นักกีฬามาตามที่นัดด้วย เวลา 6 โมเช้าพร้อมกัน รถออกเวลา 6.30 น. อย่าลืม ถ้ามาไม่ทันก็ตามไป ช่วยเหลือตัวเองได้ยินไหม"
"รับทราบ"
อาจารย์ดนัยครูฝึกที่เก่งที่สุดของพวกเราพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดเป็นพิเศษ ครูคนนี้เป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก ๆ เป็นคนสุขุมรอบคอบ และมีเหตุผลที่สุดในบันดาครูฝึกทั้งหมด 7 คน
ตอนเช้าฉันรีบมา นั่งรถเป็นคนแรกแล้วก็เผลอหลับไปจนกระทั่งมีคนเดินมาปลุก
"ดาว ๆ เขาขึ้นรถคนนั้นกัน มานอนอะไรคันนี้"
"อ้าวเหรอ..."
ฉันเดินลงจากรถทหารคันใหม่ เดินตามโก้เพื่อนนักยูโดที่อยู่ต่างโรงเรียนกันไปที่รถคันเก่าที่สุดของที่นี่
"หา...คันนี้เหรอ"
ทุกคนที่อยู่บนรถยิ้ม ฉันถึงกับทำหน้าเบ้ทีเดียว แล้วก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถ ฉันต้องนั่งประจันหน้ากับพี่นัทแฟนเก่าของฉัน ฉันรู้สึกไม่อยากจะมองหน้าเขาเลย ฉันจึงมองออกไปนอกรถตลอดเวลา
"มาพร้อมหรือยัง...ได้เวลาแล้วไม่รอละนะ"
รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกช้า ๆ จนพ้นประตูค่ายเอราวัณไป
"จอด ๆ ครับ จอด"
พี่นัทบอกให้อาจารย์จอดรถ
เอี๊ยด...!!! รถต้องเบรกกระทันหันฉันถึงกับเซถลาไปใกล้พี่โอมทีเดียว ฉันจึงกระเถิบตัวออกมาห่าง ๆ เขา
"เป็นไรไปหรือเปล่า"
"ไม่เป็นไรค่ะ..."
"นู่นดาวดูสิใครมา..."
พี่โอมชี้ให้ฉันดูผู้หญิงที่กำลังจะขึ้นรถคนนั้น เหมี่ยว...!!! ฉันถึงกับตะลึงทีเดียว เหมี่ยวมาทำอะไรที่นี่ก็ในเมื่อเหมี่ยวบอกว่าท้องแล้วจะเลิกเล่น หรือว่าตอนคัดสายวันนั้นจะแท้งลูกแล้ว...ฉันนั่งนึกอยู่นานจนรถมาจอดที่วิทยาลัยพละอ่างทอง
"นักกีฬาทั้งหลายอัญเชิญลงจากรถได้แล้วมัวนั่งบื้อกันอยู่ได้"
อาจารย์ดนัยพูดประชดพวกเรา ทำให้ฉันรู้สึกหน้าเสียทีเดียว...
"พี่นัทคะเหมี่ยวมาให้กำลังใจ พี่นัทชอบไหมคะ"
ฉันรู้สึกหมั่นไส้ทีเดียว แต่ก็ทำท่าเฉย ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราไปชั่งน้ำหนักกันที่ห้องกีฬา แต่ฉันน้ำหนักไม่ถึงรุ่นที่เล่นต้องหาอะไรถ่วงน้ำหนักเพื่อที่จะได้ไม่มาเล่นรุ่นเดียวกับเด็กที่มาจากที่เดียวกัน ส่วนรุ่นพี่หลายคนเช่นพี่โอม พี่ตูน พี่โจ้ หรือแม้แต่โก้เองก็ต้องไปรีดน้ำหนักออกด้วยการใส่เสื้อวอมรูดซิปจนติดคอหอยแล้วก็วิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าน้ำหนักจะพอกับที่ตัวเองเล่น ฉันเห็นแล้วก็ต้องยิ้มอยู่นานทีเดียว
"เธอรู้ไหมว่าฉันมาทำไม"
"ฉันไม่สนหรอก เธอมีสิทธิที่จะมา แล้วมาถามฉันทำไม...ไม่ใช่เรื่องของฉันซะหน่อย"
"ใช่สิ...มันต้องใช่...ฉันกลัวว่าเธอจะมาแย่งพ่อของลูกฉันไง เข้าใจหรือยัง"
"ฉันไม่หน้าหนาขนาดนั้นหรอกที่จะแย่งแฟนเพื่อนได้...อีกอย่างฉันว่าเธอไม่ได้ท้องหรอก คนท้องอะไร...วันนั้นยังกล้ามาแข่งคัดสายกับฉันเลย...ฉันไม่เชื่อเธอหรอก"
เหมี่ยวถึงกับเงียบทีเดียว ฉันไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือเปล่า แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะจริงเพราะถ้าไม่จริงเหมี่ยวคงไม่เงียบ เหมี่ยวคงไม่อยากเอาอนาคตของตัวเองมาจบกับอีแค่เรื่องผู้ชายหรอก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ละก็แม่ของเหมี่ยวคงจะเสียใจมาก ๆ เพราะแม่เขาเป็นแค่ลูกจ้างของกรมศิลป์เท่านั้นเอง เงินเดือนก็น้อย ถ้าจะต้องมาเลี้ยงทั้งลูกและหลานก็คงจะทำใจลำบาก และก็ต้องลำบากมาก ๆ เลยด้วย...
ได้เวลาแข่ง ฉันเดินไปดูป้ายที่ติดไว้ รุ่นของฉันมี 9 คนต้องมีการจับสลากเพื่อที่จะแข่งว่าจะได้คู่ไหนก่อนดี ฉันได้แข่งเป็นคู่แรก ฉันรู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ ฉันเดินไปวอมร่างกายจนเครื่องอุ่นเต็มที่แล้วก็เดินมานั่งดูรุ่นจิ๋วกับรุ่นเล็กแข่งกัน คู่ต่อสู้น่ากลัวมาก ๆ เลย แต่ฉันก้พยายามข่มใจตัวเองไว้ว่าไม่ตื่นเต้น...ไม่กลัว
"รุ่นน้ำหนัก 45 กิโลมารายงานตัวด้วย"
เสียงกรรมการประกาศเรียกให้รุ่นของฉันไปรายงานตัว ฉันถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก็เดินเข้าไปหากรรมการในขณะที่คู่สุดท้ายของ ร.พ.ศ 2 ยังแข่งอยู่ ฉันเห็นคู่ต่อสู้ของฉันที่ค่อนข้างน่ากลัวมาก ๆ...แต่ฉันก็ต้องข่มใจตัวเองไว้ เมื่อกรรมการเรียกให้ขึ้นเบาะฉันก็เดินไปอย่างสุขุมทันที
"ฮาจิเมะ...!!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้นได้ ฉันจึงเข้าคว้าคอเสื้อของฝ่ายตรงข้ามก่อน แล้วก็เข้าท่าทุ่มด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะทันที ตัวของคู่ต่อสู้ลอยข้ามหัวไปฉันไป ฉันจับข้อมือคู่ต่อสู้ไว้แน่นเพื่อเซฟตัวคู่ต่อสู้ ท่าลอยลงมาได้สวยมาก ทุกคนถึงกับปรบมือกันกราวทีเดียว
"อิปโป้ง...!!!"
เสียงกรรมการพูดดังขึ้น ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็หันมาคำนับกรรมการก่อนจะลงจากสังเวียน ฉันมีความรู้สึกว่าโล่งอกมาก ๆ การแข่งขันดำเนินมาจนเหลือ 3 คนสุดท้ายของรุ่นน้ำหนักเดียวกับฉัน ฉันต้องมาแข่งอีกครั้ง ต้องมีการจับสลาก ฉันได้เป็นคนที่ 3 เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นอีกครั้ง ฉันดูท่าทางแล้วคน ๆ นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ฉันรู้สึกกลัวยังไงชอบกล...
คนที่ฉันกลัวมากที่สุดกลับชนะและยืนหยัดรอฉันอยู่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ฉันรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ทำใจสู้
"ฮาจิเมะ...!!!"
เสียงกรรมการสั่งให้เริ่มต้น ฉันเข้าไปกระชากเสื้อคู่ต่อสู้ทันที แต่เขากลับจับข้อมือฉันหักและบิดออก ฉันรู้สึกเจ็บมากทีเดียว คู่ต่อสู้คนนี้เล่เหลี่ยมแพรวพราวทีเดียว นักข่าวก็จับภาพจนฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ทำอะไรไม่ถูกไปซะทุกอย่าง
"ฮาเน มากิโคมิ...!!!"
เสียงใครบางคนตะโกนขึ้น ฉันจึงเข้าท่าฮาเน มากิโคมิทันที เป็นโชคดีของฉันจริง ๆ ที่คู่ต่อสู้หลังหระแทกพื้นได้อย่างสวยงามทีเดียว
"อิปโป้ง...!!!"
เสียงกรรมการพูดดังก้องหูของฉัน คู่ต่อสู้ทำท่าทางไม่ค่อยพอใจที่ฉันชนะ ฉันคำนับแล้วก็เดินลงจากสังเวียน กรรมการเรียกคู่น้ำหนักรุ่นต่อไปทันที ฉันเดินมาหาอาจารย์แล้วก็ยิ้มแก้มปลิทีเดียว
"ขอบคุณนะคะอาจารย์ที่ช่วยหนู"
อาจารย์ดนัยทำท่างง ๆ แล้วก็แสดงสีหน้าแบบไม่เข้าใจ
"ก็เรื่องที่อาจารย์ช่วยบอกให้หนูใช้ท่าฮาเน มากิโคมิไงคะ"
"อ๋อ...ครูไม่ได้พูดหรอก โน้นนายนัทเขาเป็นคนตะโกนไป"
ฉันรู้สึกหน้าเสียทีเดียว และนี่ก็เป็นครั้งแรกนับจากวันที่เราเลิกลากันไป ฉันเข้าไปขอบคุณพี่นัทโดยไม่สนใจว่าจะมีเหมี่ยวอยู่ด้วยหรือไม่...
"ขอบคุณค่ะ"
แล้วฉันก็เดินออกมา มานั่งใกล้ ๆ พี่โอม พี่โอมชมฉันอย่างไม่ขาดปากทีเดียว แต่ในขณะที่คุยกันอยู่นั้นฉันเหลือบไปเห็นเหมี่ยวคุยอยู่กับฝ่ายตรงข้ามแล้วหันมาจ้องที่ฉัน สายตาแบบนี้ฉันรู้สึกกลัวเหลือเกิน... ฝ่ายนั้นจ้องมองมาเป็นตาเดียวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จนฉันต้องสะกิดให้พี่โอมดู
"อย่าไปสนใจเลย...ดาวเธอนั่งดูไปก่อนนะพี่จพต้องขึ้นแข่งแล้ว"
ฉันรู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉันนั่งอยู่กับพี่แกะ แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามมาพี่แกะก็คงช่วยเหลือฉันไม่ได้หรอก...ฉันรู้สึกลางสังหรมันจะไม่ดีเลย สักพักฝ่ายตรงข้ามก็ตรงดิ่งมาหาฉันแล้วก็มีคนหนึ่งตบหน้าฉัน
"นี่...อะไรกันเนี่ย"
พวกนี้ไม่ตอบสักนิดจู่ ๆ ก็มารุมทำร้ายฉัน ฉันก็ต้องสู้ อาจารย์ก็เข้ามาห้ามคนพวกนี้ กรรมการก็เข้ามาห้าม ฉันเหลือบไปเห็นเหมี่ยวยืนยิ้มเยาะอยู่ห่าง ๆ ฉันรู้ทันทีเลยว่านี่ต้องเป็นแผนการของเหมี่ยวแน่ ๆ ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ ทีเดียว
"ผมขอประกาศตัดสิทธิ์ ห้ามไม่ให้นักกีฬาของสมาคมยูโดคังชิเข้ามาแข่งขันยูโดที่นี่อีกเป็นเวลา 4 ปี เพราะนักกีฬาเหล่านี้ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ใช้วิชาในทางที่ผิด จึงไม่สมควรเข้ามาแข่งที่นี่อีก นี่เป็นการลงโทษสถานเบา ประกาศนี้เริ่มมีสิทธิ์ใช้นับตั้งแต่พูดจบประโยคทันทีโดยไม่มีการต่อรอใด ๆ ทั้งสิ้น"
ประธานกรรมการลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ขึงขังจนดูน่ากลัว อย่างว่าแหละปาเน่าแค่ตัวเดียวก็ทำให้มันเหม็นไปทั้งค่องได้ น่าสงสารสมาคมคังชิจริง ๆ เลย กับอีแค่นักกีฬาไม่กี่คนที่ทำความเลวแต่กลับต้องถูกลงโทษทั้งสมาคม ฉันถึงกับอึ้งพูดไม่ออกทีเดียว
พอนักกีฬาพวกนี้ออกจากโรงยิมส์ เหมี่ยวก็หายไปด้วย พอฉันมารู้อีกทีก็รู้สึกสมน้ำหน้าแล้วละ เพราะคนเราเมื่ให้ทุกขืแก่ท่านทุกข์นั้นก็จะมาถึงตัวเร็วขึ้น เหมี่ยวโดนพวกนักกีฬาซ้อมซะกระอักกระอ่วง ไปแจ้งความตำรวจก็ไม่รับแจ้งเพราะบอกเขาไม่ได้อีกว่าใครทำร้าย...เห็นแล้วก็อดที่จะนึกขำไม่ได้
วันนี้ฉันได้เป็นนักกีฬาเขตแล้ว ฉันกำลังจะก้าวขึ้นไปให้สูงที่สุด ฉันจะทำให้ดีที่สุด นอกจากฉันจะได้เป็นตัวเขตแล้ว วันนี้ฉันยังได้มิตรภาพจากพี่นัทอีกด้วย ฉันต้องขอบคุณเขาจริง ๆ ที่ทำให้ฉันชนะได้ไม่อย่างนั้นฉันคงก้าวมาไม่ถึงจุดนี้
ติดตามตอนต่อไป ซึ่งจะเริ่มเข้มข้นกว่าเดิม...อย่าพลาดนะคะ
ขอขอบคุณที่ทุกท่านติดตามผลงานมาโดยตลอด