หลังอาน
เสือยิ้มมุมปาก
[ เพราะรักในสิ่งที่ทำ..จึงเลือกทำในสิ่งที่รัก ]
ห ลั ง อ า น
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
ย้อนไปราวๆ ครึ่งปีให้หลัง ฉันต้องรอนแรมไปค้างคืนที่ในตัวเมืองสงขลา ณ มุมหนึ่ง ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลจิตเวชราชนครินทร์ แต่ก็ติดปากกับชื่อเก๋ๆ ว่า โรง-บาน-ประสาท (ความเคยชิน + การเล่นลิ้นของชาวใต้) นั่นแหละ! ฉันไปที่นั่น..?! เป็นผู้เฝ้าไข้ตามคำบัญชาจากเบื้องบน
..จนกระทั่ง..ฉันเต็มที่..เต็มทนกับความเบื่อหน่ายที่ต้องทนนั่ง..นอนอยู่ในกรอบมีมิติ ..ดีดตัวจากเสื่อข้างเตียงผู้ป่วย พลันหัวก็กระแทก ..โป๊กก..ก เข้าอย่างจังกับขาเตียง และค่อยๆเปิดประตู ลงบันไดไปยังที่ที่หนึ่ง ด้วยความครึ้มใจ แน่ล่ะ! ยังไม่มีใครรู้..
ฉันค่อยๆเอื้อมตัวเปิดประตูรถ หยิบกระดานไม้อัด พร้อมด้วยกระดาษปอนด์ 2 แผ่น ( เปล่าๆๆ ไม่ได้เอาไปสเกตรูปหรอก แต่จะเอาไป เขียน ) เปิดท้ายรถ ใช้พลังช้างยกจักรยานเสือภูเขา สีเหลืองแปร๋น .. สายตามุ่งมั่น มองลอดรั้ว .. นู่น!ลิบๆเลย
.........กายพร้อม-ใจพร้อม
สองล้อเลื่อนเคลื่อนไปในทางหน้า
เห็นแผ่นฟ้าทิวสนโอนลู่ไหว
ยินเสียงคลื่นระลอกน้ำครืนครืนไป
มือจับแฮนด์รถไว้..ใจเบิกบาน
ฉันควบเสือ..ตะบึงมาเรื่อยๆผ่านย่านตลาดเก้าเส้ง ลดเลี้ยวไปละแวกถนนสายต้นสน ปั่นไปบนเส้นทางพิเศษสำหรับจักรยาน ตอนเช้าๆ อากาศกำลังดี ลมพัดอ่อนๆ เย็นสบาย แหงนหน้าคอตั้งบ่า ฟ้าใสมีเมฆสีขาวปกคลุมบางๆ ปั่นไปเรื่อยๆ เริ่มปวดน่องตุบๆ แวะพักข้างทางหยิบกระดานมาหนีบกระดาษ นั่งแหมะบนที่เหมาะริมทางเท้านั่นแหละ เริ่มต้นงานเขียนชิ้นเล็กๆอย่างสุขใจ อาจจะไร้ซึ่งราคา..แต่เปี่ยมด้วยคุณค่าด้านกมลาใจ มันดีนะ! ที่ได้ขีดได้เขียนท่ามกลาง ฟ้าสวย น้ำใส ใต้เงาสน ผืนทรายขาวละเอียด นี่แหละ.. โลกส่วนตัว ..ที่ฉันโปรดปรานที่สุด เหมือนดั่งฉันได้ปลีกวิเวกออกจากความวุ่นวายรอบตัว เหมือนบนโลกใบนี้ ที่ตรงนี้มีเพียงฉันคนเดียว ฉันบรรจงบรรทัดแรก ด้วยความตั้งใจยิ่ง
..ครั้งหนึ่งนั้นฉันเดินบนปุยฟ้า
..เดินท่ามกลางเวหาอันกว้างใหญ่
เกิดเป็นเทวดาแสนสุขใจ..
ทำอะไรอำเภอใจในทางดี..
..โลกเรานี้บางคนว่านรก
..สกปรกหมกไหม้ไร้ราศี
เพราะคนเรานั้นขาดกระทำดี..
จึงไม่มีความสุขสำราญใจ..
..ถ้าคนเราลองทำกรรมดีบ้าง
..ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้สดใส
เหมือนฉันเดินท่ามกลางปุยฟ้าไกล..
แสนสุขใจศานตรสเพราะทำดี..
ตุลา 46
แม้เนื้อหามันจะไม่ค่อยเกี่ยวกับบรรยากาศสักเท่าใดนัก แต่สุนทรียภาพทางอารมณ์และความคิดในเวลานั้น มันบ่งบอก ให้กระเสือกระสนด้นมือไปตามใจฝัน ร้อยรำพันรจนาประสาเขียน ใช้ดินสอร่างภาพด้วยความเพียร รูปสำเร็จไม่แนบเนียนแต่เนิบใจ ...
..ฉันปั่นจักรยานไปสักพักก็ถึง ท่าแพขนานยนต์ ลังเลรีรออยู่พักหนึ่ง ตัดสินใจจอดรถไว้ เดินไปตามลู่จ่ายเงินเพื่อลงแพ ค่าโดยสารครานั้น ได้ยินแล้วทำให้ฉันตกตะลึง ..100 สตางค์ คำถามแรกที่เกิดขึ้นและล้วนเฟ้นหาคำตอบของตัวมันเอง ..ไม่ขาดทุนเหรอเนี่ย..
ตอนที่ก้าวลงแพก็ไม่มีจุดมุ่งหมาย คิดแค่ว่า ยืนไป-ยืนกลับ อยากสัมผัสวิถีชีวิตชาวเลดูบ้าง .. สุดแสนจะมีเสน่ห์ เย้ายวน ดึงดูด และกลายเป็นตราตรึงในที่สุด ยืนไปเรื่อยๆ สายตาทั้งสองข้าง ก็มองเชิดไปข้างหน้า ราวกับว่า ผืนฟ้าแห่งนี้ มีเพียงฉันเป็นเจ้าของ ... และเพียงครู่หนึ่ง ฉันก็ได้ยินเสียงพ่อลูก คู่หนึ่งคุยกัน ไม่ได้มีสาระอะไรที่จะจับความได้ แต่มันจับใจ ((ความรู้สึก))
ลูก: พ่อๆ เรือมันอิจมหม่ายนิ ?
พ่อ: อิ๊!ม่ายจมหรอก เรือมันเติบ
ระหว่างนั้น คุณลูกก็ชะโงกหน้า คาดว่าคงจะตื่นเต้นกับกระแสน้ำที่กระเพื่อมไปมา
พ่อ: เห่ๆ!ระวังแว่นอิเหลิ่นนะลูก
ลูก: ม่ายเหลิ่นหรอกพ่อเหอ ..ครุบทัน..
แล้วเสียงหัวเราะต่างทำนองก็ดังขึ้นพร้อมกัน..
ฉันยืนไป..สายตาก็มองลงน้ำ..ดูวิถีชลที่กระเพื่อม..ดูไปดูมา ฉันเริ่มเกิดอาการลมใส่ เวียนหัว คลื่นไส้ หน้ามืด ... ((ยังดีที่ยังรอด)) พอขึ้นจากแพแล้วฉันเริ่มทนไม่ไหวกับสังขารที่ร่อแร่ในขณะนั้น โทร.หาพ่อให้มารับที่ท่าเทียบแพ พอพ่อรู้ว่าฉันปั่นมาไกลถึงนี่ .. เต็มๆเลย กับเทศนากัณฐ์ใหญ่ เป็นต้นว่า อันตราย เดี๋ยวไม่สบาย บ้างล่ะ..
แต่..มันก็คุ้มนะ กับเส้นทางริมวิถี หนึ่งประสบการณ์ที่น่าจดจำ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ พร้อมด้วยบทกวีสั้นที่เกิดขึ้นจากสุนทรียภาพทางอารมณ์ในขณะนั้น ..ได้ทราบถึงสมรรถภาพทางกายของตัวเอง (ไม่เอาไหนเลย) แต่ก็ยอม เพราะฉันคนนี้
รักในสิ่งที่ทำ...จึงเลือกทำในสิ่งที่รัก