หน้า-ต่าง
พัชร์
หน้า-ต่าง
ถ้าสักวันหนึ่ง ฉันหายไปจากโลกนี้เสียเฉยๆ จะมีใครถามถึงและใส่ใจในตัวฉันบ้างไหม แล้วตัวฉันล่ะต้องการคำตอบกลับที่จริงใจมากน้อยแค่ไหนกัน
วาตต์เบือนหน้าหนีจากกระจกเงาที่เธอนั่งอยู่ตรงหน้าเป็นเวลานาน แสงสลัวที่เล็ดรอดผ่านช่องพัดลมระบายอากาศเริ่มจะเลือนรางหายไป วันนี้เป็นวันอะไรนะ วาตต์ได้แต่ก้มหน้าก้มตากล่าวรำพึงรำพันพร้อมถอนหายใจ - เสียงถอนหายใจ ไม่สามารถที่จะตอบความหมายที่ตัวเธอนั้นอยากรู้ และยอมรับได้ไม่ใช่หรือ -
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปทางกระจกเงาอีกครั้ง ภายในห้องหับอับแสงทรงสี่เหลี่ยมที่กำลังจะถูกปกคลุมไปด้วยความมืด
ความกระวนกระวาย และสับสนที่คุกรุ่นอยู่ในอณูความคิดต่างๆ นาๆ นั้น เริ่มที่จะเผยความหมายอะไรบางอย่าง
อีกไม่นานก็คงใกล้ถึงวันนั้นแล้วสินะ วันที่ตัวฉันต้องยอมรับ เธอเดินหันหลังออกจากกระจกเงาด้วยความหมดหวังผสมผสานกับความเชื่อมั่นเพียงน้อยนิด ในใจเธอเพียงแค่อยากจะเอ่ยคำลาจากความจำเจที่จำใจที่เธอนั้นต้องยอมรับในไม่ช้านี้...เพียงเท่านั้น
หลังจากที่ละสายตาจากกระจกเงาบานเล็กที่ตั้งติดอยู่กับผนังห้อง ความว่างเปล่าได้กลับคืนสู่ห้วงความคิดของเธอเช่นเคย
มันเป็นการยากมิใช่หรือกับการต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ดวงตาของเธอกำลังจะมืดมิดเปรียบเสมือนแสงไฟสลัว ถึงจะหลับตาลงสักกี่ครั้งแต่การลืมตาตื่นแล้วไม่สามารถเห็นสิ่งใด...มันช่างขมขื่นนัก
สิ้นลมหายใจไปเสียกี่ครั้งก็ยังไม่สามารถที่จะเอาชนะบางสิ่งที่ตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะทำอะไรกับมันได้ เธอเปรยขึ้นมาในความคิด
คำถามที่ปลงตกกับความคิด ฉันจะอยู่ได้อย่างไรโดยไม่มีดวงตาคู่นี้ จะอยู่ได้อย่างไรเมื่อไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟที่สอดส่องเล็ดรอดผ่านตา มีเวลาอยู่เพียงน้อยนิดเหลือเกินที่จะต้องยอมรับกับสิ่งที่แปลงเปลี่ยน ช่วงเวลาเพียงน้อยนิดนั้นทำให้วาตต์ได้ตระหนักถึงความว่างเปล่าที่มันคอยกัดกร่อนความรู้สึกของเธอให้ขาดหายไปทีละนิดๆ
- ต่อไปความมืดมิดจะมาปกปิดดวงตาฉัน -
จะทำอย่างไรกับมันดี ในเมื่อ เมื่อวานวันฉันยังมีความหวังอยู่เลย วาตต์พยายามที่จะจ้องมองไปยังรูปถ่ายในกรอบรูปที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก เธอค่อยๆ ก้าวออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงแสงสลัวสาดส่อง สองเท้าที่ค่อยๆ ย่างก้าวกำลังจะหยุดย่ำลงบนพื้นที่หน้ากรอบรูปที่เธอพยายามจับจ้อง เธอเอื้อมมือหยิบจับมันขึ้นมาอย่างช้าๆ คล้ายกับรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายกับการที่เธอจะได้สัมผัสกรอบรูปนั้นจากการมองเห็นของตาทั้งสองข้างของตนเอง น้ำใสๆที่ไหลเปรอะลงบนผิวแก้มได้ช่วยให้ความเจ็บปวดของเธอลดทุเลาลงเลย
นี่หรือสิ่งที่ฉันต้องสูญเสีย จากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น วาตต์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรคืนกลับมาได้อีก เธอค่อยๆ เอานิ้วโป้งของเธอปาดหยดน้ำตาที่ไหลหล่นลงบนกรอบรูป รูปในกรอบนั้นแสดงถึงรูปของสามี และลูกชายของเธอ เธอกอดมันไว้แน่นกับอกพร้อมกับความรู้สึกที่บอบช้ำเป็นที่สุด
มันจะมีค่าอะไรกับการที่ได้มองเห็น เพราะสิ่งที่เธอต้องการที่จะเห็น และต้องการที่จะคอยเอาใจใส่ดูแลนั้นได้จากเธอไปเสียแล้ว
ความเงียบสงัดได้เข้ามาสร้างความคุ้นเคยในโสตประสาทของวาตต์อยู่เป็นพักใหญ่แล้วจนกระทั่งมีเสียงๆ หนึ่งได้ดังขึ้น เสียงดังกล่าวได้ทำลายความคุ้นเคยที่มีอยู่นั้นจนหมดสิ้น
ที่รัก คุณทำอะไรอยู่?
นี่ฉันหูฝาดไปหรือ? วาตต์ตั้งคำถามให้กับตัวเอง
เมื่อวานผมได้คุยกับคุณหมอเรื่องอาการของคุณแล้วนะ เค้าบอกว่าเราพอมีหวังนะคุณรู้ไหม
ไป...เดี๋ยวผมจะพาคุณออกไปเดินเล่นข้างนอก ลูกเราเพิ่งกลับมาจากไปเรียน เดี๋ยวผมจะชวนเค้าไปด้วย
แต่นี่ฟ้ามันค่อนข้างจะมืดแล้วนะ วาตต์ครุ่นคิดอยู่ในใจ
เออ...ใช่แล้ว ผมจะถามคุณอย่าง ทำไมคุณชอบปิดหน้าต่างกับม่านนักนะ เปิดรับแสงข้างนอกให้มันรอดผ่านเข้ามาบ้างสิ
วาตต์วางกรอบรูปลงแล้วค่อยๆ เดินไปยังต้นเสียงของสามีเธอ สามีของเธอคลี่ม่านออกเชิงว่าจะให้วาตต์นั้นได้รู้ว่าอากาศภายนอกบ้าน และห้องที่เธอเคยนั่งอยู่นั้นช่างสว่างไสว แต่ทว่าแสงสลัวที่เธอเห็นว่าเล็ดรอดผ่านช่องม่านเมื่อครู่นั้นก็ยังคงเป็นความมืดมนอย่างเช่นเคย
คุณไม่เห็นหรือวาตต์...ว่าวันนี้ท้องฟ้าออกจะสดใส คุณดูสิ
พ่อ...ท้องฟ้ามันจะไปสดใสได้อย่างไรเมื่อพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว ยอมรับความจริงเถอะครับพ่อ ผมเองก็คิดถึงแม่เค้าเหมือนกัน
วาตต์ยืนอึ้งเงียบอยู่สักพัก น้ำใสๆ ที่ไหลเปรอะลงบนแก้มที่แทบจะกลายเป็นคราบเหนียวเกรอะอยู่นั้นไหลหลั่งลงมาอีกครั้ง ความหวังที่แทบจะหมดสิ้นไปแล้วนั้นกลับยิ่งทวีความบอบช้ำให้กับเธอมากขึ้น
- นี่หรือคำถามที่ตัวฉันนั้นต้องการคำตอบ
วาตต์ได้รับคำตอบที่เธอนั้นอยากรู้มันอย่างจริงใจแล้ว
^ พู่กัน ^