มาถึงโค้งสุดท้ายของการปฏิบัติแล้วนะคะ กว่าจะลงมือเขียนตรงนี้ได้ ต้องทำสมาธิอยู่นาน ผ่านมาได้เป็นอาทิตย์ ตัวรู้(ในภาษาธรรมท่านบอกว่า คือพุทธ) ก็ไม่ยอมเกิด ก็เราห่างเหินการปฏิบัติมานาน ปล่อยให้สิ่งแวดล้อมมันกลืนกินไปหมด กว่าจะเข้าสมาธิได้แต่ละครั้งก็นาน วันสุดท้ายสิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันเพื่อทดสอบอารมณ์คือ เก็บตัวเอง นั่งสมาธิ เดินจงกลม ทั้งวัน เวลาทานข้าวจะมีคนยกมาให้ถึงที่ วันนี้ไม่ได้เดินและนั่งอยู่ที่เดิมแล้วนะคะ ทุกคนจะย้ายเข้ากุฎิ ไม่มีใครข้องแวะกับใคร หลวงพ่อท่านอบรมก่อนการเก็บอารมณ์ว่า ให้ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ อย่าหย่อน และอย่าตึงเกินไป และในความพอดีให้ปล่อยวาง อย่าไปคิดว่า ตอนนี้เรามาถึงตรงไหน ติดอะไรบ้าง อย่ายึดติดอะไรทั้งปวง ท่านเล่าเรื่องให้ฟังดังนี้นะคะ ลองเอาเชือกมาผูกไว้ 2 ต้น หรือ 2 เสา หรือ 2 หลัก ดึงปลายทั้งสองข้างให้ตึง คือดึงให้มันตึงอย่างแรงเสร็จแล้วผูกไว้ลองเอามีดมาตัดตรงกลางดู พอมันขาด มันก็จะกระเด็นหรือมันหดเข้าไปถึงเสาหรือหลักนั้น อีกเส้นก็หดเข้าไปถึงเสาหรือหลักนี้ มันไม่สามารถต่อกันได้ จึงไม่ต้องไปและไม่ต้องมา ตรงนี้เราเข้าใจว่า เปรียบเหมือนอารมณ์คนเราเวลาตั้งใจมากไปพอเกิดผิดหวังไม่ได้อย่างที่ตั้งใจแล้วจะเสียใจ บางคนจะถึงกับท้อแท้ไปเลย ในภาษาธรรมท่านบอกว่า เป็นคนหมดเชื้อ หมายถึงที่เราปฏิบัติมาทั้งหมด มันกลับไปเริ่มที่เก่า ตลอดทั้งวันที่เราปฏิบัติ เราก็ยังติดปีติ เหมือนเดิม ตรงนี้เราอธิบายได้ว่า เราติดสุข พอใจที่จะสุข ไม่อยากหลุดพ้นจากตรงนี้ เพราะทุกอย่างที่วิ่งเข้าหาเราในขั้นตอนนี้ เป็นสีชมพูทั้งหมด ไม่ง่วง ไม่เหนื่อย ไม่ปวดขา ไม่ปวดหลัง ในใจเราต้องการที่จะปฏิบติแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ภาพที่ปรากฎทางมโนธรรมคือ มันเหมือนเราเดินไปเจอทุ่งหญ้าเขียวขจี มีผีเสื้อหลากหลายชนิด มีกลิ่นหอมของดอกไม้ มีอากาศบริสุทธิ์ ให้เราได้สัมผัส เราวนเวียนอยู่ตรงนี้ อยู่กับภาพเหล่านี้ตลอดทั้งวันบางครั้งภาพทีซ้อนขึ้นมามันเหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ เรามองเห็นตัวเราแต่งชุดขาวสวยมาก เดินในทุ่งโล่ง ๆ อากาศเย็นสบาย สายลมและแสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องต้องตัวเรา เรามีความสุขมาก บางภาพเป็นเหมือนเรานั่งอยู่บนก้อนเมฆ แล้วก้อนเมฆพาล่องลอยไปในที่ต่าง ๆ เราสุข ไม่อยากหนีไปไหน ตกเย็นทุกคนเดินเข้าห้องอบรม วันนี้หลังจากที่ทำวัตรเย็นเสร็จเราก็จะได้กลับบ้าน เราได้กลิ่นหอมของป๊ามาตั้งแต่ไกล เราได้กลิ่นน้ำหอมที่มามี้เราเคยใช้ ยังไม่เจอตัวท่านก็ทราบว่าท่านมารอรับ การรับกลิ่นเหล่านี้เรารู้สึกได้ตั้งแต่วันที่ 5 ของการปฏิบัติ ทุกเย็นเราจะรับรู้ถึงกลิ่นต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทางจมูก เรารับรู้ถึงความละเอียดของการได้กลิ่นนั้น แม้อยู่ห่าง ๆ เราก็ยังรับทราบ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเราในช่วงที่เราปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านถามที่ละคน โดยท่านให้เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในช่วงเก็บอารมณ์ ท่านสรุปให้เราทราบว่า อารมณ์เราสงบเหมือนอยู่ในถ้ำ เพราะยังติดกิเลส ติดสุข ไม่สามารถปล่อยวางจากสิ่งที่เป็นสุขไปได้ ในกรณีของเราท่านยังขยายความต่อไปว่า บางคนที่เป็นอย่างเรา เขาจะมองเห็นตัวเลข และตรงนี้แหละที่เกิดการบอกเลขใบ้หวย สิ่งที่มาปรากฎให้เราเห็น ในภาษาธรรมเขาเรียกนิมิต ก่อนกลับบ้านท่านบอกเราว่า เราเป็นคนมีจิตใจที่เอื้อต่อการทำดี หากเราสามารถละ วาง สิ่งที่เป็นสุขต่าง ๆ ได้ เราจะเห็นธรรม หลวงพ่อท่านบอกเราว่า เราอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก บุญบารมีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ติดตัวเรามา ขอให้ขยันปฏิบัติธรรม อย่าละทิ้งเสียทีเดียว เราไม่ได้รับคำท่านทันทีหรอกนะ แต่ในใจเราคิดว่า หากเป็นสิ่งดี เราจะปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จากที่เคยทุกข์ จากที่เคยปิดกั้นตัวเอง มาถึงจุดนี้เราไม่มีสิ่งนั้นหลงเหลืออยู่ เรากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าใจทุกคนรอบข้าง จากที่เคยแว้ด ๆ ใส่คนนั้นคนนี้เวลาที่เราไม่ได้ดั่งใจ เราก็กลับกลายเป็นคนที่คอยเอาอกเอาใจคนอื่นรอบข้าง จากที่เคยวิ่ง เดิน ลงส้นเท้า เรากลับเป็นคนที่เดินเบาขึ้น พูดเบา นิ่ม กริยาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้ปัจจุบันเราจะไม่ค่อยได้ปฏิบัติมากนัก ก็ยังเก็บอาการเหล่านี้ไว้กับตัวเองเสมอ ใคร่ขอจบการปฏิบัติรรมไว้ตรงนี้นะคะ ต่อไปคงเป็นการเขียนเล่าเรื่องเกร็ดเล้ก ๆ น้อย ๆ ของการปฏิบัติธรรม จะเน้นในเห็นเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดกับบุคคลรอบข้างที่เข้าร่วมปฏิบัติด้วยกันค่ะ
20 พฤษภาคม 2547 10:47 น. - comment id 74283
... มีเวลา ปฏิบัติธรรมต่อได้ จะดีมากนะ ครับ ...
20 พฤษภาคม 2547 20:25 น. - comment id 74293
พี่มัท..เขียนได้ดีมากเลยคะ... เรน..อ่าน ทุกตัว..อักษร.. ให้ ความรู้สึกดีจัง..นะคะ.. เรน..จะติดตาม..อ่านงาน..ที่มีคุณค่า.. ..ของพี่มัท ..นะคะ..
20 พฤษภาคม 2547 20:47 น. - comment id 74294
อนุโมทนาครับผม งานเขียนของคุณมัท ทำให้ผมอยากกลับเข้าวัดอีก ก็ได้แต่ปฏิบัติที่บ้าน ที่ที่ทำงาน ไปพราง
21 พฤษภาคม 2547 04:58 น. - comment id 74299
พี่เคยลองนั่งสมาธิ แต่ทว่ามองไม่เห็นอะไรเลย สงสัย จะทำไม่ถึงขั้นที่ว่า เดี๋ยวนี้คงไม่มีเวลาทำ ถึงทำคงไม่ได้ เพราะใจชอบคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ถือว่ามารับความรู้ใหม่เพิ่มเติมครับ