ฤทธิ์อภิญญา....................ตอนจบ

วสุนทรา

ภายในถ้ำ ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับถ้ำที่ กวิน เวคิน และทินกร เคยขึ้นมาตอนที่หลวงปู่ได้สอนพวกเขา พระภิกษุ วัยประมาณ 40 ปี ผิวเหลืองสวย นั่งอยู่บนแท่นหินสีขาว ใบหน้าท่านยิ้มแย้มอิ่มเอิบ แฝงแววเมตตาเปี่ยมล้น ท่านใช้สายตาที่ปราณี มองดู พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านกล่าวกับพระภิกษุหนุ่มว่า 
ถ้ำแห่งนี้เป็นที่อดีตชาติของฉันได้รับการสั่งสอนจากหลวงปู่ และเป็นที่ๆฉันต้องมาอยู่ที่นี่ในชาติปัจจุบัน แม้ว่ากาลเวลาแห่งอดีตชาติของฉันจะได้ผ่านไปนานแล้ว แต่สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เรื่องราวทั้งหมดที่ฉันเล่าให้เธอฟัง เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆแห่งอดีตชาติของฉันและเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบันชาติของฉันเช่นกัน และที่ฉันเล่าให้เธอฟัง เพราะมันเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องมารอเธอ ในที่แห่งนี้ 
พระภิกษุหนุ่ม ขณะถามขึ้น พระภิกษุท่านนั้น พระภิกษุท่านนั้น พูดขึ้นอย่างกะทันหัน 
เธอสงสัยหรือว่าฉันเป็นใครในบรรดาเด็กทั้งสามคนนั้น ฉันคือเด็กที่ชื่อทินกร ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาตินี้ อีกสองท่านได้มรณะภาพไปแล้ว 
พระภิกษุหนุ่มถามด้วยความเคารพว่า 
ถ้าเช่นนั้น หลวงพี่ทั้งสององค์ท่านมรณะภาพตอนอายุยังน้อย 
พระภิกษุที่ถูกเรียกสรรพนามเป็นหลวงพี่ หลวงเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า 
เธอคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่หรือ 
ประมาณ 40 ปีขอรับ 
แต่ฉันว่า ฉันอายุมากกว่านั้น เท่าไหร่ ฉันจำไม่ได้ จำได้แต่ว่าฉันมีหน้าที่สอนพระธุดงส์ที่บังเอิญมาเจอฉันในที่แห่งนี้ อย่างเธอ มาหลายวาระ และพวกเขาต่างก็มรณะภาพด้วยวัยเกินแปดสิบปีทั้งนั้น 
พระภิกษุหนุ่มรับฟังอย่างตะลึงลาน 
เธออย่าสงสัยอะไรเลย มันก็แค่ธาตุขันธ์ของฉันเท่านั้น อยู่ได้เพราะฉันอธิษฐานไว้ แม้ว่าจะไม่ฉันอะไรเลยฉันก็อยู่ได้ หรือจะให้เปลี่ยนกายขันธ์ของฉัน ฉันสามารถเปลี่ยนได้ในรูปลักษณะของพระแก่ พระหนุ่ม บางทีฉันก็ตลก ที่มีหลายคนที่อยากจะพบฉัน ฉันก็เคยเดินผ่านพวกเขามาแล้ว แทบจะเรียกว่า ใกล้แค่เอื้อม พวกเขายังไม่รู้เลยว่า ฉันคือ คนที่เขาอยากจะพบ 
เหมือนกับธรรมนั่นแหละ ลูก ธรรมนั้นมีทุกหนทุกแห่ง ทุกที่ธรรมเกิดไม่ยากเลย ธรรมเป็นของกลางไม่ยาก แต่ไม่ง่ายเกินไป ธรรมะไม่ใช่สิ่งไกลตัวเหมือน พระอาทิตย์ พระจันทร์ แต่ธรรมะ คือ ชีวิตเราดี ๆนี่เอง ดังนั้นที่หลายคนบอกว่าไม่พบธรรมเลย ทำไมปฏิบัติธรรมมันยาก แท้ที่จริงแล้ว เขาไม่มองธรรมที่ใจ เขามองข้ามใจตนเอง มัวแต่ไปดูคนอื่น แล้วจะพบธรรมได้อย่างไร 
เราอยู่กับบ้านทุก ๆวัน ก็ต้องทำความสะอาดบ้าน ของเรา ให้มันสะอาด ไม่ใช่คอยไปปัดกวาดบ้านให้คนอื่น จนละเลยบ้านของตัวเอง บ้านก็เลยสกปรก เปรียบกับจิตที่ขาดปัญญา ขาดความฉลาด เพราะมัวแต่ไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน จำไว้นะลูก องค์สมเด็จพระบรมครู ตรัสไว้ว่า 
อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง หมายความว่า ใครเขาจะดี จะเลว ก็เป็นเรื่องของเขา เราควรมองหาความเลวของกาย วาจา ใจ ของเรา ให้เป็นปกติ เมื่อรู้ว่าส่วนไหนเลว ส่วนไหนบกพร่อง เราก็แก้ไข ปรับปรุงส่วนนั้น เมื่อไหร่ที่ค้นหาความเลว เพราะได้ทำลายความเลวนั้นออกจากจิตหมดแล้ว เมื่อนั้นความดีก็จะปรากฏเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอเป็นคนดี เมื่อนั้นโลกทั้งโลกนี้ก็หาคนเลวไม่ได้หรอกลูก เพราะไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว เขาอยู่และกระทำการต่างๆ มันเนื่องเพราะ กฎของกรรมทั้งนั้น และมันก็เป็นธรรมดาของโลก 
ภิกษุหนุ่มรู้สึกปิติ อิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก 
ฉันรู้มูลเหตุที่เธอต้องออกธุดงส์ การหนีไม่ใช่สิ่งที่แก้ปัญหา แต่ว่าเป็นการดีที่เธอยังไม่หลวงใหล ไปตามคำเชิญชวน เธอตัดสินใจถูกที่เลือกออกธุดงส์ อย่างน้อยตอนนี้เธอก็เหมือนกับนักมวยที่จะต้องฝึกซ้อม เพื่อเตรียมตัวขึ้นเวทีต่อสู้ ดังนั้น ตอนนี้หน้าที่ของเธอคือ ฝึกซ้อมจิต เพื่อที่จะต่อสู้กับกิเลสต่าง ๆ แต่เธออย่าลืมนักมวนที่ฝึกซ้อมอย่างเดียว ยังไม่ได้ขึ้นชก มักคิกว่า ตัวเองแน่เสมอ เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอคู่ต่อสู้ที่แท้จริง คือ กิเลส ถ้าเธอไม่แกร่งพอ ก็แพ้ เธอต้องกลับมาซ้อมใหม่ การอยี่ในป่าเธอไม่ได้สัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง ดังนั้นบางครั้ง จิตของเธออาจจะสงบ ดังนั้นเพื่อเป็นการทดสอบ เมื่อฉันแนะนำเธอทุกอย่างตามหน้าที่ของฉันแล้ว เธอก็จงกลับออกไปเพื่อพิสูจน์ว่า เธอแน่จริงหรือไม่ 
กระผมไม่สามารถอยู่ป่าตลอดชีวิตหรือครับหลวงพ่อ 
ที่เธอไม่สามารถอยู่ได้เพราะเป็นหนี้บุคคลอื่นเขามาก ดังนั้นชาตินี้ของเธอ เธอก็ต้องใช้หนี้พวกเขา นี่เป็นหน้าที่โดยตรงของเธอ แล้วเธอจะรู้เอง 
แล้วทำไมจึงมีพระที่ท่านอยู่ในป่าได้ขอรับ 
ทั้งนี้เพราะ พระที่ท่านอยู่ในป่า โดยส่วนมาก ท่านฝึกแบบ วิชชาสาม อภิญญา 6 หรือปฏิสัมภิทาญาณ ท่านกลัวคนเป็นบาปถ้าหากไปอยู่ในเมือง แต่ก็เฉพาะท่านที่มีหน้าที่สอนพระธุดงส์อย่างที่ฉันทำอยู่ เป็นหน้าที่ๆฉันต้องทำในฐานะบุตรของพระพุทธเจ้า เพราะฉันได้ปรารถนามอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระพิชิตมาร ฉันก็ต้องทำหน้าของฉันจนกว่าจะหมดเวลา 
ฉันหวังว่า เธอกลับออกไป คงจะไม่แพ้ พวกวัวเขาอ่อน นะ เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด ฉันจะเล่าให้ฟัง ตอนที่ฉันยังเป็นหนุ่มน้อย หลวงปู่ยังไม่ได้พาฉันออกบวช ฉันเคยอ่าน และเคยเห็นพวกนี้มามาก จนต่อเมื่อฉันได้ปฏิบัติธรรมและรู้เห็นอะไรมากมาย ฉันเคยถามพระว่า 
สมัยที่พระองค์เป็นเจ้าชาย มีนางบำเรอหกหมื่น ท่านชมการแสดงนี้แล้ว ทรงจัดการอย่างไรกับชีวิตในตอนนั้น พระพุทธเจ้าข้า 
ทรงแย้มพระโอษฐ์ฉันเมตตา แล้วตรัสว่า 
ถ้าเธอหมายถึง sex ฉันไม่ได้ดูหนังแห้งอย่างเธอ ฉันดูหนังสด จบแล้ว OK มีสถานการณ์รองรับ แต่เจ้าชายครั้งกระโน้น มิได้กามตายด้าน กำหนดรู้เขา(นารี) รู้เรา แต่ไม่ประกอบกิจนั้น และพวกเขาไม่อารมณ์ค้าง ไม่คลุ้มคลั่ง เจ้าชายกล่าวขอบคุณผู้มุ่งบำเรอว่า ภักดี แต่เป็นกิจที่ทำให้เราละไม่ได้ ธรรมบทกล่าวว่า ทุกสิ่งอาศัยอยู่เพื่อที่จะละ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งอาศัยแล้วละไม่ได้ คือ กามราคะ ยิ่งดื่มด่ำยิ่งกระหายเหมือนไฟไม่อิ่มเชื้อ ทะเลไม่อิ่มน้ำ และสัตว์ติดภพ ไม่อิ่มตัณหา เธออย่าสงสัยเลยว่า ฉันจะรู้สึกอย่างไร เธอจงมุ่งทานเสียสละความต้องการออกไป ชวนบริวารถวายเป็นพุทธบูชา อย่าบริโภคกามเลย สกปรก เนิ่นช้า 
หลวงพ่อพูดจบท่านยิ้มอย่างขำๆ คล้ายรู้ว่า ภิกษุหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ 
เธออย่าเดาเปะปะว่าฉันเป็นพระอรหันต์ ไป การปฏิบัติของฉัน ฉันให้เป็นศูนย์ มีคำสอนว่า พระอรหันต์สามารถยิ้มได้ แม้ในทะเลแห่งกองเพลิง เพลิงดูถูก กองป่วย และพระอรหันต์ อยู่ที่ไหน ที่นั่นมีแต่ความรื่นรมย์ 
ฉันอยู่ได้ด้วยการยืม ยืมอารมณ์พระอรหันต์มาใช้ ยืมของคน ยืมทุกอย่างต้องใช้หนี้ ต้องส่งคืน แต่ทว่า ฉันยืมอารมณ์พระอรหันต์มาใช้ ฉันไม่ต้องขออนุมัติ ไม่ต้องส่งคืน ไม่ต้องจ่ายดอก ไม่ต้องใช้หนี้ ยืมตอนไหนหรือ ก็ตอนที่จิตกระทบ ราคะ โทสะ โมหะ นั่นแหละ เขาดูถูกยิ้ม ใจเย็น ไม่ต้องทำใจ มันหลุดเอง เขาหยิบยื่น ความไม่เป็นธรรมให้ ยิ้ม 
มันเกิดก็ดับเสีย ทำไป บางวันดี บางวันไม่ดี สุดแท้แต่มันจะเป็น ไม่ตั้งเป้าแล้วบีบบังคับ ไม่ทำร้ายจิตพระอริยเจ้า ถ้าเราไม่เป็นแต่เราใช้คุณธรรมของท่าน ไม่ทำร้ายลูกตถาตค กายเป็นลูกพ่อแม่ จิตที่กำลังฝึกกรรมฐานเป็นลูกพระพุทธเจ้า ตัวเราก็อยู่โรงเรียนทางโลก จิตเราก็เข้าโรงเรียนของพระพุทธเจ้า ทุกข์มีอย่างม อย่าไปจับมัน เหมือนไฟร้อนอย่าจับ ขี้เหม็น อย่าจับ ปวดร้าว อย่าจองไว้เอาละวันนี้ฉันสอนเธอแค่นี้ก่อน ให้เธอเอาไปใคร่ครวญด้วยปัญญา พรุ่งนี้ ฉันจะพาเธอไปทัวร์ที่อื่นบ้าง  
พระภิกษุหนุ่มกราบท่าน สามครั้ง พอเงยหน้า ท่านก็หายไปแล้ว 
.............................................................................................
ป่าแห่งนี้มีต้นไม้ขนาดมหึมารายล้อมเต็มไปหมด พระภิกษุหนุ่มเดินตามหลังหลวงพ่อ ที่บังเอิญพบท่านในถ้ำขณะที่เดินธุดงส์มาแถวทิวเขาพนมดงรัก 
หลวงพ่อถามพระภิกษุหนุ่มว่า 
เธอคิดว่าที่นี่คือที่ไหน 
กระผมคิดว่า ที่นี่คงเป็นป่าหิมพานต์ สมัยที่อดีตชาติหลวงพ่อเคยแอบมาเล่นที่นี่ 
ฉันจะพาเธอไปดูอะไรสักอย่าง 
หลวงพ่อเดินไม่กี่ก้าว ก็ถึงสถานที่อยู่กันคนละซีกโลก น้ำตกสวยสูงงามตระหง่าน ดอกไม้พันธุ์ที่ไม่มีในโลก บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาตามลม พื้นน้ำตกส่องประกายสีทองงามจับตา และไม่ไกลจากน้ำตกฟากตรงข้าม เสือ เก้งกวาง กำลังนั่งคลอเคลียราวกับ พวกมันไม่รู้ว่าต่างก็เป็นสัตว์พรานและสัตว์เหยื่อซึ่งกันและกัน 
หลวงพ่อพูดขึ้น 
สถานที่แห่งนี้แหละ ที่มีทรายเป็นทองคำ เสือเก้งกวางเป็นเพื่อนเล่น สังเกตเห็นไหมว่าใต้พื้นน้ำตกมีประกายสีทองเหลืองอร่าม นั่นเป็นทรายทองคำทั้งนั้น 
ถ้าฉันพาคนตาบอดมายังสถานที่แห่งนี้ แล้วบอกว่า มีทรายเป็นทองคำ เธอว่าเขาจะเชื่อฉันไหม 
อาจจะเชื่อหรืออาจจะไม่เชื่อขอรับ 
แล้วถ้าฉันพาคนตาดีมาดูอย่างเธอตอนนี้ เธอว่าเขาจะเชื่อไหม 
อาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อขอรับ 
ทำไมเธอคิดเช่นนั้น 
กรณีคนตาดีกระผมเคยพบมาบ้างขอรับ ประเภทที่ว่าตัวหนังสือมีอยู่ และก็เห็นตัวหนังสือ แต่ยังปฏิเสธว่าตัวหนังสือไม่มีในโลก กระผมไม่เคยคิดว่าจะเจอคนประเภทนี้ขอรับ 
คนบนโลกที่ขาดจักษุปัญญา มักหลงว่า ขี้เป็นทอง และพบทองนึกว่า ขี้ ทิ้งไป พระก็เหมือนกัน แบ่งได้ สี่ อย่าง คือ พระเปล่าปิด พระเปล่าเปิด พระเต็มปิด พระเต็มเปิด ที่ว่าพระเปล่าเปิด คือ ไม่ได้อะไร แต่เปิดเผยให้คนเห็นว่าตนชั่ว พระเปล่าปิด คือ ไม่ได้อะไร แต่ทำเป็นขรึม ๆ เคร่ง ๆ ให้คนศรัทธา พระเต็มเปิด เป็นของแท้ แต่ไม่กลัวคนเสื่อมศรัทธา เขาอวดดีกัน ท่านเอาความเลวมากลบไว้ พระเต็มปิด เป็นพระแท้ แต่ไม่แสดงอะไรว่าฉันยังงั้น ยังงี้ เงียบ ปกปิดความดีไว้ นอกจาก นักเลงตาทิพย์นั่นแหละจะมากระชากหน้ากากออกให้โลกรู้ ที่ฉันพูดเรื่องนี้ ฉันต้องการให้เธอรู้ว่า จงอย่าได้ทำตนเป็นคนที่พบทองแล้วเห็นเป็นขี้ ฉันรวมไปถึงว่า หากเราไม่รู้ว่าท่านอยู่ระดับไหน หรือ แม้จะรู้ว่าอยู่ระดับไหน ก็ไม่ควรที่จะไปวิจารณ์ การสอนของท่าน การปฏิบัติของท่าน ว่าดีหรือไม่ดี ไม่ควรเอาอาจารย์ของตนเองยกเปรียบเทียบกับอาจารย์ของผู้อื่น ว่า อาจารย์ฉันดีกว่านะ เพราะมันไม่ใช่วิสัยของพระ 
คำว่าพระ ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่นุ่งเหลืองห่มเหลือง โกนหัว เธอจงเข้าใจ ว่า พระ ของฉันหมายถึง ใครก็ตามที่เขามีระดับจิตอย่างต่ำสุด คือ พระโสดาบันขึ้นไป อย่างนี้ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกว่า พระ หากระดับจิตต่ำกว่านี้ แต่นุ่งเหลือง ห่มเหลือง โกนหัว ทรงเรียกว่า สมมติสงฆ์เท่านั้น จำไว้นะเธอจะได้ตอบให้เขาเข้าใจเมื่อมีคนมาถาม  
และที่สำคัญที่อยากให้เธอทราบไว้คือ ความเชื่อในพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าเธอไปเจอพวกคัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิเสธว่า นรก สวรรค์ พรหม พระนิพพาน ชาตินี้ ชาติหน้า ไม่มีจริง หากเธอได้ชี้แจงและยกพระไตรปิฏกมาให้เขาแล้ว เขายังไม่เชื่อ ก็จงวางเฉยเสีย ถือว่าเป็นกรรมของเขา 
ถ้าพูดถึงเชื่อไม่เชื่อ พระพุทธศาสนาไม่ขึ้นอยู่กับการเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่พระพุทธศาสนา ขึ้นอยู่กับการเห็น เพราะ พระตถาคตเห็น วันที่พระองค์ทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ทรงเห็นด้วยอำนาจแห่งพระญาณ เห็นทุกอย่างในภพทั้งสาม และพระนิพพาน ใครจะเชื่อไม่เชื่อพระองค์ไม่ทรงง้อ 
คนเชื่อนั้นมี 3 พวก เป็น เวไนย สอนได้ คนไม่เชื่อ เป็น อเวไนย สอนไม่ได้ แม้พระทศพลก็ไม่สอน คำว่า ปท คือ บทบาท ปรม คือ บรม หมายถึงอย่างยิ่ง ผู้ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการคัดค้าน ก็จงปล่อยเขาไปตามยถากรรม เป็นเป็นเหยื่อเต่า เหยื่อปลา (บัวใต้ตม) แต่การเชื่อ จะต้องประกอบไปด้วย อินทรีย์ 5 พละ 5 คือ 
หนึ่ง ศรัทธา ความเชื่อในพระปัญญาองค์พระตถาคต ไว้ใจธรรม ไม่มีสังโยชน์ ข้อ 2 คือ วิจิกิจฉา 
สอง ความเพียร ปฏิบัติพยายามค้นคว้าให้เกิดปัญญาจากการปฏิบัติที่เรียกว่า ปฏิบัติ ปริยัติเป็น 2 
ปฏิบัติ เป็น 1 
ปริยัติ เป็นบรรทัด 
ปริยัติ เป็นเส้นสมุด เส้นบรรทัด ป้องกันโย้เย้ ลาดเอียง ให้ตรงทาง ตัวหนังสือ คือ ความรู้ ที่บอกไว้เป็นตำรา ถ้าไม่เขียน ไม่เกิดทักษะ สมัยนี้ คนจึงมีแต่สมุดเปล่า เพราะไม่เขียน จึงเรียกว่า เสือ กระดาษเปล่า พูดไปมันไม่จบ สู้ปฏิบัติไม่ได้ 
สามสมาธิ สี่ สติ ห้า ปัญญา ทั้ง 5 อย่างนี้เป็นตัวเดียวกัน แต่ซ้อนให้หนักแน่นยิ่งขึ้น คนที่ไม่มีอินทรีย์แก่กล้า คือ เด็ก ที่ยังไม่พร้อม จะเรียนรู้ไม่ได้ เพราะไม่บรรลุนิติภาวะ 
วันนี้ฉันสอนเธอแค่นี้นะ เพราะเธอต้องอยู่กับฉันอีกนาน.. 
หลวงพ่อยืนมองน้ำตกที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย พระภิกษุหนุ่มรู้สึกจิตใจสงบลงอย่างประหลาด ยามนั้น ท้องฟ้าเบื้องบนปรากฏแสงสีทองสาดส่องลงมาต้องร่างหลวงพ่อไว้ ร่างของท่านทั้ง 
ร่างดูเหมือนกับถูกห่อหุ้มด้วยทองคำ เปล่งประกายสีเหลืองนวลละออตา งามจับจิตจับใจยิ่ง พระภิกษุหนุ่ม คล้ายได้ยินเสียตะโกนก้องดังมาจากฟากฟ้าราวกับบอกให้ตนว่า 
ดวงแก้วตรัยรัตนะ จงรักษาให้ดีเถิด พระพุทธเจ้าดุจแม่ผู้ให้กำเนิด พระธรรมบังเกิดเปรียบองค์บิดร พระอริยะมาโปรดสั่งสอน..ดั่งญาติร่วมอุทร.ท่านจงรีบเร่งตัดรอนถอนจิตจากวัฏฏะเทอญ  
นิพพานนังปรมัง สุขขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง 
....................จบ..............................				
comments powered by Disqus
  • วสุนทรา

    13 พฤษภาคม 2547 16:21 น. - comment id 74137

    ขอฝากผลงานไว้แต่เพียงเท่านี้นะคะ  ขอบคุณมาก ๆค่ะที่เข้ามาอ่านนะคะ   สวัสดีค่ะ
  • พี่ดอกแก้ว

    13 พฤษภาคม 2547 20:51 น. - comment id 74140

    มาอ่านตอนจบค่ะ..วสุนทรา..
    
    ...นิพพานนังปรมัง สุขขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ...
    
    ประโยคนี้ช่างขลังนัก
    

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน