ปีติ คืออาการที่เกิดขึ้นกับจิตใจของแต่ละคน ท่านเคยนั่งยิ้มคนเดียวหรือเปล่า เคยคิดเคยฝันถึงสิ่งที่ดีดี ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างไหม หากเคยก็ใคร่เรียนบอกว่า นั่นคือ ปีติ คือความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจ สำหรับเราแล้ว เราเกิดความรุ้สึกสุขเพราะเราได้ปฏิบัติธรรม การได้นั่ง เดิน ซึ่งเป็นการเจริญสติให้ตัวเองรู้สึกตัว การติดปิติของเรา เท่าที่เกิดกับเราก็คือ การติดสุขแบบที่กล่าวมาแล้ว ไม่สามารถก้าวพ้นไปได้ วางไม่ได้ เพราะสุข เดินก็สุข นั่งก็สุข คือทุกอย่างในตอนนั้น มองแล้ว คิดแล้ว ไม่มีทุกข์มาให้เห็น แต่ตรงนี้หลวงพ่อท่านเคยอธิบายไว้ว่า เราไม่ต้องไปยึดติด เพราะหากเรายึดติดเราจะเกิดทุกข์ จริง ๆ แล้วเรายังหาสาเหตุตรงนี้ไม่ได้ต่างหาก ก็ในเมื่อเราสุข มันจะเกิดทุกข์อย่างไร แต่ท่านก็กล่าวว่า ทุกข์เพราะเราสุข จึงหนีไปไหนไม่พ้น รวมแล้วเป็นเราไม่รู้จักวาง ไม่ปล่อยวางความคิด ทุกข์แต่ไม่ทราบสาเหตุแห่งทุกข์นั้นเราจึงก้าวไปไม่ถึงไหน แต่อย่างไรแล้วสิ่งที่เกิดกับเรานับว่าเป็นผลดีต่อเรา เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็ผ่านการรู้สึกตัวมาได้ในระดับหนึ่งแม้จะไม่เป็นเหมือนสวิชตัดไฟก็ตาม(เรื่องสวิชตัดไฟจะเล่าให้ฟังอีกครั้งนะคะ ให้ถือว่าเป็นเกร็ดเล็ก ๆ ของการปฏิบัติธรรมค่ะ) วันที่ 6 ของการปฏิบัติ กิจที่เราทำก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เรายังนั่ง เดิน เพื่อเจริญสมาธิอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุด แม้จะไม่ก้าวไปไหน เราพยายามจะไม่ยึดติด เราพยายามจะไม่คิด อยากจะปล่อยวาง แต่ตามมันไม่ทันซักที บอกว่าจะไม่คิด นั่นหมายถึงเราคิดไปแล้ว อืมม มันลำบากนะคะสำหรับการที่จะทำให้ตัวเราเองมีสติตลอดเวลา หากเมื่อถึงที่สุดของการปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะเกิดความสงบนั่นหมายถึงการเข้าถึงนิพพาน นี่เป็นคำหลวงพ่อท่านสอน ท่านอธิบายถึงความสงบไว้ดังนี้นะคะ สงบมี 2 ชนิด หนึ่งคือ สงบเหมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำ สองคือ สงบเหมือนออกมานอกถ้ำ สงบเหมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นหมายถึงว่า เราเข้าไปอยู่ในถ้า อยู่ในความมืด พอเราจุดไป ความมืดก็จะหายไปความสว่างก็จะเข้ามาแทนที่ แต่พอเราดับไฟ มันก็จะมืดเหมือนเดิม แม้เราจะจุดไฟให้สว่างเราก็ยังไม่สามารถมองเห็นผนังถ้ำได้ทั้งหมด และเราเองก็ยังอยู่ในถ้ำอยู่ดี เราจึงเรียกความสงบแบบนี้ว่า สงบอยู่ภายใต้โมหะ หรือสงบแบบไม่รู้ หรืออย่างไม่รู้นั่นเอง การที่บางคนเข้าไปนั่งให้จิตใจสงบแล้วเข้าใจตัวเองว่าได้เจริญวิปัสสนา อย่างนี้ก็จริง แต่เป็นจริงชนิดที่อยู่ภายในถ้ำ สงบเหมือนอยู่นอกถ้ำ ก็เหมือนกับที่เราออกไปอยู่นอกถ้ำแล้วมันไม่มืด และเราก็ไม่ต้องจุดไฟ แล้วยังสามารถมองเห็นและรู้ว่ารูปร่างสัณฐานของถ้ำเป็นอย่างไร เปรียบได้กับความสงบที่ปราศจากความหลงผิด นั่นหมายถึง สงบจากกิเลส ไม่มีโทสะ โมหะ โลภะ การสงบแบบนี้เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สงบแบบรู้ นั่นคือ รู้แจ้งเห็นจริง รู้ตามความเป็นจริง รู้แล้วก็สงบ เราได้หยิบยกคำหลวงพ่อท่านสอน มาให้อ่าน เพื่อเกิดประโยชน์ต่อท่านบ้าง เราเองแม้จะเข้าร่วมการปฏิบัติธรรม เราก็ไม่ได้เอ่ยอ้างว่า เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริง เรารู้เท่าที่การเจริญสมาธิของเราจะทำได้ เราอาจะไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในถ้ำ และเราเองก็อาจจะไม่ใช่คนที่อยู่นอกถ้ำ แต่เราก็สามารถมองเห็นบางเสี้ยวของถ้ำ จากที่ใดที่หนึ่งที่เรายืนอยู่ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวนิดเดียวเราก็ภูมิใจที่สามารถมองเห็นในส่วนนั้นได้ ครั้งหน้าจะเข้าสู่วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมแล้วนะคะ วันสุดท้ายจะเป็นการเก็บอารมณ์ เป็นการทดสอบเราว่า เราสงบได้แบบไหน เป็นสงบแบบนอกถ้ำหรือว่าสงบภายในถ้ำ คอยติดตามนะคะ
11 พฤษภาคม 2547 13:10 น. - comment id 74078
สาธุ ค่ะ ู^__^ จะติดตามตอนสุดท้ายนะจ๊ะ
11 พฤษภาคม 2547 13:31 น. - comment id 74079
ผมชื่นชมงานของคุณเหลือเกิน
11 พฤษภาคม 2547 18:13 น. - comment id 74095
เรื่องยิ้มคนเดียว เคยประจำ จนบางทีถูกเพื่อนล้อ เพราะไม่ได้อยู่คนเดียวจริง ๆ พี่พิมพ์ตอนนี้บางทีก็ยังอมยิ้มอยู่เลยครับ ดีแต่อยู่ห้องส่วนตัวคนเดียว เรื่องความคิด มันห้ามยาก อย่างน้อยช่วงนี้ก็ติดที่บ้านกลอนไทยนี่ บางที่เราไปคิดเอง โดยสมองไม่ได้สั่ง คงกำลังอยู่ในช่วงบ้ากลอนพักนี้ เรื่องบ้าเล่นเกมกดสมัยหนุ่มก็เคยบ้าแบบหามรุ่งหามค่ำ แต่เดี๋ยวนี้เห็นหลานเล่น ไม่เฉียดเข้าไปใกล้เลยครับ เรื่องสงบคงทำยาก เพราะไม่มีเวลาทำเรื่องนี้(ตามจริงก็ว่างมากอยู่)แต่ไปทำอย่างอื่น เรื่องเนื้อหาเข้าใจดีครับ