ฤทธิ์อภิญญา.....7

วสุนทรา

ไกลออกไปจากกุฏิหลวงปู่หลายร้อยกิโลเมตร ณ ที่แห่งนั้น ยังเป็นผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยากที่ชาวป่าชาวดอยจะเข้าถึง หากมีกระท่อมไม้ไผ่หลังน้อย ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว 
ด้านข้างกระท่อมไม้ไผ่ มีน้ำตกสายไม่ใหญ่นักทอดจากเขาเตี้ย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ รอบกระท่อมมีดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์ หน้ากระท่อมมีฮ้านไม้ไผ่(ลักษณะคล้ายตั่งแต่ทำจากไม้ไผ่ พบแถวบ้านคนภาคเหนือ) ตัวหนึ่ง กว้างและยาวพอให้คนนั่งได้หลายคน 
ตรงบันไดกระท่อมมีน้ำตุ่มน้อยวางอยู่สำหรับล้างเท้า เลยขึ้นไปบนกระท่อมมีฮ้านเล็ก ๆ ยื่นออกมาสำหรับวางน้ำหม้อ(เป็นที่ใส่น้ำของคนเหนือ ทำมาจากดินสีแดงๆ เมื่อใส่น้ำลงไปเวลาดื่มจะรู้สึกเย็นสดชื่น) สองหม้อสำหรับดื่มกิน 
มีน้ำบวยน้อยๆวางอยู่ด้านข้าง ลานหน้ากระท่อมไม้ไผ่สะอาดสะอ้าน 
บัดนี้หลวงปู่และพวกเด็ก ๆได้มายืนอยู่หน้ากระท่อมแล้ว ก่อนจะมาทินกรซักใหญ่ 
ปู่จะพาหลานไปเที่ยวไหนหรือเจ้าค่ะ 
พาเองไปเที่ยวทางเหนือนู้น 
เหนือนู้นหนะเหนือไหนหรือเจ้าค่ะ 
พะเยาโว้ยถามอยู่ได้ 
ไกลไหมหลวงปู่ 
ไกลซี เราอยู่ภาคอิสาน จะไปพะเยามันก็ไกล แต่พวกเราไปทางลัดไม่ไกลดอก 
ทางลัดหลวงปู่ไม่ไกลจริง ๆ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว พะเยากับภาคอิสานมันช่างใกล้กันเสียจริ๊ง 
นา ข้าพาหลานๆ มาเยี่ยม 
เสียง กุ๊ก ๆ กั๊ก ๆ เสียงกระแอมไอ ดังออกมาจากกระท่อมไม้ไผ่ เมื่อประตูกระท่อมเปิดออก ก็ปรากฏพระภิกษุชรา วัยไล่เลี่ยกับหลวงปู่ แต่ผอมกว่า ผิวขาวกว่าหลวงปู่ ท่านใส่สบงผืนเดียวหลวม ๆ สีซีดเก่า ท่านเดินกระย่องกระแย่งออกมา ในปากท่านเคี้ยวหมาก ยิ้มทีเห็นแต่เหงือกสีแดงแจ๊ดเลย 
หลวงตานา เห็นหลวงปู่รีบยกมือไหว้ หลวงปู่ไหว้ตอบ เมื่อหลวงตาลงมาแล้ว ท่านกับหลวงปู่ก็จับไม้จับมือกันอย่างสนิทสนม หลวงปู่กับหลวงตานั่งที่ฮ้านไม้ไผ่ เมื่อทั้งสองท่านนั่งเสร็จ หลวงตานาก็กวักมือเรียกพวกเด็ก ๆ 
เด็กทั้งสามนั่งลงกับพื้นแล้วกราบหลวงตานา หลวงตาลูบหัวเด็กทั้ง สามด้วยความเมตตา เอ็นดู แล้วให้พร 
อยู่ดีมีสุขเด้อหลาน 
สำเหนียงที่หลวงตาพูดฟังแล้วกระหนุงกระหนิง ระรื่นหู เป็นสำเนียงเหนือแท้ หลวงตาใช้ตาใสแจ๋วมองดูเด็กทั้งสาม พร้อมกับหัวเราะ หึ หึ ในลำคอ หลวงปู่เปิดการสนทนาก่อน 
นี่ พาให้ดูตัว เห็นว่าอยากพบ มันดื้อมาก โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็ก นี่แหละที่เคยเล่าวีรกรรมให้ฟัง มันซน 
หลวงปู่บอกกับตาว่า พวกหลานฮ๊าย(ซน) แต่ใจ๋งามเป๋นแก้ว 
นี่..อย่าไปชม เดียวเหลิง หลวงปู่ค้อนหลวงตาไปทีหนึ่ง 
พวกเอ็งทำไมวันนี้เรียบ ๆ ร้อย ๆ นี่ปู่พามากราบพระสุปฏิปันโน รู้จักไว้หลวงตานา นี่ท่านเป็นสายสุขวิปัสสโก ไม่ได้มีฤทธิ์มีเดชอย่างพวกเอ็ง แต่จบแล้ว จบ ป.สี่ ใจท่านเป็นแก้วพรึบทั้งดวง เป็นพระทองคำจริงไหมนา 
หลวงตาไม่พูดได้แต่ยิ้มน้อยๆน่ารัก 
หลวงตาอยู่องค์เดียวหรือเจ้าค่ะ ทินกรเริ่มเจรจาพาที 
เออ.ตาอยู่คนเดียว บ่มีไผ(ไม่มีใคร)ดอก แถวนี้ คนบ่เข้ามากั๋น มันเป๋นป่าดงป่าดิบ 
หลวงตาไม่กลัว เสือ ช้าง หรือเจ้าค่ะ กวินถามขึ้นบ้าง 
กั๋วหยัง(กลัวอะไร) ความตายยังบ่กั๋วเลย อยู่ด้วยเมตตาธรรม สิงสาราสัตว์บ่ทำร้าย 
หลวงปู่ได้ขยายความด้วยเสียงนุ่มนวลระรื่นหูว่า 
หลวงตานา เมื่อก่อนท่านอยู่ในเมือง ที่ท่านมาอยู่ที่นี่ก็เพราะ หนีชาวบ้านเขามา ลูกเอ๋ย.รู้ไหมเวลาหลวงตาป่วยมันก็ใช้ หลวงตาจะพักผ่อนมันก็เรียก พวกนี้บาปหนักนะลูกจำไว้ ถ้าขึ้นชื่อว่าพระอริยเจ้า โดยเฉพาะพระอรหันต์ ท่านสงเคราะห์ดะ ท่านสงเคราะห์ด้วยความเมตตา คนพวกนั้นมันได้ใจ เห็นท่านเมตตาก็ใช่ใหญ่ หลวงตาเลยมาอยู่ที่นี่ คนจะได้ไม่เป็นบาป โทษของการรบกวนพระอรหันต์อเวจีนะลูก ถ้าท่านไม่สงเคราะห์ ก็จงอย่าไปรบกวนท่านนะลูก 
เจ้าค่ะ หลวงปู่ 
หลวงตาเคี้ยวอะไรเจ้าคะ หลานไม่เคยเห็น 
หลวงตาหัวเราะ หมากแทบหก 
หมากลูกหมาก แล้วหลวงตานาก็เล่าให้เด็ก ๆฟังว่า 
มีคนมาถามตาว่า ตากิ๋นหมากโตยกา(ด้วยหรือ)  ตาก่อตอบไปว่า กิ๋นเพราะต้องอาศัยตัวยาบางอย่างในหมากช่วยเสริมธาตุขันธ์ บ่ใจ่กินเพราะติดในรสน้อ 
หลวงปู่จึงพูดว่า 
ปู่จะบอกให้อีกอย่างนะลูก คนส่วนใหญ่คิดว่า พระอรหันต์ต้องนั่งนิ่ง ๆ หลับหู หลับตา ไม่กระดุกกระดิก ไม่กินหมาก ไม่สูบบุหรี่ ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ปกตินะลูกพระที่ท่านจบกิจท่านจะเทมายาทิ้งไม่เหลือ ยกเว้นมีพิธีสำคัญ ๆ ท่านก็ต้องแต่งตัวแบบมีพิธีรีตอง แต่ยามธรรมดาท่านก็ทำตัวเป็นปกติ ดูอย่างหลวงตาท่านก็ใส่สบงตัวเดียวนี่แหละ ไม่รู้กี่ปีๆ ก็เห็นใส่อย่างนี้ จริงไหมนา 
ฮือๆ หลวงตาตอบเบ๊าเบา 
นาไม่มีอะไรจะสอนพวกเด็ก ๆหรือ 
บ่ต้องดอกปู่ ละอ่อน(เด็ก) หมู่นี้ มีครูบาอาจารย์อยู่แล้ว เฮาบ่ฮู้จะสอนหยัง 
ตะวา(เมื่อวาน) ท่านพ่อของละอ่อนนี้ก่อมาหาตา 
หลวงตารู้จักท่านพ่อด้วย ทินกรถามอย่างแปลกใจ 
อื่อ.ปู่พามาฮื้อ(ให้)ฮู้จักเหมือนหลานๆนั่นแหละ ดีแล้วลูกอยู่กับท่านที่มีธรรมก่อมีแต่ความเจริญ 
อาจารย์ของพวกเอ็ง อยู่ด้วยก็อย่าทะโมนนัก ท่านภูมิอรหันต์มรรคแล้วนะลูก แต่ไม่ไปต่อชั้นสูง ๆ อาจารย์เองบอกว่า อยู่ที่ไหน ๆก็ต่อได้ ข้าบอกพวกเอ็งไว้ก่อน อย่าได้ดูถูกเชียวนา ภูมิเทวดา รุกขเทวดา หรือเทวดาที่อยู่ชั้นไม่สูง เช่น จาตุมหาราชา บางท่านขี้เกียจย้ายที่อยู่ ก็เลยตัดกิเลสชัวะ ๆ อยู่ที่เดิม แต่จิตสูงขึ้น ถ้าเป็นอรหันต์ผลเมื่อไหร่ก็นู้น นิพพานเลย อย่างอาจารย์เอ็งอีกไม่นานก็จบกิจ รอแต่สงเคราะห์พวกเอ็งเท่านั้น 
เฮียน(เรียน)ไปถึงไหนแล้วกา หลวงตาถาม 
เวคินตอบแทนทุกคนว่า 
ตอนนี้ฝึกกสิณอยู่เจ้าค่ะ หลวงปู่ยังสอนไม่จบเจ้าค่ะ 
เออ.ดีลูกอายุยังน้อย แต่ใจ๋งามแท้ คนบะเดี่ยว(คนเดี๋ยวนี้) หลงมัวเมาแต่โลก บ่สนใจ๋ศึกษาธรรมปฏิบัติ เข้าใจ๋ว่า คนปฏิบัตินี่ต้องนะโมตัสสะอย่างเดียว เออก็เลยกั๋วกั๋น พอบอกว่าให้ภาวนาไป พิจารณาไป ไม่ว่างจากความดี แต่ว่างจากความชั่ว ก่อว่าหนัก ธรรมะบันเทิงลูกมันหนุกอยู่ที่ไหนก่เป๋นธรรมหมด อย่าได้เป๋นหยั่งคนบะเดี่ยว มันประมาทกั๋น จะเข้าวัดเข้าวาก็ตอนแก่ปู้น(นู้น) โทะ..ฮู้ได้จะใดว่าบ่ตายก่อน แก่แล้วลำบาก ลุกนั่งก่อลำบาก ตอนอายุน้อยๆนี่แหละดีแล้วลูก 
หลวงตาชี้มือไปที่น้ำตกแล้วถามเด็กทั้งสามว่า 
นั่นอะหยัง 
น้ำตกเจ้าค่ะ 
เป๋นอะหยัง 
ธรรมชาติเจ้าค่ะ 
ธรรมชาติน้ำตกมันอิดก่อ(เหนื่อยไหม) ที่มันตกตลอดเวลา 
ไม่เหนื่อยเจ้าคะ 
เออ..ธรรมนะลูก คือ ธรรมชาติบ่อิด(ไม่เหนื่อย) น้ำตกบ่อิด แต่ถ้าไปตักน้ำจากบ่อหาบมา แล้วเอามาทำเป๋นน้ำตก อิดก่อ(เหนื่อยไหม) 
เหนื่อยเจ้าคะ 
นั่นแหละ ของไม่ใช่ธรรมชาติ คือยังบ่เป๋นธรรม บ่เป๋นธรรมยังเข้าบ่ถึง ก่อพึ่งบ่ได้ แต่ถ้าเข้าถึงธรรม ทำธรรมเป็นแล้ว ธรรมเกิดเอง เหมือนหยั่
งน้ำตก เกิดจากธรรมชาติ ถ้าหลาน ๆ ทำธรรมชาติให้เกิดกับใจ๋ ปัญญาเกิดเอง เหมือนน้ำตก แล้วต่อไป หลาน ๆจะได้เป๋นดั่งน้ำตก คนจะได้อาบกิน 
เห็นหรือยังคุยกับหลวงตาคุยไปคุยมาก็เข้าธรรมทุกที หลวงปู่แซวหลวงตา หลวงตาหัวเราะใหญ่ 
เอ้า กราบลาหลวงตา ท่านจะได้พักผ่อน 
เด็กทั้งสามก้มลงกราบหลวงตาอย่างนอบน้อม 
เมื่อหลวงปู่ และเด็กทั้งสาม ร่ำลาหลวงตานาแล้ว หลวงปู่ก็บอกว่า พรุ่งนี้จะฝึกวิธีใช้กสิณกองที่เหลือ 
วันนี้หลวงปู่พาเด็กทั้งสาม มายังริมแม่น้ำโขง ไม่ไกลจากริมฝั่งโขงแท่นหินวางอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ขนาดมหึมา หลวงปู่นั่งบนแท่นหิน และเริ่มบอกวิธีใช้กสิณกองที่เหลือ 
"สำหรับกสิณกองที่เหลือปู่จะสอนรวบทั้งหมดและให้ฝึกบางกองก่อนที่เหลือให้พวกเอ็งทั้งสามไปฝึกเอง ปู่จะบอกอานุภาพกองกสิณกองที่เหลือก่อน" 
"ปฐวีกสิณ สามารถทำให้น้ำแข็งได้ อากาศแข็งได้ พูดง่าย ๆคือ สามารถเดินบนน้ำหรือบนอากาศได้ สามารถเนรมิตคนๆเดียวให้เป็นหลายคนได้ หรือแยกกายได้ 
นีลกสิณ สามารถทำให้สถานที่สว่างทำให้มืดได้ 
ปีตกกสิณ สามารถเนรมิตสีเหลืองหรือสีทองได้ 
โลหิตกสิณ สามรถเนรมิตสีแดงให้เกิดได้ตามความประสงค์ 
โอทากสิณ คล้ายกับ เตโชกสิณ คือ ทำให้เกิดแสงสว่างได้ และมีประโยชน์ในด้านทิพจักขุญาณ 
อาโลกสิณ เป็นกองที่สร้างทิพจักขุญาณโดยตรง 
อากาศกสิณ สามารถมองทะลุเข้าไปในที่ๆซ่อนเร้นได้ 
"ทุกกองล้วนมีประโยชน์ แต่ที่ปู่จะให้ทำวันนี้คือ ปฐวีกสิณ กองที่เหลือก็ฝึกเองนะ ไม่ยาก วิธีอธิษฐานฤทธิ์ก็เหมือนกันทุกอย่าง ทีนี้พวกเอ็งอธิษฐานให้บริเวณที่เหยียบในอากาศแข็งตัว" 
กวิน เวคิน ทินกร ปฎิบัติตามที่หลวงปู่บอก โดยใช้วิธีอธิษฐานฤทธิ์อย่างคราวก่อน ทั้งสามลองเดินขึ้นไปบนอากาศ พบว่า เดินได้จริงๆ ทินกรวิ่งไปมา กระโดดไปมาก็ไม่ยักจะตกลงมาบนพื้น 
"หลวงปู่พูดเสริมว่า เอ็งจะเหาะก็ได้แล้วแต่เอ็งต้องการ ทีนี้ลองไปยืนเล่นบนน้ำซิ" 
กวิน เวคิน ทินกร เดินลงมาจากอากาศราวกับเป็นบันได แต่ไร้รูปลักษณ์ จนถึงผิวน้ำ หากแต่เจ้าทินกรกลับ หล่นตูม หลวงปู่หัวเราะชอบใจ 
"อธิษฐานเฉพาะตรงเท้าที่เหยียบซีเจ้าทินกร เอ็งจะไปอธิษฐานให้น้ำทั้งหมดแข็งไม่ได้ เดี๋ยวปลาก็ตายพอดี เอ็งมันอวดฉลาดนัก" 
ทินกรเปียกมะลอกมะแลก แต่พอใช้เตโชกสิณเข้าช่วย ชั่วครู่ เสื้อผ้าเนื้อตัวก็แห้งสนิท 
"เอ้าเข้ามา ปู่มีเวลาไม่มาก พวกเอ็งไว้ฝึกเล่น ๆ แต่อย่าลืมที่ปู่เคยบอก ที่สอนไม่ให้ติดในสิ่งที่พวกเอ็งฝึกได้ อันนี้เป็นแค่ผลพลอยได้ ผลจริงๆของเราคือ เอาไว้ใช้ในการตัดกิเลส ถือว่าที่พวกเอ็งฝึกเป็นแต่กีฬาสมาธิ ตอนนี้พวกเอ็งยังคึก ยังไม่ถึงเวลา รอให้คลายตัวเสียก่อน วันนี้เป็นวันที่ปู่จะสอนเอ็งเป็นวันสุดท้ายแล้วนะ หมดหน้าที่ของปู่ แต่จะมีหลายๆท่านมาสอนพวกเอ็ง ถ้าปู่ไม่อยู่ จงอย่าดื้อ อย่าซนมากนัก และต้องเชื่อฟังอาจารย์ทุกท่านที่จะมาสอนพวกเอ็งแทนปู่" 
กวิน เวคิน ทินกร รู้สึกใจหาย อยู่กับหลวงปู่ตั้งแต่เล็ก ๆ อยู่ ๆ หลวงปู่ก็จะจากไป อดที่จะใจหายไม่ได้ ทั้งสามรู้สึกขอบตาร้อนผะผ่าว หยดน้ำใสๆร่วงลงเผาะๆ 
"ฮึ...จะมาบทโศกหรือไร ข้ายังไม่ตายโว้ย แต่เมื่อถึงเวลาปู่จะมาหาเอ็ง ตอนนั้นปู่จะบวชพวกเอ็ง จะได้เป็นบุตรพระตถาคตเต็มตัวซะที" 
เด็กทั้งสามถอนสะอื้นฮักๆ 
"จำไว้นะลูก ถ้าปู่ไม่อยู่ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร อย่าท้อ อย่าขี้แย อายผีเขามั่ง คิดดูซิ เพื่อนปู่ก็เยอะ เดี๋ยวมันมาเยาะเย้ย ปู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน" 
ลองหลวงปู่มาไม้นี้ เด็กทั้งสามต้องพยายามกล้ำกลืนน้ำตา ไม่ให้ไหลออกมา
"ปรับจิตเสีย สุดลมหายใจลึก ๆ ระงับความเศร้าโศก จิตเศร้าหมองเปล่า ๆ ไม่มีประโยชน์นะลูก" 
"เอาละ ปู่จะสอนวิธีเหาะอีกวิธีหนึ่งนะ" 
หลวงปู่เดินไปยังริมน้ำโขง ท่านเนรมิตบันไดแก้ว ยี่สิบเอ็ดขั้นทอดจากฝั่งไปเบื้องบนท้องฟ้า แต่ละขั้นสูงราว ๆหนึ่งเมตร 
" พวกเอ็งฝึกกระโดดทีละขั้น เวลาจะโดดให้ภาวนาว่า เมกะตัง เยนะกะตัง ว่างๆ พวกเอ็งมาฝึกที่นี้ ไม่มีใครมารบกวน และบันไดนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อพวกเอ็งฝึกสำเร็จ" 
"ตอนนี้ขึ้นไปบนถ้ำก่อนพวกเอ็งค่อยหาเวลามาฝึกนะ " 
......................................................................................................... 
วันนี้เป็นวันที่หลวงปู่จะต้องจากไป ตามที่ท่านบอกไว้ หลวงปู่นั่งยังตำแหน่งเดิมทุกครั้งที่เข้ามาในถ้ำแห่งนี้ เด็กทั้งสามนั่งก้มหน้าเงียบ หลวงปู่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ท่านกล่าวด้วยเสียงกังวาลนุ่มนวลว่า 
"ก่อนปู่จะไป ปู่ขอย้ำอีกครั้งในเรื่องของศีล และสมาธิ นั้นเป็นขั้นพื้นฐานสำคัญ ลูกทำได้ครบสมบูรณ์ ศีลพวกลูกๆทำอยู่นั้นปู่ เรียกว่า อธิศีล อธิ แปลว่า ใหญ่ คือรักษาศีล สามรอบ คือ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีล นอกจากนี้ยังมีเรื่องของกรรมบท 10 ที่ปู่สอนไว้ ลูกปฏิบัติได้ไม่บกพร่อง โดยเฉพาะในจิตใจของลูกทุกคนมีอภัยทานและพรหมวิหารสี่เป็นปกติ สิ่งนี้ลูกมีมาตั้งแต่เกิด ลูกเองอาจจะไม่รู้ตัว แต่ปู่เลี้ยงมาทำไมจะไม่รู้ว่าใครเป็นยังไง "
"สำหรับศีลและกรรมบท 10 จะทรงตัวได้เพราะอาศัยพรหมวิหารสี่คอยหล่อเลี้ยง แม้จะซุกซน แต่ก็ไม่เคยไปรังแกข่มเหงสัตว์น้อยใหญ่ ดังนั้นปู่จึงอยากให้ลูกรักษาความดีนี้ไว้ เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม รับปากปู่ได้ไหมลูก" 
"เจ้าค่ะหลวงปู่" ทั้งสามตอบพร้อมเพรียง เวคินเงยหน้าขึ้น เขาคิดว่าตัวเองตาฝาด ที่ชั่วครู่ เขาไม่ได้เห็นหลวงปู่ ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา หากแต่เป็นพระภิกษุหนุ่มผิวขาวอมชมพูสาวย มีประกายรัศมีเหลืองนวลออกมาจากร่าง พอเขากระพริบตา ที่นั่งอยู่กลับเป็นหลวงปู่ ไม่ใช่พระภิกษุหนุ่มรูปนั้น 
"เอาละ...ต่อไปเป็นหน้าที่ของท่านพอพวกเอ็งจะมาสอนในด้านทิพจักขุญาณ อยู่ดีมีสุขนะลูก" สิ้นเสียงหลวงปู่ คล้ายกับมีเสียงสวดมนต์เบาๆ ทำนองไพเราะดังเป็นจังหวะ หลวงปู่จากไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย เสียงสวดมนต์เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเพลงแว่วหวานปนโศก คล้ายใกล้ คล้ายไกล ดังขึ้นเบาๆ 
"อันเชิญดอกไม้ทองมารองรับ บุตรพระทรงสวัสดิ์ประภัสสร จงหักห้ามความอาลัยอาวรณ์ จงถอดถอนความเศร้าโศกในโลกา เร่งรีบเถิดเร่งรีบบำเพ็ญธรรม อย่าให้จิตชอกช้ำเลยหนา กิเลศมารมายั่วเย้าทุกเพลา หากพ่ายแพ้จอมยาน่าละอาย กิจอื่นใดไม่สำคัญเท่าตัดกิเลส เฝ้ามองเหตุแห่งจิตสะท้านไหว เมื่อรู้เหตุ ดับที่เหตุเถอะยาใจ ทุกข์ดับไซร้ย่อมพบทางนฤพาน" 
........จบตอนที่ 7...........				
comments powered by Disqus
  • พุดพัดชา

    11 พฤษภาคม 2547 23:35 น. - comment id 74102

    พุดรอพรินท์อ่านทีเดียวจ้า
    และมากระซิบบอกงานงามมาก
  • วสุนทรา

    12 พฤษภาคม 2547 11:46 น. - comment id 74111

    ขอบคุณมาก ๆจ้ะ พุด  เดี๋ยวแวะเข้าไปอ่านงานพุดก่อนนะคะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน