(ครูของผม) ----------------------------------------- เธอกินข้าวเที่ยงหรือยังก่อพงษ์ ครูเดินมาเงียบๆ และถามเสียงทุ้มๆ ผมกำลังนั่งทำการบ้านอยู่หลังห้องเรียนคนเดียว กินแล้วครับ เมื่อวานเธอขาดเรียน ครูยืนกอดอก แต่น้ำเสียงไม่เปลี่ยน ครับ ผมไม่มีตังค์ค่ารถ ค่าโดยสารวันละกี่บาท ครูเปลี่ยนจากยืนเป็นนั่งโต๊ะนักเรียน ห่างจากผมไปราวสองศอก ไปกลับสองบาทครับ จากบ้านเธอถึงโรงเรียนกี่กิโล ครูกอดอกอีก สิบเอ็ด ครับ ผมเริ่มปิดสมุดการบ้าน และตั้งใจฟังคำถามของครูจริงจังขึ้น เธอขี่จักรยานเป็นไหม ครูเปลี่ยนจากกอดอกเป็นเท้าแขนซ้าย และยังนั่งที่เดิม ไม่เป็นครับ พ่อเคยยืมเขามาหนหนึ่งผมหัดยังไม่เป็นก็เอาไปคืนแล้ว งั้นเธอหัดนะ ตอนเที่ยงเอาจักรยานของครูไปหัด ครูมีสองคัน พอเป็นแล้วค่อยยืมครูขี่มาเรียน รถอยู่ใต้ถุนบ้านพักครู เธอไปลองหัดเลย ว่าแล้วครูก็เดินตรวจห้องเรียนอื่น ๆ ต่อไปอีก เมื่อครูลับไปจากสายตา ผมจึงเหลือบดูนาฬิกาเหนือกระดาน มันบอกเวลา 12.31 น. คำของครูยังก้องอยู่ในหัว ผมทั้งตื่นเต้นและดีใจ หนึ่งคือรู้สึกโก้มากที่จะได้ลองเจ้าฮัมเบิ้ล มีเกียร์ ที่ผมเห็นครูขี่ไปตลาดบ้าง ไปตามท้องนาบ้าง สองจะได้มาเรียนไม่ต้องขาด ผมไม่ใช่คนขี้เกียจเรียน สามจะมีเงินเก็บบ้างจากค่าโดยสาร และอะไรอีกเยอะแยะ ผมนึกถึงเพื่อนที่จะช่วย ในห้องมีเพื่อนที่ไม่ข่มเหงผมอยู่สองสามคน เป็นลูกคนจนเหมือนกัน ผมขอให้เขาช่วยหัดรถถีบให้ ไม่ช้าผมก็ทำได้อย่างครูและอย่างเพื่อน วันต่อ ๆ มา เมื่อแน่ใจว่าขี่ได้คล่อง ผมก็บอกครู ครูให้ขี่ให้ดู จนแน่ใจ ผมจึงได้เจ้าฮัมเบิ้ลพากลับบ้านและมาโรงเรียน พ่อกับแม่ยิ้มเบิกบาน เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง รักษารถของครูให้ดี ๆนะอ้ายหนู พ่อกับแม่บอกเหมือนกัน ผมยิ่งต้องเอาใจใส่ราวกับว่านี่คือสมบัติของตนเอง คุณนึกภาพผู้ใหญ่ออกรถคันใหญ่คันใหม่ดูครับ เขาเอาใจใส่ดูแลรถดีขนาดไหน ผมก็คงคล้ายนั้น OOOOO หลังเลิกเรียนทุกวันผมออกไปทุ่งนาเพื่อจับกบจับปลามาให้แม่ทำกับข้าว บางวันได้มากก็แบ่งไปฝากคุณครูหลายท่านด้วย ครูรับ ยิ้ม และว่า ขอบใจ ไม่เคยทำให้ผมเสียน้ำใจเลย เย็นวันหนึ่งคุณครูกับเพื่อนปั่นจักรยานมาแวะบ้านผม ครูว่าครูอยากให้ผมพาไปจับปลา ผมตื่นเต้นและดีใจมากเหมือนตอนสอบได้ที่ 10 ของห้องเป็นครั้งแรกคราวย้ายที่เรียนไปเรียนโรงเรียนประจำอำเภอ คุณครูกินข้าวเย็นหรือยังครับ ยัง แต่ครูเตรียมมาด้วยแล้ว ครูพูดพร้อมกับยกเถาปิ่นโตให้ดู ผมเตรียมน้ำและสัมภาระอื่นคือเบ็ด ข้อง โคมไฟ และพล้า ส่วนจอบขุดเหยื่อเบ็ดเก็บไว้ที่เถียงนาเรียบร้อย ไม่ต้องขนไปขนมา ครูทั้งสองท่านปั่นจักรยานตามผม ชาวบ้านหลายคนมองตามอย่างแปลกใจจนพ้นท้ายบ้านเข้าสู่เขตทุ่งนา ถนนแคบเข้าจนเป็นแค่ทางควายและคันนาในที่สุด ตรงไหน นาของเธอ คุณครูเจ้าของจักรยานที่ผมถีบ ถาม ผมชี้มือขึ้นฟ้าเฉียงๆ เพราะยังอีกไกล ไม่มีถนนเข้าไปหรอกครับ มีแต่คันนา คันนานี่กว้างพอครับครู ขี่ตามผมมาเลย ครูทั้งสองท่านขี่จักรยานคล่องแคล่วกว่าผม คันนากิ่ว ๆ บางช่วงก็ผ่านมาได้ ดีที่ไม่มีใครตกคันนาซักคน เมื่อถึงที่หมาย ครูและผมวางสัมภาระไว้บนเถียงนา ผมเตรียมจอบจะขุดไส้เดือน ครูบอกว่ากินข้าวเย็นก่อนได้ไหม ผมก็ตกลงตามนั้น อาหารเย็นกลางทุ่งมื้อนั้นของครู เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตของผม และไม่เคยลืมเลย ครูช่วยผมขุดไว้เดือนหลังอาหารเย็นลุล่วงไป ทั้งสองท่านเตรียมเบ็ดของตัวเองมาด้วยคนละกำมือ เมื่อได้เหยื่อ เราก็แยกกันปักเบ็ดตามคันนา ได้ยินทั้งสองท่านคุยกันว่า ตอนเป็นเด็กท่านก็เคยจับกบจับเขียดแบบนี้เหมือนผม แต่เวลาที่ผ่านไป ยิ่งโตก็ยิ่งห่างไปจากรากเหง้า ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจหรอกครับ ว่า อะไรคือรากเหง้า ของครู วันนี้ คุณคิดว่าผมกับครูใครจะได้ปลามากกว่ากันครับ ? OOO ค่ำนั้นผมได้ปลาช่อนตัวเท่านิ้วชี้ของตัวเอง 1 ตัว ส่วนครูได้ปลาดุกเท่าแขนของผมคนละตัว ครูบอกว่า ปลาดุกให้ ก่อพงษ์ไว้กินนะ ผมก็รับไว้ด้วยความดีใจ ที่จริงผมกะจะอวดครูว่าผมรู้ว่าตรงไหนที่ปลาข้ามคันนาไปมา ซึ่งวันก่อนๆ ถ้าผมปักเบ็ดตรงนั้นผมมักได้ปลาแบบไม่เคยพลาด เวลาผ่านมานาน ผมก็ยังคิด ว่า อะไรที่เราคิดว่าแน่ บางทีมันก็ไม่แน่ ดีแล้วที่ไม่ได้โม้โอ้อวดให้คนเย้ยหยันความเขลา ครูของผมทั้งสองท่านย้ายไปสอนที่อื่นนานแล้ว 20 ปีผ่านมา ผมยังไม่ได้พบท่านอีกเลย วันที่ 16 มกราคม ทุกปี ผมจะซื้อพวงมาลัยมาคล้องตรงดวงไฟหน้าของจักรยาน รำลึกถึงคุณของครู และก่อนนอน หลังกราบพระ นบพ่อ ไหว้แม่ ผมไม่เคยลืมที่จะก้มหัวลงให้หน้าผากจรดพื้นเคารพครู ผู้มีคุณ และอยู่ในหัวใจของผมเสมอ
20 เมษายน 2547 13:57 น. - comment id 73300
ผมรักและเคารพครูเสมอ ผมมีวันนี้ ผมได้ดี ผมมีความสุข เพราะครู
20 เมษายน 2547 22:19 น. - comment id 73326
สถานนการณ์ในอดีต เราต่างรับมาไม่เหมือนกัน แต่ในด้านของจิตใจ คงไม่ต่างกันซักเท่าไหร่ ถึงแม้คุณครูของมัทจะไม่มี โอกาสไปทำแบบคุณครูของพี่ แต่คุณครูก็สอนให้เราเป็นคนดี เป็นคนอดทน ขยันขันแข็งนะคะ มัทอ่านเรื่องนี้แล้ว มองภาพชนบทเป็นแดนที่ เรียบง่าย สุขสบาย โดยเฉพาะสบายใจ ทุกคนเป็นมิตร และผูกพันกันด้วยจิตใจ มัทเคยไปบ้านยายที่อยุ่ชนบท อยู่กับยายแล้วอบอุ่น ปัจจุบัน มัทไม่มียายแล้วค่ะ จึงไม่มีโอกาสแบบนั้นอีก
20 เมษายน 2547 22:41 น. - comment id 73331
ครับผม แต่อีกมุมของชนบทคือความแร้นแค้น จนไม่น่าเชื่อว่า ชาวชนบทมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน คุณภาพชีวิตของชาวชนบท มันฟ้องอยู่ทุกเวลานาทีว่าประเทศเรา มีชนชั้นนำที่ คับแคบ เห็นแก่ได้ ขี้ขลาด คือกลัวประชาชนจะรู้เท่าทัน อยู่ไม่น้อย ผมใช้คำหนักไป ขอโทษคุณมัทแล้วกัน
21 เมษายน 2547 06:48 น. - comment id 73345
เป็นงานที่น่าซาบซึ้ง ปลื้มใจที่มีครูเช่นครูของคุณ ผู้รักห่วงใยลูกศิษย์แท้จริงค่ะ
21 เมษายน 2547 09:31 น. - comment id 73357
มัทชอบอ่านเรื่องแบบนี้นะคะพี่ก่อพงษ์ งานเขียนเรื่องลูกอีสานมัทอ่านไม่รู้กี่เที่ยว แต่เวลาดูหนังแล้ว มันไม่ได้อารมณ์อย่างที่ต้องการค่ะ ชอบความอบอุ่นในครอบครัว ความผูกพันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่าง พ่อ แม่ ลูก ค่ะ มัทไม่เป็นไรนะคะพี่ก่อพงษ์ ไม่ต้องขอโทษค่ะ รับได้เสมอ
21 เมษายน 2547 11:00 น. - comment id 73362
..งานเขียนของคุณเขียนได้ดีค่ะ สะท้อนชีวิตของชาวนา..ลูกศิษย์และครู ที่..หายากหรือง่ายคะ..กับปัจจุบัน.. .ช่วยตอบคำถามด้วยค่ะ.. จริงแล้ว..มีกระจกอีกด้านหนึ่งซึ่งหลายคนมองไม่เห็น..ว่าชีวิตของสังคมในเมืองกับชนบทต่างกันแค่ไหน.. ...ทั้งที่พยายามใช้อีเลคทรอนิคส์ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไปช่วย..แต่จริง ๆแล้วโอกาสที่ นักเรียนในชนบทมีโอกาสได้สัมผัสมากน้อย แค่ไหน...
21 เมษายน 2547 11:02 น. - comment id 73363
ขอบคุณทั้งคุณtikiและคุณมัท เพื่อเป็นการขอบคุณจะลงเรื่อง ความรักความอบอุ่นในครอบครัวให้อ่านอีกสักช่วง แต่ก็คงสลับกับเรื่องที่เป็นมุมมอง ทางสังคมด้วย คืออย่าให้ผมต้องพอใจกับสภาพที่มันแร้นแค้น เหลือทนของชนบทจนเกินไป จนผมหลงคิอว่า นี่คือสวรรค์ มันไม่ใช่ครับ มันเป็นการหลอกตัวเองของผม คิดดูดีๆครับ ให้ผมกินข้าวกับปลาร้าทั้งปี แล้วบอกว่าอะร้อย นี่แลสะหวัน ผมก็คง พูดไม่ออก นอกจากว่า ว่า ขี้ตั๋ว เบ่เบ้ ขี้จุ๊ ตาหล่าล่า ขี้ฮก เบ่เบ้ น้อง.......... ด้วยไมตรีจิตครับคุณtikiและคุณมัท
21 เมษายน 2547 11:16 น. - comment id 73364
คุณร้อยกรองแทรกมาก่อนที่ผมจะเขียนจบครับ ภาพแบบในเรื่องของผมคงมีแต่ในชนบท แต่ส่วนของความเอื้ออาทรของครูต่อศิษย์คงมีในหลายที่ อย่างไรก็ตามเท่าที่ผมเห็น การบีบให้ครูที่เข้าไปศึกษาเด็กเป็นรายบุคคล บางครั้งมันเหมือนกับการบังคับให้ลูกโป่งต้องจมลงในน้ำ เพราะอะไร เพราะหลายท่านมีความยากลำบากในการจัดการชีวิต ค่อนข้างมาก คุณเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า ครูอาจารย์ของเรา มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีนัก แต่สังคมคาดหวังท่านมากเหลือเกิน ให้เสียสละ เสียสละ อุทิศตัว ฯลฯ แต่สังคมตอบแทนท่านเหล่านั้นอย่างไร ก็ดอกไม้กับถ้อยคำ ในวันที่ 16 มกราคมเท่านั้น วันอื่น ๆ ก็ครือๆ เก่า คือ ไม่สนใจใยดีครู บางคนเหยียดหยามด้วยซ้ำ นายกฯเองก็เถอะ วันไปออกรายการสอนสาธิตฯทางทีวี ก็หลุดคำที่กลั่นมาจากหัวใจด้วยว่า ครูโบราณอย่างไร ผมอยากพูดไว้อีกทีว่า สังคมประเทศเราให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษา ไม่จริงใจหรอก กลัว กลัวประชาชนฉลาด นี่เป็นความผิดพลาดมากๆของคนเกิดก่อนที่มีส่วนกำหนด การศึกษาของประเทศ คิดดูดีๆครับท่านผู้นำ ชนชั้นนำทั้งหลาย เมื่อประชาชนฉลาด รักษาสิทธิ์ รับผิดชอบหน้าที่ของตน และมีมันสมองในการพัฒนาตน พึ่งตน สร้างประดิษฐกรรม นวัตกรรม ขึ้นมาใช้ ขึ้นมาขาย มีคุณภาพชีวิตที่ดีจากมือตนด้วย จากการเอื้อของรัฐด้วย เมื่อนั้นไหมที่เราจึงพอจะเรียกตนเองได้ว่า ประเทศพัฒนา แม้จะไม่มีคำว่า แล้ว ต่อท้ายก็ตาม เรื่อง iT ผมยังไม่สามารถโฟกัสได้ ก็ดู ๆ กันไปครับ คุณร้อยกรองเห็นอะไรก็เมตตาบอกผมด้วย ผมจน ผมโง่ มาตลอด ผมอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ฉลาด เอื้อคนอื่นได้
21 เมษายน 2547 14:18 น. - comment id 73376
โอกาส คำนี้มัทซึ้งอะ หาไม่ได้ง่าย ๆ ในสังคมปัจจุบัน แม้จะเดินประท้วงจนเหงื่อแห้ง...มัทหมายถึงประท้วงแล้วประท้วงอีกค่ะ จนเหงือมันแห้งอะ หากแม้มีโอกาส เราคงทำให้สังคมดีขึ้นอะ อย่างน้อย ๆก็ในมุมมมองของตัวเราเอง และไม่ใช่การเห็นแก่ตัว กอบโกยนะคะ มีอะไรบ้างที่มันสมดุล ไม่มีหรอกค่ะพี่ก่อพงษ์ มันย่อมขาดอยู่บ้างหละ แต่มีสิ่งหนึ่งน๊ะ ที่เรามองข้ามไป คือ คำว่า พอ ไงคะ หากสามารถทำให้คนเห็นคุณค่า ของคำว่า พอ ได้ เราจะอยู่อย่างมีความสุข รู้จัก พอดี รู้จัก พอเพียง รู้จัก พอมี รู้จักพอกิน รู้จักพอใช้ และพออะไรต่ออะไรอีกหลาย ๆ หลาย ปัจจุบันไม่มีเมืองพอ ค่ะ มีแต่เมืองพล ไม่รู้น๊ะว่า พี่จะคิดอะไรอยู่บ้าง ในความเป็นครูของพี่ มันมีอะไรหลายอย่าง ที่น่าค้นหา แล้วนำออกมาใช้ในสังคม แต่ ไม่มีโอกาส ถึงแม้มีโอกาส หากเราไม่มีอำนาจ ก็ทำอะไรได้ไม่มาก ท่านนายกเอง ก็ดูเหมือนจะพยายามทำ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากยังคงขาดความร่วมมือจากสังคม ดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ยาก หรือพี่คิดว่าอย่างไร ในเรื่องของเทคโนโลยี่ก็ให้พัฒนาไปเถอะ หากขาดการพัฒนาคน เทคโนโลยีที่ออกมา ก้อมาจากคน คนขาดการพัฒนาอย่างไรมันก็ออกมาแบบนั้นแหละ จะให้เก่งขนาดไหนก็ยังมีการเห็นแก่ตัวเข้าแทรกวันยังค่ำ ทำซอฟแวร์ออกมาให้ใช้ดีดี ซักพักก็จะมีการทำซอฟแวร์วายร้ายออกมาประกบ เพื่ออะไรหละ ถ้าไม่ใช่ ความไม่รุ้จักพอของคน มัทคิดน๊ะพี่ก่อพงษ์ หากเป็นไปได้ จับไปล้างจิตใจใหม่หมด คนไหนจิตใจไม่ดีจับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้หมด ให้เหลือแต่เผ่าพันธ์ดีดี ทีนี้เราไม่ต้องสร้างรั้วบ้านกันโจรผู้ร้าย ไม่ต้องมีนายกรัฐมนตรี ทุกคนอยู่กัน อยู่ด้วยจิตใจที่ดี ทำดี คิดดี เจ้าความสงบ ความสุข ที่เรา ๆ ท่าน ๆใฝ่หา ก็จะเกิดขึ้น แต่นั่นเป็นเพียงความคิด จริง ๆ แล้วมันทำไม่ได้อะ เพราะเราอยู่ในสังคมแบบนี้ ทีทำได้ตอนนี้ก็คือ เราต้องรู้จักปลงค่ะ แล้วพี่ก่อพงษ์หละ ปลงในความเป็นครูของพี่หรือยังคะ แค่แสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งค่ะ หากแรงไปบ้างขออภัยค่ะ
21 เมษายน 2547 19:00 น. - comment id 73392
ผมชอบ และชื่นชมมากครับ
21 เมษายน 2547 20:12 น. - comment id 73394
ปลงของผมคือทำความเข้าใจให้มาก ว่าต้นตอของปัญหาคืออะไรแน่ เอาให้ชัด ๆ ให้หลายคนได้รู้ และแรงของหลายคนนั่นแหละ จะเป็นแรงเกื้อหนุน ค้ำจุนสังคม คงไม่ใช่ปลง แล้วเฉย ไม่ยินดียินร้ายว่าใครจะทำอันตรายแก่สังคมอย่างไร ได้แลกเปลี่ยนและฟังคุณมัทพูด ผมรู้สึกดี เหมือนได้พบเพื่อน ที่ไม่ได้พบกันนาน
22 เมษายน 2547 07:44 น. - comment id 73416
มีเรื่องมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หากถ่ายทอดมาทั้งหมด คงเป้นหนังสือหนา ๆ ได้ซัก 10 เล่ม เท่าที่มัทบันทึกไว้เนี่ยก็มากมายอะพี่ก่อพงษ์ ส่วนใหญ่จะบันทึกในสิ่งที่ดีดี สิ่งที่เราประทับใจ คำพูดที่เราชอบจากคนที่เรารัก ปะป๋า แม่ เป็นสิ่งภูมิใจของมัท แม้บางสิ่งบางอย่างที่ท่านประพฤติปฏิบัติ มันขัดกับความรู้สึกของเรา มัทก็ไม่ได้ตำหนิท่านเพราะ มัทรักท่าน มีอะไรบ้างหละที่จะถูกใจเราทุกอย่าง แม้ตัวเราเองบางครั้งยังไม่เข้าใจตัวเอง
22 เมษายน 2547 08:01 น. - comment id 73419
ผมนิยมคุณมากเลย คำของคุณด้วย ขอบคุณครับคุณมัท
24 เมษายน 2547 14:46 น. - comment id 73541
ประทับใจมากครับ
24 เมษายน 2547 22:27 น. - comment id 73577
สวัสดีครับคุณกัลปพฤกษ์ ขอบคุณมากด้วย