กระดาษ..ลายชีวิต ((บทที่1))

เสือยิ้มมุมปาก

บทที่	[1]	 ต่างถิ่น
เวลาล่วงเลยไปเกือบห้าโมงเย็นแล้ว แดดสุภาพลดความเกรี้ยวลงไปบ้าง ต่างจากช่วงบ่ายที่ผ่านมา  ลมพัดอ่อนๆทำให้เด็กชายวัย 12 ขวบในชุดกางเกงยีนส์สีซีดตามสมัย เสื้อคอกลมลายฮิปฮอปสีฟ้า พร้อมกระเป๋าสะพายสีน้ำเงินขนาดย่อม รู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง เขาแทบจะไม่รู้เลยว่าเขายืนอยู่ ณ ตรงจุดนี้นานเพียงใดแล้ว ดูเหมือนเขาจะยืนอยู่อย่างคนไร้จุดหมายปลายทาง เขามองตามรถสองแถวที่พึ่งจะขับผ่านไปทางถนนลูกรังท้ายหมู่บ้าน เห็นเขม่าฝุ่นราวกับพายุยักษ์สีส้มเรื่อๆตลบอบอวลฟุ้งไปทั่ว จนเด็กชายต้องเอามือมาป้องจมูกไว้ ตามด้วยเสียงไอถี่ๆสองสามที ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เชิดหน้าด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคง ...
เสียงโหวกเหวกดังมาจากสวนเงาะโรงเรียนซึ่งแซมด้วยต้นมะม่วงเบาริมทางที่เขายืนอยู่ อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังไปตามต้นเสียงนั้น ก็พบกับภาพของเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่ร่างกายและผิวพรรณผิดแผกกับเขาพอควร เด็กๆเหล่านั้นกำลังสนุกสนานเฮฮาไปตามวัยกับการละเล่นที่เขาไม่รู้จัก เด็กชายจึงคิดว่าคงจะเป็นเจ้าถิ่นที่นี่เป็นแน่แท้ เขารวบรวมความกล้า แล้วเอ่ยปากตะโกนถามออกไปว่า   
ทำอะไรกันน่ะ .... เงียบ .... ไร้เสียงตอบรับใดๆทั้งสิ้น เด็กๆที่อยู่บนคบคานกิ่งไม้พากันมองหน้าเลิ่กลั่ก เหมือนกับจะขอคำปรึกษาจากกันและกัน สักพักหนึ่ง มีเสียงตอบรับจากเด็กชายที่ตัวโตกว่าเพื่อน คาดว่าคงจะเป็นพี่ใหญ่ ไม่มีตาเหรอวะ พวกเรากำลังเล่นตำรวจจับโจรกันอยู่ โง่จริงเลย  เสียงนั้นอาจจะฟังดูแข็งกร้าวกระด้างกระเดื่องน่าหวั่นหวาดเสียจริง ... และเด็กชายก็มิได้ให้ความสำคัญกับเจ้าถิ่นกลุ่มนั้นอีก จนกระทั่งเด็กชายตัวโตที่เขาคุยด้วยเมื่อก่อนหน้า เดินตรงเข้ามาพลางถามว่า เอ็งชื่ออะไรน่ะ แล้วมาจากบ้านไหน หน้าตาไม่คุ้น ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย เด็กชายค่อนข้างสะดุ้งตัวเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ตอบกลับด้วยความเป็นมิตรอย่างยิ่ง 
 ชื่อเวดครับ พอดีผมมาเที่ยวแถวนี้  คิดว่าจะกลับบ้านเย็นนี้แหละครับ แต่บังเอิญพ่อผมไม่อยู่บ้าน ก็เลยคิดจะนั่งรถประจำทางกลับไปในตัวอำเภอ รอรถอยู่นานแล้วล่ะ แต่ไม่เห็นมีเลย ชั่วโมงกว่าแล้วนะ   น้ำเสียงของเขาดูเริงร่ายิ่ง ผิดกับบางความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจเขา
ยังไม่วายที่เด็กชายตัวโตจะเดินหันหลังกลับไป เวดตะโกนถามขึ้นมาว่า  ขอโทษนะ นายช่วยบอกทางไปวัดที่ใกล้ที่สุดในหมู่บ้านนี้ให้เราหน่อยสิ  .. เด็กชายตัวโตมีสีหน้าฉงนเล็กน้อยแต่ก็มิได้เคลือบแคลงใจอะไรมาก จึงอธิบายทางไปวัดให้แก่เวดอย่างละเอียด แต่ก็อดสงสัยมิได้ จึงถามขึ้นว่า แล้วนายจะไปยังไงล่ะ รถสองแถวหมดแล้วนะ เอาอย่างนี้ไหม คืนนี้ไปข้างบ้านเราก่อนแล้วพรุ่งนี้ถ้านายจะไปวัดลิงขบ ข้าจะพานายไปเองนะ   เด็กชายตัวโตสังเกตเห็นสีหน้าของเวดแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเป็นมิตรว่า 
 ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ เวด พ่อเราใจดี ท่านไม่ดุหรอก ยิ่งพาเพื่อนใหม่เป็นเด็กเมืองมาอย่างนี้ พ่อคงดีใจ เพราะพ่อข้าเคยไปเป็นนายทหารอยู่ในเมืองเหมือนกัน มีเพื่อนในเมืองอยู่ก็สองสามคน  ไปนะ เวด ถึงอย่างไรเราก็ไม่กล้าปล่อยนายไว้คนเดียวหรอก ทางเดินไปวัดลิงขบที่ว่าใกล้น่ะ ก็น้องๆกิโลแม้วเหมือนกันล่ะ  
เวดรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ขอบตาปริ่มด้วยน้ำตาแต่เขาพยายามกลั้นไว้..อดทนไว้อย่างลูกผู้ชาย มันหาใช่น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ เสียใจแต่ตรงกันข้ามมันกลับเป็นหยาดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติแห่งน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเพื่อนซึ่งเป็นเด็กต่างถิ่น เพื่อนซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน กลับหยิบยื่นไมตรีให้เขาได้ถึงเพียงนี้ 
               ...ทั้งสองเดินกอดคอกันไป เสียงหัวร่อต่อกระซิกปนจังหวะสะอึกสะอื้นดังกังวานไปตามท้องถนนลูกรังสายนั้น....เสียงก้องที่ดังตามหลังราวกับจะบอกอะไรบางอย่าง...ที่ซึ่งรอเขาทั้งสองในเส้นทางข้างหน้า....				
comments powered by Disqus
  • กัลปพฤกษ์

    9 เมษายน 2547 13:26 น. - comment id 72685

    ปูเรื่องได้น่าฉงน สนเท่ห์น่าติดตามอ่านดูครับ
    
  • เสือยิ้มมุมปาก

    14 มิถุนายน 2547 17:52 น. - comment id 74685

    ครายแต่งว้า หน้าตาดีจัง เหอๆ (ชมตัวเอง) เฟือนเอ้ย อิอิ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน