ความเหมือนในความคิดถึง
รษฎา ปนาลี
1.
เส้นทางของกวี มันไม่ง่ายอย่างที่คิด หวังไว้หรอกนะ การเติบโตด้านความคิด การมองทุกสิ่งอย่างที่ลุ่มลึก คิดให้มาก แสวงหามุมมองที่แตกต่าง นั่นแหละคือเส้นทางของกวี
ใครคนหนึ่งบอกฉันอย่างนั้น ฉันเห็นด้วยแต่ไม่ทั้งหมดหรอกนะ คำว่ากวี นักเขียน นักประพันธ์ มีมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉันให้คำนิยามของคำเหล่านั้นว่า นักฝัน
ใครคนนั้นบอกฉันว่า ฉันไม่ใช่กวี ฉันไม่ปฏิเสธเพราะฉันเขียนสิ่งที่ฉันอยากเขียนเท่านั้น ไม่สนองความต้องการของใครนอกจากตัวเอง มีการคิดทีผ่านกรอบของตัวเอง มองจากมุมมองของฉันเอง มองมุมที่แตกต่างในแบบของฉัน นั่นแหละฉันได้เลือกของฉันเองที่แตกต่างจากเขา
ฉันเดินฝ่าความมืดและความเงียบเหงาของรัตติกาลตามเขาไปสู่มุมของเขาที่เขาบอกว่าแตกต่างจากใครอื่น ตามสะพานเรียบคลองเล็กๆ ท้องน้ำสีดำสะท้อนแสงสีไฟของตึกอาคารเบื้องหน้าที่ตกแต่งด้วยหลอดไฟหลากสีเต้นระยับบนผิวน้ำ ความสงบเลื่อนไหลเฉื่อยช้า แตกต่างกับพายุคลื่นจากการแล่นของเรือขนส่งผู้โดยสารเมื่อกลางวัน สายลมพัดลูบไล้ผิวน้ำ อาจกล่าวได้ว่า เป็นความบริสุทธิ์ของท้องน้ำที่มีรอยมลทินก็ว่าได้เขาถามฉันว่าเห็นความสวยงามไหม ฉันตอบเขาว่าฉันเห็นความแตกต่าง เขามองฉันด้วยแววตาอันผิดหวัง มุมนี้ของใครคนนั้นงดงาม สงบเป็นมุมที่เขาโปรดที่สุด เรานั่งกันที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวริมฝั่งคลอง ซึ่งเป็นที่ของใครต่อใครที่ผ่านไปมาได้แวะนั่ง แต่เวลานี้เป็นของเรา เขาสูดลมหายในเข้าลึก และค่อยๆผ่อนออกมองออกไปข้างหน้า คล้ายๆกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
ลองบรรยายภาพที่เห็นให้ผมฟังหน่อยซิ เขายังคงทอดสายตามองออกไป
ความแตกต่างที่คงเดิมและความสงบ ฉันบอกเขาเพียงแค่นั้นพร้อมกับมองออกไปข้างหน้าเหมือนกับเขา
กวีต้องมองอะไรให้ลึกกว่านี้ ไม่รู้ว่าใครๆเขามองคุณเป็นกวีได้อย่างไร เขาถอนหายใจเฮือใหญ่ก่อนหันกลับไปมองเบื้องหน้าตามเดิม ฉันตอบเขาไปเพียงว่าฉันไม่ใช่กวีหรอก นั่นเป็นเพียงภาพที่ใครอื่นมอง ฉันรักที่จะเขียน ถึงแม้ไม่มีคนอ่าน ไม่มีใครชื่นชม ฉันรักที่จะเขียนเท่านั้นเอง
แต่ผมอยากให้คุณเป็นกวี
คำพูดของเขาช่างหนักแน่น สายตาที่มองฉันอยู่ขณะนี้ดูจริงจัง จ้องเขม็ง ฉันยิ้มเจื่อนๆให้กับเขาก่อนหันหน้าหนีสายตาของเขาไปเบื้องหน้าอีกของฝั่งหนึ่งที่เงียบเชียบ บ้านไม้ปิดไฟสู่ภวังค์
เวลาผมนั่งอยู่มุมนี้ผมเขียนอะไรได้มากมาย คุณมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยนั่นซิ มันพาเรื่องราวมากมายมาสู่เรา ก่อนที่มันจะผ่านไปเล่าเรื่องราวให้ใครอื่นฟัง เขามองออกไปเบื้องหน้าอีกครั้ง นัยตาเศร้าสร้อย
2.
สายน้ำไหลเอื่อยอ้อยอิ่ง เรือถุงพลาสติกสีขาวลอยผ่านหน้าไปช้าๆ เสียงยุงบินทำลายความเงียบพร้อมทั้งเสพย์เลือดอย่างสำราญจากเนื้อหนังของเราสองคน ผู้คนบนสะพานดูบางตาลงทุกที
รู้มั้ยผมชอบมองมุมที่ใครไม่มอง ขณะที่ใครหัวเราะผมอยู่ว่าบ้า ว่าเปิ่น หารู้ไม่ว่าผมก็หัวเราะเขาอยู่เหมือนกัน พวกเขานั่นแหละบ้ากว่าผมเสียอีก เขาหันมายิ้มจางๆ ก่อนหันกลับไปมองเบื้องหน้าตามเดิมพร้อมกับพูดต่อ
คุณต้องมองอะไรให้แตกต่างและหามุมมองที่แปลกออกไป ผมอยากให้คุณเป็นกวี ฉันหันมายิ้มให้กับเขาเพื่อให้บรรยากาศที่เป็นอยู่ดีขึ้น
ผม ฉันอ้าปากหาวก่อนที่เขาจะทันพูดจบประโยค
ง่วงนอนซะแล้ว ผมอยากให้ใช้เวลากลางคืนให้คุ้มค่ากว่านี้
ฉันมักตื่นเช้าและใช้เวลานั้นเขียนอะไรต่างๆ หรือนั่งคิดอะไรเงียบๆ หลายชีวิตเริ่มต้นวันใหม่อย่างสุขใจ บางชีวิตต้องรีบเร่งแข่งกับเวลาและการจราจร บางวันฉันนั่งรถไปรับบรรยากาศเช้าที่สวนสาธารณะใกล้ๆมองต้นไม้เมืองกรุงค่อยๆตื่นขึ้นทำหน้าที่ปอดเมืองกรุงอย่างแข็งขัน ยินเสียงวงสนทนาของผู้ผ่านโลกมานาน เรื่องราวตั้งแต่วัยหนุ่ม สาว จนปัจจุบันก่อนตะวันสายจะมาพรากความฝันจากไป ฉันชอบมองดูหลายสิ่งที่กำลังเริ่มต้น มันหมายถึงชีวิตใหม่
เดี๋ยวค่อยกลับนะ อยู่กับผมต่ออีกสักนิด เขาหันมาจ้องตาด้วยสายตาอ้อนวอน ก่อนจะพูดต่อ
คืนนี้นั่งคุยกันทั้งคืนได้ไหม พรุ่งนี้เราคงไม่พบกันอีกนาน
ฉันเงียบและมองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมแววตาที่อ้อนวอนของเขา ในใจกลับคิดถึงงานกองโตที่อยู่เต็มโต๊ะ และต้องส่งต้นฉบับในเร็ววัน ฉันนั่งฟังเขาต่อไปโดยให้เสียงของเขาทำลายความเงียบ
กลับเถอะค่ะ ดึกมากแล้ว ฉันได้ยินเสียงตัวเองหลังจากไม่ได้ยินนาน
ก็ได้ เดี๋ยวผมเดินไปส่ง
3.
เช้าวันนี้ สายลมหนาวทักทายฉัน สายหมอกเย้าหยอกยอดไม้ ขุนเขาโอบประคองสายน้ำอย่างอบอุ่น แสงแดดละมุนปลุกทุกชีวิตให้ฟื้นตื่น ฉันนั่งจิบน้ำชาอยู่บนชานเรือนไม้ไผ่หลังคามุงตองตึง หลายหลังควันไฟกำลังคุกรุ่นเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต เสียงภาษาแปลกหูเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน
คูคับ เช้านี้ไปกินข้าวบ้านผมมั้ย ถ้าไปผมจะให้ไก่กินคูคับ วันนี้บ้านผมแกงไก่
ฉันนึกถึงใครคนนั้นอีกครั้ง ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ สบายดีหรือเปล่าหรือคงพบใครสักคน ซึ่งเป็นกวีของเขาแล้ว เช้าวันนี้แกงไก่คงจะไม่กินฉันหรอกนะ