ฉันอาจเป็นเพียงตะเกียงดวงหนึ่ง ที่มีแสงเพียงน้อยนิด อาจจะไม่จำเป็นเลยในบางช่วงบางขณะ ที่พระจันทร์ทอแสงนวลกระจ่าง เธออาจจะทิ้งฉันไว้ข้างทางก้อเป็นได้ หากเธอคิดว่าฉันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ฉันจึงเปรียบตะเกียง เป็นดั่ง ตัวฉัน... ส่วนเธอน่ะ เป็น นักเดินทางคนนึง... ส่วนเค้าคนนั้น เป็น พระจันทร์.... นักเดินทางคนหนึ่งกับตะเกียงดวงเก่า ตะเกียงที่ให้แสงสว่างในค่ำคืนที่มืดมิด ตะเกียงที่ให้ความอบอุ่นได้ เมื่อนักเดินทางผู้นั้นต้องการ ในค่ำคืนที่สายลมหนาวได้ผ่านพัดมาอีกครา การเดินทางของนักเดินทางผู้นั้นก้อมี ตะเกียงเป็นเพื่อนคู่ชีพ แสงเพียงน้อยนิดที่พอจะส่องทางได้เป็นระยะๆ ทำให้นักเดินทางผู้นั้นเริ่มไม่พอใจในสิ่งที่ เค้ามีอยู่ เมื่อเค้ามีเพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมทางก็ได้กล่าวว่า "จะใช้ตะเกียงดวงเก่านี้ไปทำไม ในเมื่อแสงจากพระจันทร์ออกจะสว่างถึงเพียงนี้" นักเดินทางผู้นั้นคิดได้จึงทิ้งตะเกียงผู้น่าสงสารไว้ข้างทาง หลงเชื่อคำกล่าวของเพื่อนร่วมทาง ซึ่งเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาแล้วก้อผ่านไป ค่ำคืนนั้น เป็นคำคืนที่ยาวนานสำหรับฉัน... ...ตะเกียงผู้ถูกทอดทิ้งไว้ข้างทาง ก้อเค้าไม่สนใจแม้แต่น้อย กลับกัน เธอนักเดินทางที่กำลังหลงระเริง กับแสงจากพระจันทร์ ที่ส่องแสงนวลกระจ่าง มันสวยงาม มันชวนฝัน นักเดินทางผู้นั้นจึงเดินทางไปเรื่อยๆ เพียงลำพัง แค่สัมภาระ ไร้ตะเกียงดวงเก่า! เมื่อความมืดมิดแห่งค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป แสงจันทร์ที่เคยกระจ่างยามค่ำคืนก้อเลือนหาย ดวงตะวันได้โผล่ขึ้นมารับอรุณบอกกับทุกคนที่อยู่ใต้ผืนฟ้าว่านี่คือ เช้าวันใหม่ .............. สายลมหนาว ผ่านพัดมาเยือนอีกครา ผ่านพัด เป็นลมหนาวที่เย็นยะเยือก ตะเกียงดวงเก่าที่ถูกทอดทิ้ง บัดนี้ นักเดินทางอีกคนได้ผ่านมาพบจึงเก็บไว้เป็นสมบัติตน ตะเกียงจึงกลับกลายเป็น ของมีค่าอีกครั้ง มันได้ทำหน้าที่เช่นเดิม คือ ให้แสงสว่างและ ความอบอุ่นไปพร้อมๆ กัน เมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้วลำแสงสุดท้ายของวันเป็นสีส้มเป็นแสงสว่างสุดท้ายของวันนี้ ค่ำคืนได้ย่างกรายเข้ามา สายลมหนาวก้อเริ่มพัดแรงขึ้นๆ ดวงจันทร์ที่เคยทอแสงกระจ่างกลับถูกหมอกเมฆบดบังจนสิ้น! ราวกับจะกลั่นแกล้งนักเดินทาง คนเก่าที่เคยเป็นเจ้าของตะเกียง เค้าผู้นั้นไม่มีแม้แต่แสงไฟที่จะใช้ส่องทางและเช่นกัน เค้าไม่มีแม้กระทั่งความอบอุ่น นักเดินทางหนาวสั่นจะเดินต่อก็กลัว หลงทาง เค้าจึงย้อนกลับไปเอาตะเกียงดวงเก่าที่ได้ทิ้งไว้เมื่อคืนก่อน ... ลมหนาวได้ผ่านพัดมา ราวกับจะทรมานนักเดินทางผู้นั้น จนกระทั่งมาถึงจุดที่เขา ได้ทิ้งตะเกียงไว้ บัดนี้ตะเกียงดวงเก่าได้ สาปสูญไปแล้ว เค้านึกเสียดายจับใจ แม้จะเรียกร้องเพียงใดก้อมิได้กลับคืน จึงทำได้แต่เพียงนอนหนาว รอให้เมฆหมอกที่บดบังดวงจันทร์นั้นได้ผ่านเลยไป เวลาได้ผ่าน........ เมฆหมอกได้เลือนหายไปแล้ว แสงจันทร์ได้กลับมาสดใสอีกครา ทำให้นักเดินทาง ผู้เหน็บหนาวอุ่นใจขึ้น แต่ดวงจันทร์ก้ออยู่ไกลเกินไป....... ไกลเกินที่จะทำให้นักเดินทางผู้เหน็บหนาวได้รับความอบอุ่น เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า "เรามักจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราครอบครองนั้นดีเพียงไรมีคุณค่ากับเราเพียงใด เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว" เพราะฉะนั้นฉันจึงอยากให้ผู้ที่ใฝ่สูงทั้งหลายจงหันกลับมามองคนใกล้ตัว การชะเง้อมันเมื่อยกว่าการก้ม จริงไหม?
22 สิงหาคม 2545 08:12 น. - comment id 66186
ซึ้งมาก แต่ระวังน้ำมันตะเกียงหมดนะ อิอิ
22 สิงหาคม 2545 09:18 น. - comment id 66191
แต่งได้ดีมากเลยค่ะ นักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่
15 กันยายน 2545 19:07 น. - comment id 66388
zผมชอบบทความของพี่มากเลยคับ ติดต่อกับผมน่ะคับ d_na14@hotmail.com
1 พฤศจิกายน 2545 20:31 น. - comment id 66819
-ปวดหลังจัง.. -ที่น่าสนใจอยู่ตรงที่การนำเสนออย่างฉาบฉวย และความหลงผิดเข้าอย่างจัง ทั้งคนเขียนและตัวละคร -แต่นับจากที่เขารู้ว่าค่าที่เหมาะสมกับเวลานั้นเป็นอย่างไร ทั้งเขาและน้องทรายก็ได้มันมาทั้งหมด