......เพราะรักเธอ...... (2)

TANOI_ZA

หลังจากที่เรารู้จักกันมาได้ 6 เดือนกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเรายังหยุดอยู่แค่คำว่าเพื่อน แต่ทว่าที่สวนสาธารณะแห่งนั้นจะมีเพียงแค่ผมและอักษรเพียงแค่สองคน เพราะตอนนี้ผมใช้ภาษามือคล่องมากแล้ว ส่วนน้องชายของเธอนั้นก็เข้าช่วงเปิดเทอมพอดี มันก็แค่ข้ออ้างล่ะครับเพราะถึงแม้จะปิดเทอมแล้วผมก็ไม่ยอมให้จารึกตามมาด้วยอยู่ดี เรื่องทางบ้านเธอนั้นก็ไม่มีปัญหาทำให้ผมมีโอกาสพาเธอไปที่อื่นได้มากกว่าการไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะด้วย
มีอยู่วันหนึ่งที่ผมเกือบคลั่ง วันนั้นเป็นวันที่ผมพาเธอไปซื้อหนังสือแถวชั้นวรรณกรรมเด็กและเยาวชน ผมยืนเลือกอยู่กับเธอเป็นชั่วโมง ต่างคนต่างถือหนังสือกันคนละเล่ม เธอดูมีสามาธิกับการอ่านหนังสือเคียงข้างผมเหลือเกินในขณะที่ผมคิดเพ้อเจ้อของผมไปเรื่อยเปื่อยเคียงข้างเธอ สิ่งที่ผมคิดก็ไม่พ้นเรื่องเธอล่ะครับ ผมกำลังคิดว่าจะพาเธอไปกินข้าวที่ไหนดี และมีบางครั้งที่ผมเหลือบตามองสาวสวยบางคนที่เดินผ่านไป ก็ผมเป็นผู้ชายนี่ครับยังไงสันดานเจ้าชู้มันก็ยังมีอยู่บ้าง และที่สำคัญผมกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ดังนั้นผมจะมีใครจะทำอะไรผมก็ไม่ผิดกับเธอ สักพักผมจึงขอตัวไปเดินเล่นตรงชั้นหนังสือประเภทอื่นบ้าง สันดานเก่าเริ่มออกครับผมจะแอบไปดูสาวสวยคนหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่านผมไปเมื่อครู่ อันที่จริงแล้วผมไม่ต้องแอบก็ได้เพราะเราเป็นแค่เพื่อนกัน 
ผมเดินเข้าไปทักทายสาวหุ่นดีแต่งหน้าจัดผิดกับอักษรที่สวยธรรมชาติ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาผมยังไม่เคยเห็นเธอแต่งหน้าเลยสักครั้งเดียว ผมยืนคุยกับลลนาจนเพลิน (ชื่อแม่สาวจัดจ้านน่ะครับ) เราสองคนทำความรู้จักกันถึงขั้นขอเบอร์โทรศัพท์มือถือและนัดพบกันคืนนี้ที่ผับแห่งหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนที่ผมนัดพบผู้หญิงคนอื่นนอกจากอักษร เราคุยกันอยู่นานเท่าไรไม่ทราบลลนาก็เปลี่ยนสีหน้าและหรี่ตาไปด้านหลังผมคล้ายจะบอกอะไรสักอย่าง ผมรู้เลยว่าต้องเป็นอักษรมารอผมแน่ๆ เธอทำมือบอกผมว่าเธอได้หนังสือที่ต้องการแล้ว ทันทีที่เธอใช้ภาษามือคุยกับผม เสียงแหวก็ดังขึ้นมาขัดกลาง
ตายแล้ว! คนที่คุณพามาด้วยเป็นใบ้เหรอ บ้าด้วยหรือเปล่าเนี่ย แล้วนี่อ่านหนังสือได้ด้วยหรือจ้ะ ผมสาบานได้ว่าถ้าเขาเป็นผู้ชายผมคงชกหน้าไปแล้ว อย่างที่คุณรู้แหละครับถึงแม้ว่าอักษรจะไม่ได้ยินแต่เธอมีสัมผัสพิเศษที่แตกต่างจากเรา เธอสามารถรับรู้ได้ว่าคู่สนทนารู้สึกอย่างไรกับเธอ ผมรู้สึกผิดจริงๆ ที่เดินไปทำความรู้จักกับยายปากอมหมาเข้าไปทั้งฟาร์มนี่ เพราะสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอักษรบีบหัวใจผมให้เจ็บปวดและอึดอัดมากจนแทบระเบิด เธอรีบเดินหนีออกจากร้านถ้าผมไม่คว้ามือเธอไว้ก่อน ผมรีบหยิบหนังสือในมือเธอไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน (ผมมักจะทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เราไปร้านหนังสือ) อักษรทำท่าจะร้องอยู่รอมร่อแล้ว ผมดูแลของผมมาไม่ให้ยุงไต่ไรตอมแม่นั้นมาจากไหนถึงได้มาพูดกับเธอแบบนั้น แต่ผมไม่ควรจะโทษใครหรอก เพราะมันเป็นความผิดของผมที่เผลอไผลเผยสันดานเก่าออกมาต่างหากล่ะ
เมื่อมาถึงที่รถสิ่งที่ผมคาดไว้ก็เกิดขึ้น อักษรร้องไห้อย่างไม่ลืมหูลืมตา ให้ตาสิครับ! ผมอยากจะต่อว่าตัวเองอยากลงโทษตัวเองที่เป็นคนชักศึกเข้าบ้าน ผมทำเรื่องผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่สำหรับเธอไปอย่างไม่น่าให้อภัย เธอไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากที่วางของหน้ารถยนต์ไม่ว่าผมจะเบี่ยงเบนความสนใจขนาดไหนก็ตาม จนผมต้องยอมแพ้ปล่อยให้เธอร้องไห้ให้สาแก่ใจ แต่กว่าเธอจะหยุดร้องไห้ผมก็ทรมานไม่แพ้เธอ แค่เธอร้องไห้ผมก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว แต่นี่ตัวผมเองกลับเป็นคนทำให้เธอเจ็บและยิ่งทรมานเมื่อรู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามองเธอร้องไห้เพียงอย่างเดียว ผมจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปที่ร้านหนังสือนั้น คราวนี้ผมตั้งใจอ่านหนังสืออยู่หลายเล่มเพื่อหาสิ่งแทนใจผม หาเท่าไรก็ไม่ได้ครบทุกอณูความรู้สึก ผมจึงตัดสินใจเขียนคำขอโทษออกมา เขียนเท่าไรก็ยังรู้สึกว่ามันไม่พอ แต่ผมต้องกลับไปหาเธอแล้ว เพราะผมทิ้งเธอมานานแล้ว เมื่อผมกลับไปที่รถเธอก็หลับไปแล้วล่ะครับ คงร้องไห้จนหลับไป ดีนะครับที่ผมเปิดกระจกไว้แคบๆ ทั้ง 2 บานเพื่อระบายอากาศ อักษรตื่นเมื่อตอนที่ผมกำลังจะพาเธอไปทานอาหาร ผมยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นที่เธอยิ้มให้กับผมครับ ยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิด เธอยังส่งยิ้มสดใสมาให้ผมได้อีกหรือ เธอไม่โกรธผมเลยหรือไง 
เมื่อเราไปถึงที่ร้านอาหารผมสั่งอาหารจานโปรดของอักษรและของผมให้บริกรอย่างรวดเร็วเพื่อที่ผมจะได้ขอโทษกับเรื่องบ้าๆ ที่ผมทำไป เมื่อบริกรทิ้งเราไว้ที่โต๊ะห่างไกลผู้คนที่ผมเลือกเองเพื่อความสะดวกในการพูดคุยปรับความเข้าใจแล้ว ผมจึงเขยิบแขนข้างที่ถือสมุดเล่มบางที่บันทึกความรู้สึกผิดและคำขอโทษผมไว้ไปมาอยู่นานจนเธอเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมไม่กล้ายื่นให้เธอครับผมเขิน ตอนที่เขียนเสร็จใหม่ๆ อยากให้ใจจะขาดเพื่อขอโทษเธอ แต่เมื่อผมรู้ว่าเธอไม่ได้โกรธผมเท่านั้นความขี้ขลาดก็ทำให้ผมไม่อยากส่งให้เธออ่านเอาดื้อๆ ผมเปลี่ยนใจแล้วล่ะ ผมไม่ให้เธอแล้ว ผมไม่ให้เธอจริงๆ นะครับจนเรากินข้าวเสร็จเรียบร้อยผมก็ยังไม่ยอมยื่นให้เธอ แต่ผมรู้ว่าเธอยังอยากรู้ว่าผมเป็นอะไรกันนักหนาถึงได้มีท่าทางแปลกๆ อยู่นี่
อักษรขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่จึงกลับมา เมื่อเดินผ่านตัวผมในรอบขากลับมาที่โต๊ะนี่สิ ผมนั่งตัวแข็งหน้าแดงเป็นกุ้งต้มเลยทีเดียว เพราะเธอก้มลงเก็บสมุดที่ผมเผลอทำตกไว้เมื่อไรก็ไม่ทราบได้ อักษรชูสมุดขึ้นและส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้ผม เป็นอันว่าเรารู้กัน เธอรู้ว่านั่นคือต้นเหตุที่ทำให้ผมมีท่าทีแปลกประหลาดระหว่างทานข้าวกัน เธอรีบกางขึ้นอ่านต่อหน้าผมทันทีที่เธอนั่ง
ผมขอโทษนะอักษร ผมขอโทษ ไม่รู้จะขอโทษอย่างไรให้ตัวผมเองรู้สึกพ้นผิดที่ทำไปในครั้งนี้ อ่านข้อความผมจบแล้วคุณยังจะยิ้มให้กับผมเหมือนเดิมได้ไหม ผมคงไม่เห็นแก่ตัวไปใช่ไหมถ้าจะขออย่างนี้ ผมผิดเองที่แอบคุณไปทำความรู้จักผู้หญิงคนนั้นคุยกับเธอจนลืมไปหาคุณ ปล่อยคุณอ่านหนังสืออยู่คนเดียว และยังปล่อยให้เธอคนนั้นมาพูดกับคุณแบบนั้นโดยที่ผมยังทำอะไรเธอไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง ผมไม่ชอบเห็นคุณเวลาร้องไห้เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะขาดใจ แต่วันนี้ผมเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ทรมานกว่าคือการที่ผมเป็นคนทำให้คุณร้องไห้ด้วยน้ำมือตัวเอง ผมอยากจะด่าตัวเองแรงๆ ทำโทษให้หลาบจำ อยากจะทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้คุณหยุดร้องไห้ ผมทนเห็นคนคุณร้องไห้อยู่อย่างเดียวโดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรให้คุณไม่ได้หรอกนะ ผมขอโทษนะ ผมขอโทษ คุณอย่าร้องไห้เลยนะ หยุดร้องไห้คร่ำครวญเพราะคนอย่างผมเถอะ มันไม่มีค่าอะไรเลย ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษ (อันที่จริงผมอยากจะใส่ ฯลฯ ท้ายไปด้วยซ้ำ)
เธอเงยหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมา แต่คราวนี้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่น้ำตาที่เกิดจากความเสียใจ ผมรู้ดีจากแววตา สีหน้า ท่าทาง ที่เธอมองตรงมาที่ผม เธอกำลังปลาบปลื้มดีใจกับข้อความของผม ความเขินอายเมื่อครู่นี้เธอลบมันให้ผมจนไม่มีเหลืออยู่เลย มันเหือดหายไปตั้งแต่ผมเห็นเธออ่านข้อความที่ผมเขียนให้เธอทั้งรอยยิ้มและน้ำตา มันรู้สึกดีมากนะครับ ผมรู้สึกดีที่สุดเหมือนกับที่เธอเคยให้ผมมาตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน
ผมเอื้อมมือข้างหนึ่งไปกุมมือข้างที่เธอกำลังปาดน้ำตาอยู่ด้วยอาการประหม่า นี่ล่ะคือช่วงเวลาที่ผมลืมเตือนตัวเองว่า อย่ารักเธอ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกหายใจติดขัดจนแทบจะไม่หายใจก็ว่าได้ อีกมือผมเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือเพราะกลัวแก้วเจียรไนชั้นดีราคาแพงตรงหน้าจะแตกคามือคนอย่างผม เธอเองก็เอียงหน้าเข้าหามือข้างที่ผมเอื้อมไปเช็ดน้ำตาพรางหลับตาพริ้มเพื่อซึมซับความรู้สึกต่างๆ ที่ถ่ายทอดถึงกัน ผมรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อจนสามารถพูดได้เลยว่า ตั้งแต่เกิดมาผ่านผู้หญิงมาก็เยอะ แต่ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมอบความรู้สึกดีอย่างประหลาดให้ผมได้เท่ากับที่อักษรให้ผมเลย
อักษรครับผมระระ ในขณะที่ผมกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อบอกสิ่งที่ผมพยายามห้ามใจตัวเองอยู่ เสียงของโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กก็ดังขึ้นเรียกสติของผมที่เผลอไปเมื่อครู่ให้กลับมาสู่ความจริง ผมดึงมือของผมกลับโดยอัตโนมัติ คุณว่า..ผมควรจะดีใจที่ไม่ได้หลุดคำนั้นออกมาหรือผมจะเสียใจดีครับ ตอนที่ผมดึงมือกลับจากการเช็ดน้ำตาหรือกุมมือเธอ รู้สึกว่าผมจะเห็นแววตาบางอย่างที่เธอฉายขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะที่เธอจะส่งยิ้มมาให้ผมเช่นเคย ผมไม่เข้าใจแววตาที่เธอแสดงความรู้สึกออกมาเมื่อครู่มันหมายความอย่างไรรู้แต่ว่าผมใจหายวาบทันทีที่สบตากับเธอ แต่ในเมื่อเธอยิ้มให้ผมแล้วเรื่องนั้นจึงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยขึ้นมาทันที
โทรเครื่องเล็กดังไม่หยุดเรียกผมให้หันไปสนใจและเรียกผู้ที่มาทานอาหารโต๊ะอื่นให้หันมามองเราสองคนด้วยสายตาไม่พอใจ (ไม่ได้นั่งใกล้กันขนาดหายใจลดต้นคอสักหน่อยจะหงุดหงิดกันไปทำไมกันนะครับ) ไม่ใช่ใครหรอกครับก็แม่สวยสาวที่ผมขอเบอร์ที่ร้านหนังสือนั่นน่ะแหละครับ เธอไม่รู้หรือไงนี่ว่าผมทั้งโกรธและโมโหเธอมากขนาดที่อยากจะชกเธอเพื่อเอาคืนสักหมัดสองหมัด ผมไม่อยากรับโทรศัพท์เธอเลย ถ้าผมกับอักษรไม่ตกเป็นเป้าสายตาอยู่นานเพราะเจ้าโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่มใหม่ล่าสุดของผมไม่ยอมหยุดร้องสักทีล่ะก็ ผมจึงต้องสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้เพื่อลดอารมณ์โกรธยายลลนา และกรอกเสียงไปตามคลื่นโทรศัพท์
ครับ ผมจารึกครับ
แหมทำไมพูดเสียงแข็งล่ะคะ เมื่อเย็นเรายังคุยกันเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่เลย
มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ
ต้องมีสิคะ เรานัดกันไว้ที่ผับอะไร คุณจำไม่ได้หรือถึงยังมาไม่ถึง หรือถ้ามาไม่ถูกจะให้ลลนาไปรับก็ได้นะคะ
ผมมีธุระ คงไปไม่ได้แล้ว
กับเพื่อนพิการที่คุณพาไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือนั่นหรือเปล่าคะ
เพื่อนผมเขาชื่ออักษรครับ แต่ผมจะอยู่กับใครมันก็ไม่ใช่ธุระของคุณจะรู้ไปก็สะสอดเรื่องคนอื่นเปล่าๆ  (ที่ผมต้องการพูดใน สะ แรกนั้นเหมือนว่ามันจะแรงไป ผมจึงต้องเปลี่ยนให้มันดูดีขั้นมานิด)
ตายแล้ว นี่ยังโกรธที่นาพูดเมื่อเย็นอยู่อีกเหรอคะ ก็ไม่ได้โง่อะไรนี่ครับ ดีนะที่ยังรู้ว่าตัวเองทำบ้าอะไรไว้ ผมต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกรอบเพื่อพูดกับเธอ
คุณก็รู้นี่ครับว่าเมื่อเย็นคุณพูดจาเสียมารยาทขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอตัวเลยแล้วกัน และถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องโทรมาอีกก็ดีนะครับ
หวงจังเลยนะคะยายใบ้นั่นน่ะ เป็นเพื่อนกันแน่หรือคะ ประคบประหงมเอาใจอย่างกับไม่ใช่แค่เพื่อน หรือว่าคนหน้าตาดีมีฐานะอย่างคุณจารึกหาผู้หญิงที่ดีกว่านี้มาเป็นเพื่อนนอนไม่ได้อีกแล้ว
คุณ! ให้เกรียติกันบ้างนะ! กรุณาอย่าดูถูกเธอ และที่สำคัญเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นเพื่อนกัน! คุณเข้าใจไหมว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน!  ประโยคหลังๆ นี่รู้สึกว่าผมจะบอกตัวเองมากกว่า คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ 
อักษรเห็นผมมีสีหน้าเครียดละมั้งครับ เธอจึงเอื้อมมือมาจับแขนผมแน่นและส่งสายตาเป็นห่วงเชิงอ่อนวอนเพื่อเรียกสติ ผมจึงต้องสงบจิตใจตัวเองลงและทำใจเย็นพูดกับยายคนที่ไม่ได้มีสมองไว้คิดเรื่งออะไรที่สูงไปกว่าฝ่าเท้า
แค่นี้นะครับคุณลลนา
ก็ตามใจสิคะ เพราะฉันว่ามันคงไม่แค่นี้หรอกค่ะ เราอาจจะได้เจอกันอีก แต่คนที่ฉันอยากเจอไม่ใช่คุณหรอกนะ แต่เป็นยายใบ้นั่นต่างหาก เธอไม่รอให้ผมถามเธอเพื่อไขข้อข้องใจที่เธอทิ้งไว้ก่อนวางสาย สีหน้าผมมันคงดูเครียดมากจนอักษรขมวดคิ้วจนแทบจนผูกกันเป็นโบว์ 38 ปมอยู่แล้ว แววตาเธอฉายแต่คำถามกับข้อสงสัยอยู่เต็มไปหมด แต่เรื่องอะไรผมจะเล่าให้เธอฟังจนจบล่ะ ผมไม่ได้เล่าประโยคสุดท้ายลลนาพูดก่อนจะวางสายหรอก เพราะผมไม่อยากให้เธอคิดมาก ผมได้แต่ลูบเธอเพื่อปลอบใจอย่างเอ็นดู จนในที่สุดเธอก็ยอมแพ้ที่จะไถ่ถามเอาความจริงทั้งหมดจากผมอย่างจำใจ 
นั่นเป็นครั่งหนึ่งที่ผมเกือบพลาดบอกความในใจของผมกับเธอ อยู่ใกล้เธอแล้วผมมักมีสติไม่มั่นคง มักเผลอตัวทำอะไรตามใจตัวเอง มักทำในสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของผม ผมเป็นฝ่ายทำอะไรไม่ถูกเองเมื่อเห็นเธอร้องไห้ ผมรู้สึกอึดอัดหงุดหงิดเองที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้ ผมเป็นฝ่ายเขินเองเวลาที่ได้ใกล้ชิดเธอ (รวมถึงเรื่องผมเผลอทำอะไรหวานเสียจนเลี่ยนด้วยนะครับ) ผมเป็นฝ่ายตื่นเต้นและดีใจที่ได้เห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุข รู้สึกเจ็บลึกปวดจนทนไม่ได้ทุกครั้งที่เธอมีแววตาเจ็บปวด เธอควบคุมผมได้อยู่หมัดโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรเพื่อยั่วยวนผมเลย แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องหยุดมันไว้แค่คำว่าเพื่อน ผมจะให้เราเป็นมากกว่านี้ไม่ได้ผมกลัวดูแลเธอได้ไม่ดีพอ กลัวว่าผมจะเลิกนิสัยเก่าไม่ได้จนทำให้เธอต้องเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีก และผมยังกลัวสายตาคนรอบข้างที่มองผมอยู่ บ้าชะมัดเลยนะครับ เราไปไหนมาไหนด้วยกันทุกวัน ปฏิบัติต่อกันราวกับเป็นคนรัก แต่เรากลับยังเป็นแค่เพื่อนกัน เธอรู้ว่าผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร เกลียดอะไรรักอะไร ผมเองก็รู้ว่าเธอชอบอะไรไม่ชอบอะไรรักอะไรหรือเกลียดอะไรเช่นกัน แต่เราก็เป็นได้แค่นี้จริงๆ
ผมเคยพาอักษรไปเที่ยวทะเลใต้ด้วยนะครับ (ผมไม่เคยเกี่ยงเรื่องระยะทางความไกลอยู่แล้ว จากเหนือจรดใต้ผมไปได้ถ้าเธอต้องการ) ทางบ้านเธอไว้ใจผม (หรือวางแผนก็ไม่ทราบได้) ถึงขนาดปล่อยให้เราไปค้างกันเพียงแค่สองคนที่บ้านพักตากอากาศส่วนตัวของเธอที่มีเพียงหนึ่งห้องนอน แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไว้ใจผมขนาดไหนก็ตามเราก็นอนคนละห้องครับ ผมไม่กล้านอนด้วยหรอกครับ ผมกลัวห้ามใจตัวเองไม่ได้ ก็อย่างที่ผมบอกอยู่ใกล้เธอแล้วสติสตังผมไม่ค่อยมั่นคงกลัวจะเผลอใจรังแกเธอเข้า แค่เรานอนบ้านหลังเดียวกันนี่ก็ทำให้ผมใจสั่นทำอะไรไม่ถูกแล้ว และที่สำคัญเพื่อรักษาเกรียติของเธอด้วยเนื่องจากว่าเธอเป็นลูกผู้ดีเก่าที่มีความคิดค่อนข้างเป็นปัจจุบัน มีเงินมีทองที่เป็นมรดกเก่า ผิดกับครอบครัวชาวจีนอย่างผมที่มีเงินเพราะธุระกิจที่ปะป๊ากับมะหม้าช่วยกันสร้างขึ้นมาจนร่ำรวยชนิดที่มากพอจะเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานผมได้ทีเดียว ดังนั้นบ้านผมจึงไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องการรักษามารยาท แต่ผมรู้จักคำเหล่านี้เพราะผมต้องเอาใจคนในบ้านเธอด้วย อักษรไม่เคยถือเรื่องที่ผมเสียมารยาทแต่ทางบ้านเธอนี่สิครับถึงแม้ว่าจะมีหัวสมัยใหม่แต่เรื่องมารยาทนี่ต้องเนียบพอสมควรทีเดียว 
เอ้ะ! ผมพูดถึงเรื่องอะไรอยู่นะครับ อ้อ! เรื่องพาไปเที่ยวทะเลสินะครับ อันที่จริงผมพาเธอไปเที่ยวทะเลด้วยกันบ่อยนะครับ เพราะเธอชอบทะเลมาก เธอชอบวาดรูปทะเล ชอบถ่ายรูปธรรมชาติ ด้วยเหตุผลที่ว่าคนเราบางครั้งสิ่งที่เราอยากจำก็ไม่สามารถจำรายละเอียดได้ครบทุกฉากทุกตอน ดังนั้นเธอจึงอยากบันทึกมันเป็นรูปถ่ายหรือภาพวาดเพื่อบันทึกทุกเรื่องราวประทับใจจนกระทั่งการวาดรูปเหล่านั้นเป็นงานประจำสำหรับเธอไปตั้งแต่เธอยังไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ
ผมชอบที่จะนั่งมองเธอวาดรูปอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของเธออย่างเงียบๆ เพราะผมจะรับรู้ความคิดความรู้สึกเธอได้จากเส้นสายลายดินสอสีน้ำที่ระบายลงบนผืนผ้าใบเปล่านั้น วันนั้นที่เราไปค้างกันเพราะเธออยากได้รูปตอนกลางคืน อ้อ! อีกอย่างที่เธอชอบคือ ท้องฟ้าเวลากลางคืน เธอชอบที่จะมองฟ้ายามค่ำคืนที่มีดาวและพระจันทร์แข่งกันส่องแสงในที่โล่งกว้าง เธอบอกว่าเวลามองจะรู้สึกสบายใจเหมือนกับว่าเรามีเพื่อนอยู่เต็มไปหมดและที่สำคัญมันให้กำลังใจเธอ อักษรเปรียบว่า
พระจันทร์เปรียบเหมือนคนปกติธรรมดา ส่วนดาวดวงน้อยๆ ที่ประดับท้องฟ้าคู่กับพระจันทร์คือตัวของฉัน ฉันอาจจะดูไม่สำคัญสำหรับพระจันทร์ ไม่เป็นที่เพ่งเล็งยามอยู่เคียงข้างพระจันทร์ แต่ความพยายามที่ช่วยกันส่องแสงของฉันไม่เคยส่องแสงน้อยกว่าพระจันทร์เลย เพราะถ้าคนสังเกตดูดีๆ ท้องฟ้าไม่ได้สว่างขึ้นเพราะพระจันทร์เพียงอย่างเดียวหรอก แต่มันสว่างเพราะดวงดาวน้อยๆ เหล่านั้นด้วยเช่นกัน เพียงแต่ไม่เคยมีใครเห็นเท่านั้นเอง ผู้คนมักจะมองว่าดาวเป็นแค่ส่วนประกอบของท้องฟ้าเท่านั้นเอง ตอนที่เธออธิบายให้ฟัง ผมขอค้านเธอหัวชนฝาในใจอยู่คนเดียวเลย ผมอยากบอกเธอว่ามันไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยผมคนหนึ่งที่เห็นว่าดาวดวงนี้ส่งแสงได้ดีเพียงใดและสว่างมากขนาดไหน เป็นดาวที่อยู่ในมือผมแต่ก็ไม่ใช่ของผม แต่ผมจะให้ความสำคัญและทะนุถนอมให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ผมจึงได้แต่บอกเธอว่า
ท้องฟ้าต่างหากที่เห็นความสำคัญของดวงดาว เพราะท้องฟ้าอยู่ใกล้ดวงดาวมากที่สุด ท้องฟ้าจึงรู้ว่าดวงดาวสำคัญมากขนาดไหนสำหรับท้องฟ้า บางทีท้องฟ้าอาจจะรู้ดีด้วยซ้ำว่าดาวสำคัญกับฟ้ามากว่าพระจันทร์ เพียงแต่ว่าผู้คนที่อยู่ห่างไกลไปจากท้องฟ้าไม่เข้าใจอย่างที่ท้องฟ้าเข้าใจ ท้องฟ้าจึงได้แค่คิดแต่ไม่อาจแสดงออกมาให้ดวงดาวรับรู้ได้ ผมรู้ว่าเธอเข้าใจสิ่งที่ผมบอกเธอดีและเธอก็ต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่ผมบอกเธอไป แต่ผมก็ต้องกลั้นใจบอกเธอไป เพราะผมต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเราไม่เหมาะกัน ใครจะว่าผมเห็นแก่ตัวที่จะดึงเธอไว้กับผมโดยไม่คิดเปลี่ยนฐานะระหว่างเราให้เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อนก็ตามใจเขาเถอะ แต่ผมก็จะให้ความสำคัญกับเธอมากที่สุดและให้กับเธอคนเดียวเท่านั้น 
ภาพของเธอในคืนนั้นออกมาเป็นรูปของคนสองคนที่เดินเล่นกันอยู่ที่ริมชายหาดห่างไกลไปจากเราสองคน โดยมีแผ่นฟ้าสีดําที่แต่งแต้มไว้ด้วยพระจันทร์และดวงดาวเป็นฉากส่วนใหญ่ ฝ่ายชายเหมือนมนุษย์เดินดินธรรมดาแต่ผู้หญิงเรืองแสงได้ราวกับว่าเธอคือดวงดาวบนดิน สองคนนั้นกำลังจับมือกันเดินเล่นท่าทางของผู้ชายแสดงให้เห็นว่าเขากำลังมีความสุข ในขณะที่ฝ่ายชายจับมือของฝ่ายหญิงอยู่นั้นมืออีกข้างเขาก็กอดลูกกลมลักษณะคล้ายลูกโลกไว้ ผมรู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการจะต่อว่าผมเรื่องที่ผมเป็นห่วงเรื่องภาพลักษณ์ตัวเองหรอก อักษรแค่อยากระบายความในใจของเธอออกมาเท่านั้นเอง เธอไม่คิดว่าผมจะเข้าใจภาพทุกภาพที่เธอวาดน่ะครับ เพราะว่าผมไม่ได้เรียนศิลป์หรือมีความเป็นศิลปะในใจเลย แต่ที่ผมเข้าใจภาพเขียนของเธอก็เพราะว่าผมอยู่ใกล้เธอจนรู้ทุกความรู้สึกทุกความคิด ทุกอย่างที่เธอทำผมรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ วาดเสร็จเรียบร้อยเธอก็หันมาส่งยิ้มให้เหมือนกับว่าเธอไม่ได้รู้สึกเศร้าใจอย่างผู้หญิงในภาพนั้น นี่ล่ะที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บ อักษรมักจะฝืนยิ้มส่งมาให้ทุกครั้งที่เธอรวบรวมความสติได้เพื่อทำให้ผมสบายใจและไม่คิดมากเรื่องเธอ คราวนี้ผมต้องทำเป็นมองข้ามการกระทำแบบนี้ของเธอเพื่อห้ามใจตัวเองและเพื่อไม่ให้เราสองคนถล่ำลึกลงไปมากกว่านี้ 
ผมช่วยอักษรเก็บเฟรมภาพ ขาตั้งเฟรมและอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันแทนเธอแล้วจึงเดินตามหลังเธอเข้าบ้าน เธอไม่หันมามองหน้าผมเลยสักครั้ง นั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากจนผมเริ่มสงสัยว่าที่ผมพูดอย่างนั้นกับเธอไป มันดีแล้วหรือ! เธอไม่สื่อความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย น้อยใจ เสียใจ งอน เศร้าโศก มาให้ผมรับรู้เลย การที่เธอพูดไม่ได้ไม่ได้ความผมจะอึดอัดทุกครั้งไปนะครับ บางครั้งผมมีความสุขด้วยซ้ำไป แต่วันนี้เธอทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก ผมจะแก้ตัวก็กลัวจะเข้าตัวเองกลัวเผลอใจบอกความในใจออกไปอีก ได้แต่ทำเป็นไม่ใส่ใจอาการแบบนั้นของเธอ นี่ผมทำอะไรลงไปนี่ ผมตั้งใจจะพาเธอมาเที่ยว พาเธอมาเปิดหูเปิดตาหาความสุขจากการสูดไอแดดที่กระทบเม็ดทรายนับล้าน แต่นี่ผมกลับเปลี่ยนความสุขเป็นความเศร้าที่เงียบสงบแทนได้อย่างเลือดเย็น 
ผมหาโอกาสอยู่นานมากจนเธอเดินออกมาจากห้อง ผมรีบลุกขึ้นและชวนเธอไปทานข้าวเย็นตอนเที่ยงคืน ทั้งๆ ที่เราเพิ่งกินข้าวเย็นไปเมื่อ 6 โมงเย็น (เปิ่นอีกแล้ว ท่าจะเพี้ยนเข้าสักวันแน่เลยนะครับ)
กินข้าวไหม เธอพยายามยิ้มสุดความสามารถ แต่มันก็เป็นได้แค่ยิ้มมุมปากพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ พูดภาษามือกับผมว่า กินเมื่อเย็นนี้แล้ว ผมจึงยิ้มแก้เก้อ ผมนี่แย่จังเลยนะครับจะหาโอกาสแก้ตัวยังไม่ดูเวล่ำเวลา ผมจึงเปลี่ยนใจชวนเธอนั่งดื่นโอวัลตินอุ่นแทน
ดื่มโอวัลตินอุ่นๆ สักแก้วก็ได้ จะได้นอนหลับสบาย ดีใจมากครับที่ผมแก้สถานการณ์ให้เป็นแบบนั้น เพราะเธอตกลงทันที ผมจึงรีบเดินเข้าครัวไปชงโอวัลตินให้เธอด้วยรสชาติที่เธอโปรดปราน 
ตอนที่ผมเดินออกมาจากห้องครัวเธอกำลังหลับตาพิงพนักเก้าอี้ที่บุผ้าเนื้อดีอยู่ ผมสาบานได้ว่ามันเป็นภาพที่สวยเสียจนผมนึกว่าผมเป็นเจ้าชายในเทพนิยายกริมและเธอก็เป็นเจ้าหญิงแสนงามที่กำลังรอจุมพิตจากเจ้าชายผู้เก่งกล้าอยู่ แต่ในเมื่อเราสองคนไม่มีใครเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงดังนั้นผมควรจะห้ามใจตัวเองไม่ให้แอบจุมพิตเธอใช่ไหมครับ แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงกำลังพยายามวางแก้วโอวัลตินให้เบามือที่สุดเพื่อไม่ให้หญิงงามตรงหน้าผมตื่นขึ้นมา ผมค่อยๆ นั่งลงที่พื้นไม้ด้านข้างตัวเธอ หัวใจผมมันร่ำร้องอยากเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ตกมาบังหน้าเธอจังเลย ทันเท่าความคิดมือหนาหยาบกร้านของผมก็ถือวิสาสะเลื่อนไปเกลี่ยปอยผมเหล่านั้นอย่างเบามือที่สุด แต่มันคงจะหนักสำหรับเธอเพราะอักษรสะดุ้งตื่นขึ้นมามองหน้าผม ความตกใจทำให้เธอลืมเรื่องเศร้าไปชั่วขณะและเผลอยิ้มให้ผมเต็มเหยียด ได้โปรดเถอะอักษรถ้าคุณยังไม่อยากให้ผมรังแกคุณตอนนี้ คุณก็อย่าเพิ่งยิ้มแบบนั้นตอนนี้ อย่ามองผมด้วยสายตาไร้เดียงสาราวกับไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะมันจะทำให้ผมทนไม่ได้ เหมือนเธอได้ยินที่ผมคิดเธอเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบสนิทราวกับว่าที่เธอยิ้มให้ผมเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตา ผมจึงเริ่มมีสติและลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ชุดเดียวกันที่ฝั่งตรงข้ามเธอ ผมยังคิดอะไรไม่ออกเพราะยังไม่หายตื่นเต้นจากเรื่องที่ผมเกือบจะเกินเลยกับเธอมากกว่าสิ่งที่เพื่อนจะปฏิบัติต่อกัน
จนในที่สุดอักษรก็ทำท่าจะลุกขึ้นโดยไม่มีทีท่าจะจิบโอวัลตินที่ผมชงให้เธอ ผมได้แต่คว้าข้อมือบางเพื่อรั้งเธอไว้ในขณะที่ผมกำลังรวบรวมสติให้กลับมาคงเดิม อักษรหันมาฝืนยิ้มให้ผมอีกแล้วครับ ให้ตายเถอะ! เธอไม่น่าทำแบบนี้เลยจริงๆ นะ ผมรู้ว่าข้างในเธอไม่ได้ยิ้มอยู่หรอก เมื่อเธอนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมตามสายตาอ้อนวอนของผมที่ขอให้เธอนั่งลงเรียบร้อย ผมก็รีบยื่นแก้วโอวัลตินส่งให้เธอเพื่อยืดเวลาระหว่างเราออกไป พร้อมชวนเธอดื่มโดยไม่สนใจแล้วว่าผมจะมีสติหรือหายตื่นเต้นหรือยัง
ดื่มสิ โอวัลตินอุ่นๆ คืนนี้จะได้หลับสบาย 
โอวัลตินช่วยได้บางส่วน แต่ถ้าคนเราไม่สบายใจ ต่อให้ดื่มกี่แก้วก็คงหลับไม่ลงหรอก
ถ้าอย่างนั้นษรมีอะไรไม่สบายใจอยู่ล่ะ บอกผมได้นะ
เรื่องบางเรื่องควรรู้คนเดียว แต่อย่าห่วงเลยไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก
แต่ถ้าผมอยากรู้ล่ะ
ก็ตามใจจาสิ แต่ไม่ว่าจะยังไงจารึกก็บังคับใจเราไม่ได้ถ้าเราไม่ยอมเสียอย่าง เธอฉลาดพูดนะครับ เธอเข้าใจหลบหลีกผม
แล้วถ้าไม่ได้บังคับล่ะ อยากรู้เพราะเป็นห่วงอยากช่วยให้อักษรไม่มีแววตาแบบนี้ 
เมื่อผมพูดจบสีหน้าเธอก็เศร้าหนักลงไปอีก อักษรไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยลุกขึ้นยืนและวิ่งจากผมไปที่ห้อง ดีที่ผมขายาวจึงก้าวตามเธอเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงร่างบางที่น่าทะนุถนอมของเธอ ผมคว้าแขนไว้ทันรู้สึกเลยว่าเธอต้องร้องไห้อยู่อย่างแน่นอน เธอไม่ยอมหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ แต่ผมอยากเช็ดน้ำตาให้เธอนี่ครับ ผมจึงพยายามจับไหล่เธอให้หันมาหาผม ทันทีที่เธอหันมาหาผม มือที่ว่างอยู่ของเธอก็รีบพูดใส่ผมเสียจนผมฟังแทบไม่ทัน แต่จับใจความได้ประมาณว่า ถึงเธอบอกไปผมก็คงช่วยเธอไม่ได้ หรือไม่ช่วยหรืออะไรทำนองนนี้นี่ล่ะครับ เธอรู้ว่าผมไม่มีวันบอกรักเธอ ไม่มีวันปฏิบัติกับเธอในฐานะคนรัก ผมเอื้อมมือสั่นๆ ของผมไปเช็ดน้ำตาให้เธอ แต่วันนี้เธอกลับส่ายหน้าปฏิเสธเบี่ยงหลบมือผมที่กำลังพยายามลูบแก้มใสที่เปื้อนน้ำตาของเธออย่างไม่ลดละ เธอกำลังทำให้ผมอึดอัดและหงุดหงิด อันที่จริงมันเป็นเพราะผมเอง แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกรู้สึกหงุดหงิดที่เธอไม่ยอมให้ผมเช็ดน้ำตา ดังนั้นจากการที่ผมพยายามเช็ดน้ำตาด้วยมือจึงแปรเปลี่ยนเป็นเชยค้างเธอขึ้นมามองหน้าผมโดยใช้แรงบังคับ แต่เธอสะบัดหน้าแรงมากจนผมจับหน้าเธอไว้ไม่อยู่สักที ผมจึงต้องเป็นฝ่ายก้มหน้าลงไปหาเธอแทน คราวนี้เธอนิ่งไปเลยหากแต่น้ำตาเจ้ากรรมนั่นสิกลับยังไม่ยอมหยุดไหล คุณว่ามาถึงตอนนี้แล้วผมควรจะใช้มือหรือว่าใช้ปากของผมเช็ดน้ำตาให้เธอดี อักษรได้แต่ก้มหน้างุดๆ เธอพยายามก้มแล้วก้มอีก แต่ตอนนี้ผมหยุดตัวเองไม่ได้แล้วผมพยายามย่อตัวลงเพื่อสบตาเธอ กุมมือเธอไว้เบาๆ ด้วยมือทั้งสองข้าง ผมค่อยๆ เอียงหน้าตัวเองเข้าไปหาหน้าเธอช้าๆ ด้วยอาการประหม่า เธอเบี่ยงหลบเล็กน้อยแต่ไม่ทันเสียแล้ว ผมค่อยๆ เลียคราบน้ำตาบนแก้มเนียนใสนั้นเบา จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่เปลือกตาบางของเธอ จุมพิตลงหนักๆ ประทับไว้เนินนานเพื่อซับน้ำตาให้หยุดไหล ผมพรมจูบตั้งแต่หน้าผากละลงมาถึงปลายจมูกเรื่อยมาจนกระทั่งริมฝีปากความอบอุ่นที่ผมเคยฝันหามาตลอด เธอผงะหนีในวินาทีแรกที่ปากหนาของผมแตะริมฝีปากบางของเธอ แต่เมื่อลองได้แตะแล้วแค่ชั่ววินาทีนั้นมันไม่พอสำหรับผมหรอกครับ ผมยื่นหน้าตามไปจุมพิตที่ปากเธอต่อ เพียงสัมผัสบางเบาบนริมฝีปากบางแต่มันก็ทำให้ผมมีความสุขมาก มีความสุขจนลืมความรู้สึกอึดอัดหงุดหงิดเมื่อครู่จนหมดไม่เหลือ ผมเกือบจะถลำลึกไปกว่านี้แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเธอขยับตัวหนีผมไว้ด้วยแรงที่มากกว่าเดิม ผมจึงยืนเหยียดตรงขึ้นและจับไหล่เธอไว้เพื่อสบตาของเธอที่ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าโศกเหลืออยู่แล้ว แววตาของเธอเรียกร้องอะไรบางอย่างจากผม เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าเธอต้องการอะไร แต่ผมก็ยังกลัวไม่ยอมพูดคำๆ นั้นออกมา เธอจึงสะบัดแขนผมออกและปิดประตูใส่หน้าผมโดยที่ผมไม่ทันได้รั้งเธอไว้อีก
ผมเชื่อว่าคืนนี้เธอเองก็คงจะนอนไม่หลับเหมือนผม แต่ผมไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกประทับใจกับจุมพิตของผมหรือเปล่า ให้ตายเถอะ! ทำไมผมเห็นแก่ตัวอย่างนี้ ผมอยากให้เธอคิดถึงรอยจูบของผมที่ประทับไว้ที่ริมฝีปากบางของเธอ ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี อ่อนหวาน มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ใช่จูบดื่มด่ำลึกซึ้งอย่างที่ผมเคยผ่านมา มันก็แค่การแตะปากกันธรรมดา แต่ผมต้องการมันอีกแต่คงมันจะไม่มีอีกแล้ว เพราะตั้งแต่นี้ไปผมจะห้ามใจตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า แต่บางทีตอนนี้เธออาจจะร้องไห้ให้กับความเห็นแก่ตัวและใจร้ายของผมอยู่ก็ได้ ไม่สิ! เธอต้องร้องไห้อยู่แน่ๆ เลย ผมใจร้ายกับเธอไปถึงขนาดนั้น เผลอล่วงเกินเธอไป แต่ก็ยังไม่ยอมรับผิดชอบความรู้สึกตัวเอง ผมคงเห็นแก่ตัวมากเลยสินะครับ
เช้ามากลิ่นหอมของอะไรบางอย่างปลุกผมขึ้นจากนิทรา ผมเดินโซเซตามกลิ่นนั้นเข้าไปในห้องครัว ทันทีที่ผมเข้าไปในห้องครัวร่างบางที่กำลังสาละวนกับการทำกับข้าวอยู่ก็หันมายิ้มหวานให้ผมราวกับว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีเธออาจจะตัดใจจากผมแล้วก็ได้ หรือบางทีการที่เธอหนีผมเข้าไปในห้องเมื่อคืนนี้อาจจะเป็นเพราะว่าเธออายหรือกลัวว่าผมจะทำอะไรเธอมากกว่านั้นก็ได้ หรือจะเป็นเพราะอะไรก็ชั่งมันเถอะผมไม่สนใจแล้วก็ได้ เพราะตอนนี้เธอยิ้มหวานให้ผมเหมือนเดิมแล้วนี่นา
เรากลับบ้านกันตอนบ่ายแก่ๆ ของวัน ผมจึงพาสาวนักวาดรูปไปแวะที่หาดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเธอนักเพราะอักษรต้องการถ่ายภาพหาดทรายไว้ก่อนกลับบ้าน เธอเดินเล่นอยู่ริมหาดโดยมีผมเดินเคียงข้างอย่างเงียบๆ อักษรดูอารมณ์ดีขึ้นมาก เธอเที่ยวหยิบเปลือกหอยขึ้นมาดูสรีระที่แตกต่างกันเพื่อถ่ายรูปไปประดับห้องนอนเธอ ในขณะที่เธอเดินถ่ายรูปหาดทราย เก็บเปลือกหอยนานาชนิดขึ้นมาดู ผมเองก็เดินมองไปที่เส้นขอบทะเล เส้นที่ใช้แบ่งกั้นแผ่นฟ้ากับแผ่นน้ำไว้ ถึงแม้แผ่นฟ้ากับแผ่นน้ำจะถูกขีดไว้ด้วยเส้นแบ่งดินแดนที่ไม่ค่อยจะชัดเจนเท่าไรให้ขาดออกจากกัน แต่ไม่ว่าเราจะมองไปกี่ครั้งแผ่นฟ้ากับแผ่นน้ำก็ยังได้อยู่คู่กันอยู่ดี คุณคิดเหมือนผมไหม ผมเองก็อยากให้อักษรคิดเหมือนผม ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเธอก็ดังขึ้นจนผมตื่นจากห้วงความคิดและหันมาดูแลเธอ
เธอหันมามองหน้าผมและเบ้ปากเหมือนเด็กๆ ผมสังเกตเห็นความผิดปกติที่บริเวณเท้าข้างซ้ายของเธอเพราะเธอไม่ยอมวางมันเต็มฝ่าเท้า ผมขอดูเธอก็ไม่ยอมยกขึ้นมา ทำไมเธอถึงดื้อแบบนี้นะ! ผมเป็นห่วงเธอจะตายอยู่แล้วแต่เธอกลับไม่ยอมให้ผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ พอผมถามว่าเป็นอะไรแม่สาวจอมดื้อก็ไม่ยอมบอกอีก ผมจะทำอย่างไรกับเธอดีครับ คิดแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ผมว่าผมจะอุ้มเธอ ไหนๆ ก็คิดแล้วนะครับทำเลยแล้วกัน ผมอุ้มเธอขึ้นมาติดกับแผงอกกว้างและแข็งแรงของผมได้ไม่ยาก นี่ตัวเธอเบาขนาดนี้เชียวหรือนี่ ตั้งแต่รู้จักกันมาผมก็รู้ว่าเธอตัวเล็กผอมบอบบางน่าทะนุถนอม แต่ไม่คิดว่าเธอจะตัวเบาขนาดนี้ เบามากเสียจนผมต้องจ้องเธอไว้เพราะกลัวเธอจะปลิวไปตามลมทะเล 
ผมอุตส่าห์ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษและพยายามวางมาดขรึมแล้วนะแต่อักษรหน้าแดงจนผมอดอายสายตาผู้คนที่มาเล่นน้ำทะเลในแทบนั้นตามเธอไม่ได้ เราสองคนจึงพากันหน้าแดงแข่งกันใหญ่ ตัวผมไม่อายใครหรอกถ้าต้องตกเป็นเป้าสายตาแต่อักษรคงไม่ชินกับสายตาคนแปลกหน้าจึงได้เขินขนาดนี้ เมื่อผมอุ้มสาวสวยในอ้อมอกผมไปถึงรถผมก็วางเธอลงกับพื้นเพื่อเปิดรถค้างไว้ ผมค่อยๆ ประคองเธอให้นั่งลงกับที่นั่งข้างคนขับแล้วจึงจับเท้าข้างซ้ายของเธออย่างมั่นคงตอนที่เธอเผลอ โธ่เอ๋ย! ผมก็นึกว่าอะไรที่แท้ก็ถูกเปลือกหอยตำเท้า เปลือกหอยอันเล็กกว่าปลายนิ้วก้อยเด็กอ่อนอีกนะครับแถมยังตำแค่สะกิดผิวเอง เธอทำเอาผมตกอกตกใจนึกว่าอะไรบาดเท้าเธอเข้า เธอกลัวเข็มน่ะครับกลัวมากเลยทีเดียว ตอนที่ผมพาไปหาหมออรัณย์ลูกพี่ลูกน้องของเธอเพื่อฉีดยาแก้แพ้ทุกเดือนเธอต้องกอดเอวผมไว้แน่นและหันหน้าหนีเข็มร้องไห้ดังลั่นคลีนิกเลย ฉีดมาตั้งแต่เด็กก็ยังกลัวไม่หายเลยคนอะไรแปลกจริงๆ เลยนะครับ (ว่าแต่ผมสงสัยจังเลยก่อนหน้าที่เธอจะรู้จักผมเธอจะกอดใครเวลาไปฉีดยาคิดแล้วก็อดนึกถึงตาทหารพยัคเฆนทร์ไม่ได้ เธอจะกอดเขาหรือว่าไม่ได้กอดใครเลยจนกระทั่งมารู้จักผมนะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมจะดีใจที่สุดเลย)
หลังจากที่เรากลับมาจากไปเที่ยวทะเลผมก็เข้าสู่ช่วงกิจกรรมอีกครั้งตามโครงการที่เคยเสนอสภานิสิตไปเมื่อคราวประชุมงบประมาณชมรมคงต้องยุ่งกับงานไปอีก 2-3 อาทิตย์ แต่คราวนี้ผมพยายามหาเวลาไปพบเธอ ถึงแม้จะไปหาเธอทุกวันไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยเกินสองวันที่เราไม่ได้เห็นหน้ากัน ถ้าเกินนี้ผมอาจจะลงแดงตายได้ ก็ตั้งแต่รู้จักกันเราไม่เคยไม่เห็นหน้ากันเกินสองวันสักครั้งเดียวนี่ครับ บางวันขอเห็นแค่หลังคาบ้านก็ยังดีเนื่องจากว่ากว่าจะสรุปแผนเตรียมงานอะไรเสร็จมันดึกมากแล้ว วันนี้ผมก็เพิ่งทำงานเสร็จเมื่อเวลา 22.45 นาฬิกาเล่นเอาเหนื่อยจนแทบสลบ อยากได้กำลังใจจากอักษรเหลือเกินแต่กว่าผมจะไปถึงก็ประมาณ 11.30 นาฬิกา อย่าว่าแต่ 11.30 นาฬิกาเลยครับ ถ้าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ 21.00 นาฬิกา เธอก็เข้านอนแล้ว เด็กอนามัยก็แบบนี้ล่ะครับอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอบอกกับผมว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมากนะครับ มันก็แค่โรคภูมิแพ้ คืนนี้ผมคงทำได้แค่ไปจอดรถมองหน้าต่างห้องนอนเธออีกแล้ว อุตส่าห์รีบสรุปแผนงานโครงการพร้อมวางคนประจำหน้าที่จนเสร็จเรียบร้อย เพื่อที่ตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะสามารถมาหาเธอได้ทุกวันแต่ก็ยังไม่ทันพบหน้าเธออีกจนได้
เมื่อผมขับรถคันเก่าของพ่อผมมาถึงหน้าบ้านเธอมันก็จริงอย่างที่ผมคิด ไฟดับสนิทแล้วทั้งบ้านยกเว้นหน้าบ้านเท่านั้นที่ยังเปิดไว้ มันก็เรื่องปกติครับบ้านนี้จะเปิดไฟทิ้งไว้ดวงเดียวทุกคืน ผมนอนมองหน้าต่างบานนั้นอยู่เนินนาน แอบหวังลึกๆ ในใจว่าเธอจะยังไม่นอนและเดินมาเปิดหน้าต่างเพื่อมองหาดาวสักดวงให้อยู่เป็นพื่อนเธอแทนผมที่ไม่สามารถมาหาเธอได้ในวันนี้ ผมจะได้มีโอกาสเห็นหน้านวลเนียนของเธอที่ตอนนี้ผมจำได้ขึ้นใจถึงแม้ว่าจะไม่เห็นหน้าเธอมาแล้วสองวันก็เถอะ แต่มันไม่ชื่นใจเท่าเห็นหน้าเธอจริงๆ หรอกครับ
ผมเผลอหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า สะดุ้งอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงรถยนต์ขับมาจอดอยู่หน้าบ้านของอักษร ไม่คุ้นเลยครับผมไม่เคยเห็นรถคันนี้เลย จะว่าเป็นรถตาทหารพยัคเฆนทร์อะไรนั่นก็ไม่น่าจะใช่เพราะพยัคเฆนทร์ชอบรถญี่ปุ่นแต่รถคันนี้เป็นรถยุโรปราคาแพง ที่แน่ๆ คือ เจ้าของรถน่าจะเป็นคนสนิทของบ้านนี้เพราะนี่ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ผมแอบซุ่มดูหน้าเจ้าของรถอยู่เงียบๆ ในรถยนต์ที่ผมยืมพ่อมาเพราะผมเพิ่งเอารถไปเข้าอู่เพื่อเช็คสภาพรถเมื่อวานนี้เอง ดูเหมือนว่าคนขับจะพยายามมองหาคนในรถผมเหมือนกัน เมื่อไม่เห็นใครเขาจึงหันไปสนใจภายในบ้านของอักษรต่อ
เมื่อเขาจอดรถสนิทผมก็ได้เห็นเจ้าของรถถึงแม้จะไม่ค่อยชัดแต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นผู้ชายสูงสมาร์ท เดินลงมาเปิดประตูอีกฝังเพื่อประคองใครสักคนลงจากรถ ผมเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไรนักแต่สายตาที่ผมใช้มองแต่อักษรคนเดียวมานานพอสมควรบอกผมว่าคนที่อยู่ในวงแขนหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นเป็นอักษร เธอมีคนอื่นแล้วหรือ! เธอไม่รักผมแล้ว! ทำไมเธอไม่รอผมล่ะ! ผมไม่ให้เธอกับใครทั้งนั้นนะ! ผมถนอมเธอดูแลเธอห่วงใยเธอมานานขนาดนี้เธอลืมผมได้ยังไง! ได้โปรดเถอะนะอักษรอย่าไปกับใครเพราะผมจะขาดใจ ผมเห็นแก่ตัวกับคุณใจร้ายกับคุณแต่ผมก็ไม่อยากให้คุณกับใคร! ผมเอาแต่คิดอะไรอยู่ในใจอย่างเดียวแต่กลับไม่กล้าลงจากรถไปฉุดรั้งเธอไว้ ผมไม่กล้ายื้อยุดฉุดรั้งเธอไว้เพราะอีกใจหนึ่งก็คิดว่ามันอาจจะดีสำหรับเธอแล้วก็ได้ที่จะมีผู้ชายมาจริงจังและรักเธอได้โดยไม่สนใจสายคนรอบข้าง ผมทำอะไรไม่ถูกคิดอะไรไม่ออกไม่รู้จะหันไปพึ่งใครเพราะปกติเธอจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ 
 
โปรดติดตามตอนต่อไป
แสนซน				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน